Feature

บทเรียนชีวิตจากฟุตบอลของ คล็อปป์ : "ถ้าล้มเหลว จงล้มเหลวด้วยวิธีที่สวยงามที่สุด" | Main Stand

นับตั้งแต่วันที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล เกิดบางอย่างที่เปลี่ยนไปในสโมสรแห่งนี้ มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่พิสูจน์ได้ด้วยการแสดงในสนาม 

 

นั่นคือความ "ใจสู้" ไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ที่พิสูจน์ได้จากการพลิกชนะในแมตช์ที่เหลือเชื่อ หรือแม้แต่เวลาการแข่งขันที่เหลือน้อยนิดก็ตาม แถมสิ่งนี้มันยังเกิดขึ้นบ่อย ๆ อีกต่างหาก

มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับนักเตะ แต่มันส่งผลไปทุก ๆ ภาคส่วนของสโมสร ไปจนกระทั่งถึงแฟนบอล แม้แต่แฟนบอลที่ไม่เคยเข้าสนามและเชียร์อยู่คนละฟากโลก 

กุนซือที่ชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างสิ่งนี้จากการทำงานของเขา และเราสามารถถอดบทเรียนการทำงานครั้งนี้ว่ามันเกิดขึ้นจาก "การมาของคน ๆ เดียว" ได้อย่างไร ? 

ก่อนที่เขาจะบอกลาในเกมสุดท้ายวันอาทิตย์นี้ คนธรรมดาอย่าง คล็อปป์ ฝากข้อคิดอะไรถึงคนธรรมดาอย่าง ๆ เราให้เอามาปรับใช้ได้บ้าง ... ติดตามที่ Main Stand  

 

เมื่อคิดจะเริ่มต้น - "จงอย่าเชื่อเรื่องโชคชะตา" 

หลายคนบอกว่า การมาเจอกันระหว่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล คือเรื่องของโชคชะตา ทว่าจริง ๆ แล้วสำหรับเจ้าตัว คล็อปป์ บอกว่าคำว่าโชคดี-โชคร้าย หรือโชคชะตา ไม่มีในพจนานุกรมของเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุมีผล แม้กระทั่งการมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2015 

"ผมไม่เคยเชื่อเรื่องโชค ผมเชื่อในการเตรียมตัว และการทำงานหนักเท่านั้น" คล็อปป์ ประกาศในวันที่เขารับตำแหน่งกุนซือหงส์แดง 

เขาแบกชื่อเสียงของโค้ชหนุ่มผู้คว่ำ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแ ชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติดต่อกัน ก่อนจะประกาศขอพักจากฟุตบอลสักปี สองปี หลังจบฤดูกาล 2014-15 ทว่าครึ่งปีหลังจากการประกาศพัก ลิเวอร์พูล ก็ติดต่อเข้ามา แล้วเขาก็รับงานนี้ทันที ด้วยเหตุผลที่คลาสสิกมาก ๆ คำเดียว นั่นคือ "เขาชอบ" 

เขาชอบทุกอย่างที่ ลิเวอร์พูล เป็น และนั่นน่าแปลก เพราะย้อนกลับไปก่อนที่ คล็อปป์ จะรับงาน ลิเวอร์พูล ยังดูเป็นทีมที่ดูกระจัดกระจายมีปัญหามากมายให้ต้องแแก้ไขปรับปรุง ฟังเหมือนมีงานหนักรออยู่มาก

งบประมาณกระจ้อยร่อย, ขุมกำลังที่ไม่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่เขาจะเอาชื่อเสียงมาทิ้งที่นี่ ... แต่เขาก็มา ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ 

"ผมเข้าพบบอร์ดบริหาร และพวกเขาเล่าปัญหาของสโมสรนี้ที่มีให้ผมฟัง ผมครุ่นคิด และผมทึกทักขึ้นมาว่า 'โอเค ... ใช่แล้ว ผมอาจจะเป็นคนที่เหมาะกับสโมสรที่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้'" 

หลายคนคงจะเคยได้ยินวลีที่เขาบอกว่าตัวเองเป็น "Normal One" หรือ "คนธรรมดา" ประโยคนี้ถูกใช้ตั้งแต่การสัมภาษณ์กับสื่อครั้งแรก โดยที่เขายังไม่เริ่มงานเลยด้วยซ้ำ แต่เขาบรรยายภาพในหัวของเขาออกมาได้อย่างหมดจด วางพล็อตไว้เหมือนกับหนังดี ๆ สักเรื่องที่เกี่ยวกับการพลิกฟื้นเปลี่ยนแปลงตัวตนไปในทางที่ดีขึ้นในวิถีคนธรรมดา กล่าวคือมีดีบ้าง แย่บ้าง อาจจะหนักไปทางแย่มากหน่อยปะปนกันไป แต่การยอมรับ เปิดใจ และทำงานให้ตัวเองและคนอื่น ๆ ที่เป็นคนธรรมดาเหมือนกันดีขึ้น คือสิ่งที่ คล็อปป์ ตั้งใจมาที่ ลิเวอร์พูล 

"เมื่อคุณพิจารณาจากภาพรวม คุณจะตระหนักถึงความเป็นจริงได้ ... มีคนบอกว่านักเตะเราไม่ดี แต่ผมเองก็เหมือนกับนักฟุตบอลพวกนี้นี่แหละ ไม่เห็นจะเจ๋งเลยสักนิด แต่นั่นแหละคือตัวผม ผมเป็นโค้ชที่ใส่หมวกเบสบอล แต่พวกเขาก็ยังเคารพผม ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มันพิเศษเลิศเลอ"

"พวกเขาพาผมมายังที่ที่ผมควรจะอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้ขอให้ผมทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวตน ดังนั้นที่ลิเวอร์พูล ผมสามารถมีสมาธิกับฟุตบอลได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่วันแรก" 

ความพิเศษที่ว่า อาจจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงนักเตะเหล่านี้ให้เก่งกาจติดปีก หรือการของบประมาณก้อนใหญ่เพื่อผ่าตัดทั้งทีมสู่การคว้าถ้วยแชมป์ที่รอคอย แต่มันคือการทำงานที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาทุก ๆ อย่างอย่างถี่ถ้วน ตั้งใจทำอย่างสม่ำเสมอ โฟกัสกับสิ่งที่ทำให้เต็มที่ นีคือความธรรมดาในแบบที่คล็อปป์จะสื่อออกมา หากเราลองตีความคำพูดของเขา

ก่อนที่คุณจะเริ่มทำอะไร มองสิ่งที่ตัวเองมี มองสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ ตัดสินใจด้วยความคิดที่ตกผลึกว่าคุณจะลงมือทำมันหรือไม่ ไม่ใช่กระโดดใส่ทุกโอกาสและคาดหวังว่ามันจะต้องดังเปรี้ยงและประสบความสำเร็จเหมือนกับอยู่ในโลกแห่งความฝัน ... เพราะชีวิตจริง มีแต่เราเท่านั้นที่รู้ว่าเราเหมาะกับอะไรที่สุด 

 

เมื่อเริ่มล่าความสำเร็จ - "จงอย่ายอมแพ้"

คล็อปป์ ค่อย ๆ สร้างลิเวอร์พูลขึ้นมาอย่างช้า ๆ ใช้นักเตะเท่าที่มีในตอนแรก ๆ ค่อยใส่ปรัชญาของเขาเข้าไปให้นักเตะ และให้เวลากับทุกคนว่าใครสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ ... ถ้าใช่ก็เดินหน้าไปด้วยกันต่อ ถ้าไม่ใช่ก็แยกย้าย เพราะนี่คือชีวิตจริงของการบริหารคนในทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง กล่าวคือในเมื่อสโมสรจ้างคุณแล้ว คุณต้องมีประโยชน์ต่อทีมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

หากใครที่ดู ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ คล็อปป์ เข้ามา คุณน่าจะเห็นความแตกต่างตลอดยุค 20 ปีก่อนหน้านี้กับทีมของ คล็อปป์ อย่างสิ้นเชิง ลิเวอร์พูล ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความมุ่งมั่นทุ่มเทที่เข้มข้นจนล้นออกมาให้คนดูสัมผัสได้ขนาดนี้ 

แต่ก่อน ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่เล่นมัน เล่นสนุก สู้ทีมใหญ่ได้ทุกทีม แม้ศักยภาพจะเป็นรองแต่ก็สร้างเซอร์ไพรส์มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่กับทีมเล็ก ๆ หรือทีมที่ศักยภาพน้อยกว่าพวกเขากลับไม่เข้ม ไม่มีสมาธิตลอดเกม จนความผิดพลาดทำไปสู่แต้มและผลการแข่งขันดี ๆ ที่หายไปหลายหน 

คล็อปป์ เล่าเสมอว่า การทำทีมของเขา ก็คือการทำทีมให้เป็นทีม ต่อให้เขาไม่มีผู้เล่นที่ดีที่สุด แต่ถ้าเขาสร้างทีมให้รวมเป็นหนึ่งได้ ใจทุกคนจะเท่ากัน เอาคือเอา พร้อมใจกันไล่ พร้อมใจกันวิ่ง ซึ่งในเชิงแท็คติก มันคือเรื่องระเบียบวินัยในการเล่นเกมรับ (และอาจจะรวมถึงเกมรุกด้วย) เพราะบอลของคล็อปป์ คือการไล่แย่งบอลสูง ใช้พลังงานเยอะ และเอาคืนมาให้ได้เร็วที่สุด

ดังนั้นหากคนหนึ่งวิ่ง แต่อีกคนหนึ่งเดิน ช่องไฟในการเพรสซิ่งก็จะเปิดกว้างขึ้น และจะทำให้คู่แข่ง "ตีแตก" อย่างง่ายดาย และกลายเป็นการเสียประตูแบบง่าย ๆ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะเคยเห็นประตูลักษณะนี้บ่อย ๆ ในปีแรกที่ คล็อปป์ ทำงานที่ ลิเวอร์พูล ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่เขาต้องลองผิดลองถูกอยู่พักนึงเลยทีเดียว 

นอกจากเรื่องของเล่นเกมบุกและเกมรับพร้อมกันแล้ว การที่ทีมมีความเป็น "ทีมเวิร์ก" สูง จะช่วยลดความผิดพลาดในการเล่นส่วนบุคคลได้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อเพื่อนทำพลาด จิตใต้สำนึกของคนอื่นในทีมจะตอบสนองทันทีว่าต้องรีบเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลาย และหลายครั้งลิเวอร์พูลก็รอดเสียประตูจากความมีวินัยเป็นหมู่คณะแบบนี้ 

สิ่งสำคัญที่สุด นอกจากเรื่องของการทำให้ทีมเป็นทีมที่มีลักษณะการเล่นเฉพาะที่เลียนแบบได้ยากแล้ว ยังเป็นการทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ตายยากที่สุดทีมหนึ่ง คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้วาทะศิลป์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี หลายครั้งคำพูดของเขาปลุกลูกทีมกลับมาจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้อย่างเหลือเชื่อ

และหากจะยกเกมไหนมาเป็นตัวอย่าง ก็คงต้องเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เจอกับ บาร์เซโลน่า ในแอนฟิลด์ เมื่อฤดูกาล 2018-19 … เกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะไป 4-0 พลิกสถานการณ์นำทีมเข้ารอบด้วยสภาพทีมที่ต้องบอกว่าไม่เต็มร้อยด้วยซ้ำ 

"การแพ้ บาร์เซโลน่า 0-3 (ในเกมแรก) คือสิ่งที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้ ดังนั้นผมอ้อมค้อมไม่ได้ ผมพูดกับลูกทีมของเขาตรงไปตรงมา ผมพูดความจริงก่อน ด้วยการบอกว่าเราจะต้องลงเล่นเกมนี้โดยการไม่มีกองหน้าที่ดีที่สุด 2 คน (ซาลาห์ , ฟีร์มิโน่) จากนั้นผมจะตบท้ายด้วยความหวังว่า ทุกคนข้างนอกบอกว่านี่คือเกมที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเรา แต่ใครล่ะ ที่ทำให้สิ่งที่เราต้องการเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณ ? ... เพราะคุณ เราจึงยังมีโอกาส" คล็อปป์ เล่าบรรยากาศก่อนเกม 

เขาเริ่มต้นความจริง ปลุกทุกคนด้วยความหวัง และบอกให้ทุกคนสนุกกับความท้าทายที่เป็นไปไม่ได้ส่งท้ายว่า "ถ้าเราล้มเหลว ก็จงล้มเหลวด้วยวิธีที่สวยงามที่สุด" ... นั่นแปลว่าเขาก็ไม่ได้คิดว่าลูกทีมของเขาจะชนะแน่ แต่เขาต้องการเห็นทุกคนใส่หมดแม็ก แบบที่จบเกมแล้วไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจ ต่อให้แพ้ ก็สามารถจะฉลองให้กับความพยายามที่ทุกคนทำร่วมกันได้ แบบนี้ลูกทีมเขาไม่สู้จะไปไหนเสีย ? 

Never Give Up ประโยคนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต 1% ก็ถือว่าเป็นโอกาส มันอาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้ตราบใดที่คุณลงมือทำ และท้ายที่สุด ต่อให้ความพยายามนั้นจะจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ล้มเหลว ก็ใช่ว่ามันจะเสียเปล่า อย่างน้อยคุณก็ได้ประโยชน์มากมาย และ 1 สิ่งที่ได้แน่ ๆ คือประสบการณ์ ... ประสบการณ์ที่ครั้งหน้าคุณจะเพิ่มโอกาสทำให้มันสำเร็จได้มากกว่า 1%  อย่างแน่นอน 

 

ในวันต้องบอกลา - "ตกผลึกทุกสิ่งที่เคยทำ" 

ความสำเร็จมากมายเกิดขึ้นตลอด 9 ปีที่ ลิเวอร์พูล ในยุคที่ คล็อปป์ เป็นเหมือนกับแม่ทัพ เดินทางเข้าใกล้ถึงวันสุดท้ายแล้ว เหตุผลที่เขาต้องบอกลา นั่นเป็นเพราะว่าเขา "รู้สึกเหนื่อย" และถึงเวลาที่ต้องเลิก 

หลายคนมองว่า เขายอมแพ้กับอะไรสักอย่างที่ต้องเจอ มันอาจจะเป็นแบบนั้นถ้าเขาไม่เคยพาทีมคว้าชัยชนะหรือความสำเร็จอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงคือ คล็อปป์ เก็บเรียบทุกความสำเร็จที่ทีมควรจะต้องคว้ามาให้ ดังนั้นการถอนสมอครั้งนี้ เปรียบเสมือนการตกผลึกทางความคิดมากกว่า ว่าที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้าง มีอะไรสำเร็จไปบ้าง และทำไมเขาควรต้องเลิก 

"ผมไม่เคยสนใจสถิติ ตัวเลข และการบันทึกอะไรต่าง สิ่งที่ผมสนใจคือผู้คน และเรื่องราวในการเดินทาง" คล็อปป์ เคยกล่าวคำนี้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้สนว่าใครจะมองว่าเขาหรือทีมของเขาล้มเหลว เพราะเขารู้ดีแก่ใจ ว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้างตลอดการเดินทางที่ยาวนานของเขา และหากจะหาใครที่รับมือกับความเป็นจริงมากที่สุดในโลกของฟุตบอล คล็อปป์ น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น    

ตัวของเขาก็อธิบายมาตลอดว่าตัวเองไม่ได้พิเศษอะไร แม้กระทั่งเรื่องของคำพูดคำปลุกใจที่หลายคนบอกว่าเขาเก่งเรื่องนี้ ... ครั้งหนึ่งเขาเล่าว่าเขาปลุกใจนักเตะ ดอร์ทมุนด์ ด้วยการเอาเรื่องของ ร็อคกี้ บัลบัว จากแฟรนไชส์ภาพยนตร์มวยสากล Rocky มาเล่าให้นักเตะฟัง 

เขาสาธยายยืดยาว ใส่อารมณ์สุดขีด แต่สุดท้าย ตอนถามนักเตะของเขาว่า เข้าใจที่พูดไหม สรุปว่านักเตะของเขาไม่มีใครเกิดทันหนังเรื่องนี้ และนี่คือสิ่งที่เขาอายที่สุดเรื่องหนึ่งในอาชีพการทำงานของเขา แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ให้แง่คิดอะไรมากมายจนถึงวันที่เขาทำงานกับ ลิเวอร์พูล  

"เรื่องธรรมดามันเกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ทุกวัน พวกเราคือมนุษย์ ไม่แปลกหรอกที่บางครั้งเราจะทำอะไรที่มันผิดพลาดและน่าอายบ้าง อย่างผมเนี่ย ตอนนั้นผมคิดว่าผมกล่าวสุนทรพจน์ยิ่งใหญ่ต่อหน้าทุก ๆ คน หรืออาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยด้วยซ้ำ แต่ในความจริง มันก็แค่เรื่องไร้สาระเรื่องหนึ่ง (เพราะไม่มีใครเข้าใจ) แต่แล้วยังไงล่ะ ? พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว พวกเรายังต้องเดินหน้ากันต่อเหมือนเดิม"

"ปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นในโลกของฟุตบอล ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงของชีวิต เราต้องไม่ลืมว่าพวกเราถูกฟองสบู่ที่ชื่อว่าฟุตบอลครอบเราเอาไว้ ดังนั้นเกม ๆ นี้ (ฟุตบอล) ควรจะมีจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่าแค่เรื่องรายได้และถ้วยรางวัลใช่ไหม ?" 

"98% ของฟุตบอลคือการรับมือกับความล้มเหลว บางครั้งมีคนถามผมว่า ทำไมผมถึงยิ้มตลอดเวลาแม้ว่าเราจะแพ้ ? ... เหตุผลมันมีมากมายเลยล่ะ มันอาจจะเพราะลูกชายของผมคลอดออกมาลืมตาดูโลก ผมแค่ตกผลึกว่าฟุตบอลไม่ใช่ทั้งหมดและเป็นเรื่องระดับความเปนความตายของชีวิต ฟุตบอลไม่ใช่สิ่งที่ใช้ส่งความเกลียดชังและความรู้สึกแย่ ๆ สิ่งที่ฟุตบอลควรจะเป็น คือสิ่งที่สร้างและบันดาลใจและความสนุกสนานต่างหาก" 

สิ่งที่คล็อปป์พูดมาทั้งหมด สะท้อนถึงทีมของเขาเสมอ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีชีวิตชีวา พวกเขามีความสัมพันธ์ในทีมที่ดีมาก แม้จะแค่ในฐานะเพื่อนร่วมทีม แต่นั่นก็มากพอแล้วสำหรับทีมฟุตบอลทีมหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จ และมีความเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดทีมหนึ่งของโลกอย่างที่ลิเวอร์พูลเป็น 

เขากำลังจะจากลิเวอร์พูลไป ด้วยความทรงจำที่ดีและไม่มีอะไรติดค้าง ต่อให้มีใครบนโลกนี้สงสัยในตัวของเขา หรือวิธีการทำทีมหรืออะไรก็แล้วแต่ ... คล็อปป์ ตกผลึกแล้วว่า เขาได้เก็บเกี่ยวเอาทุกความสุขที่เคยเกิดขึ้นที่นี่จนครบ และเมื่อถึงตอนบอกลา ต่อให้จะมีน้ำตา แต่มันก็เป็นน้ำตาแหงความสุขที่ไร้ความรู้สึกอื่นมาเจือปน 

"ความสำเร็จไม่ได้เกี่ยวกับจุดหมายปลายทาง แต่เกี่ยวกับการเดินทางและสิ่งที่คุณเรียนรู้ไปพร้อมกัน" ภายในข้อความสั้น ๆ นี้มีความจริงอันลึกซึ้งซึ่งขยายออกไปเหนือขอบเขตของกีฬา และสัมผัสถึงแก่นแท้ของแรงบันดาลใจของมนุษย์ ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่บทเรียนที่เราได้รับ และขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นคนที่เติบโต หรือเรียนรู้จากเรื่องที่ผ่านมาขนาดไหน 

ความดื้อรั้นในการเอาชนะอุปสรรคและบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล มันทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจทั้งในด้านฟุตบอลและชีวิตว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือความสามารถเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของคนเราที่จะไม่มีวันสูญเสียความหวัง เรียนรู้จากความล้มเหลว และมุ่งมั่นเพื่อความยิ่งใหญ่ต่อไปบนเส้นทางใหม่ที่ต้องเจอในชีวิต 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theplayerstribune.com/articles/jurgen-klopp-liverpool-fc
https://www.bookey.app/quote-author/jurgen-klopp
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-5766377/Jurgen-Klopp-reveals-chose-Liverpool-Manchester-United-others.html
https://www.goal.com/story/inside-the-managerial-mind-of-liverpools-jurgen-klopp/index.html
https://www.liverpoolfc.com/news/timeline-and-inside-story-jurgen-klopps-arrival-liverpool

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา