Feature

เปเป้ ในวัย 41 : การเปลี่ยนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กสายชัวร์ และหัวไม่ร้อน | Main Stand

เปเป้ คือนักเตะที่แก่ที่สุดในยูโร 2024 ด้วยวัย 41 ปี และถ้าคุณคิดว่าเขาเป็นจอมโหดขาหวดเหมือนตอนหนุ่ม ๆ เราอยากให้คุณเข้าใจว่า เขากำลังปรับตัวอย่างมาก สำหรับการเป็นนักเตะหนุ่มสู่วัยม้าแก่ 

 


จากที่เตะยับ ๆ หวดเน้น ๆ ในอดีต เปเป้ เปลี่ยนแปลงตัวเองแบบไหน นี่คือเรื่องราวของนักเตะที่อายุมากที่สุดในศึกชิงแชมป์ยุโรปครั้งนี้

ติดตามได้ที่ Main Stand

 

สัญชาติบราซิล ทีมชาติโปรตุเกส 

หากจะเล่าเรื่องราวของใครสักคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เราควรต้องเริ่มกันที่ "จุดเริ่มต้น" ของพวกเขา ในวันที่พวกเขาไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเงินทอง พวกเขาเริ่มมันอย่างไร ?

เปเป้ เกิดและโตที่ประเทศบราซิล ดินแดนแห่งฟุตบอล แต่ในประวัติของเขาแทบไม่มีเรื่องราวชีวิตค้าแข้งในบราซิลเลย เขาไม่เคยลงเล่นเกมระดับอาชีพในบ้านเกิดเลยแม้แต่นัดเดียว เพราะหลังจากเข้าระบบอคาเดมีของ โครินเธียนส์ และเล่นมาจนถึงรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี จากนั้นเขาก็ข้ามขั้นด้วยการไปเล่นในยุโรป โดยปราศจากความกลัว ... นี่คือคุณสมบัติที่นักเตะบราซิเลียนหลายคนเป็น กล้าหาญที่จะเจอกับโลกกว้าง เพื่อแสวงโชคเพื่ออนาคตที่สดใสกว่า ซึ่งแน่นอนว่า "ก้าวแรก" ไม่เคยง่าย

เปเป้ ในวัย 18 ปี ได้รับการแจ้งว่าจะต้องบินจากบราซิลเพื่อเซ็นสัญญากับสโมสร มาริติโม ในประเทศโปรตุเกส เขาบินข้ามประเทศมาด้วยตัวคนเดียว ด้วยเงินที่มีในกระเป๋าแบบจำกัด เมื่อเท้าแตะพื้นสนามบิน ก็ค้นพบว่าชีวิตใหม่กับโลกที่ไม่เคยเจอได้เริ่มขึ้นแล้ว

"ตอนที่ผมมาถึงโปรตุเกสครั้งแรก ผมมีเงินติดตัวมาแค่ 5 ยูโรเท่านั้น (ราว 200 บาท) เพราะเงินเก็บของผมทั้งหมดผมใช้ไปกับการซื้อโทรศัพท์มือถือหมดแล้ว มันคือสิ่งจำเป็น เพราะผมต้องเอาไว้โทรหาแม่ เมื่อลงถึงโปรตุเกส ผมต้องโทรบอกท่าน เพื่อให้แม่จะได้ไม่ต้องกังวล" 

"ผมมาถึงสนามบินตอน 5 ทุ่มและต้องต่อเครื่องไปที่ มาเดรา ในตอน 6 โมงเช้า อย่าลืมว่าผมมีเงินแค่ 5 ยูโร ผมไปที่ร้าน Pans & Company ได้แต่มองเข้าไปในร้านเพราะผมหิวมาก ผมเอ่ยปากถามพนักงานคนหนึ่งว่า 'คุณมีอะไรให้ผมกินไหม' เขาตอบกลับว่า 'ในร้านของเรามีเพียบเลย' ซึ่งคำตอบของผมหลังจากนั้นคือ 'แต่ผมไม่มีเงินเลยนะ'" เปเป้ เริ่มเล่า

"พนักงานคนนั้นหันหลังให้ผม ... มันทำให้ผมหมดหวัง และหลังจากนั้นเขามาพร้อมกับ แซนด์วิช 1 อัน ให้ผมแบบฟรี ๆ ความช่วยเหลือนั้นเหลือเชื่อมาก ผมบอกตัวเองเลยจากวันนั้น ใจผมของมอบให้โปรตุเกสแล้ว" 

เปเป้ ใช้เวลา 3 ปีที่ มาริติโม และฟอร์มการเล่นของเขาในเวลานั้นก็ยกระดับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว จนถูก เอฟซี ปอร์โต้ สโมสรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศดึงตัวไปร่วมทีมเมื่อปี 2004 และเริ่มเส้นทางการเป็นยอดกองหลังที่ดีที่สุดในลีกด้วยการนำ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ลีก 2 ฤดูกาลซ้อน ซึ่งนั่นมากพอแล้วที่จะทำให้เขาได้ย้ายสู่ เรอัล มาดริด ในปี 2007 และกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้ รวมถึงการสร้างชื่อในฐานะ "จอมโหด" คนท้าย ๆ ในโลกฟุตบอลยุคโมเดิร์น ระดับที่เตะหมดไม่สนลูกใครจะพูดคำนี้ก็คงไม่เกินเลยไปนัก และเรื่องนี้มีที่มา

 

โหดมา ต้องโหดกลับ 

ก่อน เปเป้ จะมาที่ เรอัล มาดริด และสร้างชื่อในฐานะกองหลังจอมโหด สโมสรแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสุสานของเซ็นเตอร์แบ็ก โดย Marca สื่อจากสเปนพยายามอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่ เฟร์นานโด เอียร์โร่ ไปอยู่กับ อัล รายยาน ในปี 2003 มาดริด พยายามใช้เซ็นเตอร์แบ็กมากมายหลายคน แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้กระทั่งคนที่เคยได้บัลลงดอร์อย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร 

และถ้าถามว่า ทำไม เปเป้ นักเตะจากลีกโปรตุเกสถึงอยู่รอดปลอดภัย แถมสร้างชื่อเสียง และคว้าถ้วยแชมป์ได้ คำตอบคือเพราะเขาเข้าใจว่าตัวเองนั้นโดดเด่นเรื่องอะไรที่สุด เขาหยิบจุดนั้นออกมาใช้ และค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นในแง่ของความแม่นยำ ไทมิ่งในการเข้าปะทะ แม้ว่าหลายครั้งจะดูโฉ่งฉ่างไปบ้าง แต่การมีนักเตะอย่าง เปเป้ ก็ขู่แนวรุกฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี ... ยิ่งถ้าได้ดวลกับดาวรุ่งหรือกองหน้าที่ไก่อ่อน

"ผมอยากไป เรอัล มาดริด จริง ๆ นะ หลายคนบอกผมว่าอย่าไปเลย แกจะบ้าหรือไง ? เพราะที่นั่นคือสุสานของเซ็นเตอร์แบ็ก พวกเขาไม่เคยถูกเติมเต็มเลยนับตั้งแต่ เฟร์นานโด เอียร์โร ย้ายทีม (ไป อัล รายยาน เมื่อปี 2003) ผมตรงไปตรงมากับความรู้สึกเสมอ ผมถามบอร์ดบริหารไปตรง ๆ ว่า พวกเขาต้องการผมใช่มั้ย ? พวกเขาจ่ายเท่าที่ปอร์โต้ต้องการใช่ไหม ? ... ถ้าใช่ ผมจบเรื่องนี้" 

"ช่วงปรีซีซั่นกับ มาดริด ผมแทบไม่คุยกับใครเลย ผมตั้งใจซ้อม ฝึกฝนอย่างหนักไปพร้อมกับการเฝ้าดูการเล่นของคนอื่น ๆ ผมพยายามเป็นคนช่างสังเกต และพบว่าระดับการเล่นที่สูงขึ้นนี้ มีทางเดียวที่จะรอด คือผมต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาให้ได้" 

"ความปั่นป่วนคือสิ่งที่ผมเจอเมื่อต้องลงสนามให้กับ มาดริด ตอนนั้นผมจับคู่กับ ฟาบิโอ คันนาวาโร ผมจำได้ว่าผมโดนป่วนหนักมาก ผมเรียกเขา 'ฟาบิโอโว้ย มาคัฟเวอร์ด้วย' แต่เขาตอบกลับว่ายังไงรู้ไหม ? 'เราไม่เล่นกันแบบนี้โว้ย ฝั่งใครฝั่งมัน จัดการมันด้วยตัวเองซะ' ตอนนั้นผมถึงบางอ้อเลย ผมแบบว่า 'เอาสิ ไอ้เวร งั้นเอ็งมาเจอกันหน่อย'" เปเป้ กล่าวถึงที่มาและสไตล์สุดโหดของเขา 

"ที่นี่เต็มไปด้วยความกดดัน และมันจะโหดร้ายกับคุณแน่นอนถ้าคุณไม่โหดร้ายกับมันบ้าง ... ที่มาดริด เราต้องชนะทุกอย่างที่แข่งขัน ถ้าชนะคุณคือสุดยอด แต่ถ้าแพ้คุณก็ไสหัวไปได้เลย เพราะอีกไม่นานจะมีคนอื่นเข้ามาแทนที่คุณ มันทำให้ผมต้องแสดงตัวตนของตัวเองออกมาให้มากที่สุด เพราะมีคนรอเสียบตลอดเวลา หากยังเป็นคนที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ" 

"เกิดเป็นกองหลังมันต้องดุดันเข้าไว้ แม้มันจะน่าเกลียดไปบ้าง แต่ก็ต้องทำคู่แข่งของเราขี้หดตดหาย" เปเป้ กล่าว

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ เปเป้ เป็นกองหลังชั้นยอดนอกจากสไตล์ความโหดแบบเตะไม่เลี้ยงแล้ว คนที่ช่วยเขาได้มากคือ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือที่เชี่ยวชาญเรื่องเกมรับเป็นพิเศษ การเข้ามาของ มูรินโญ่ คือว่าเป็นการขันน็อตกองหลังที่เข้าบอลเสี่ยง ๆ อย่าง เปเป้ ได้ใช้จุดแข็งที่แท้จริง มีการจูนหาคู่หูที่เข้าขารู้ใจกันอย่างดี และที่สำคัญคือ "ใจเท่ากัน" อย่าง เซร์คิโอ รามอส ก็ยิ่งทำให้ เปเป้ ลงล็อก และปลายเป็นสุดยอดกองหลังในยุคสมัยของเขา 

 

หัวใจนักสู้ในวัย 41 ปี 

ในปี 2019 คือปีที่ เปเป้ ต้องทำการโยกย้าย มันคือเรืองปกติของ เรอัล มาดริด ที่นี่จริงจังเรื่องคุณภาพ เมื่อนักเตะคนหนึ่งถึงเวลาที่พวกเขาเลยจุดพีก และกลายเป็นม้าแก่ที่กำลังอ่อนแรง เรอัล มาดริด พร้อมจะปล่อยพวกเขาออกจากทีมเสมอ แบบไม่มีการรั้งกันไว้ เช่นเดียวกันกับ เปเป้ ที่ ณ เวลานั้นอายุ 36 ปีแล้ว และดูเหมือนว่าเขาน่าจะเล่นได้แค่ปีหรือสองปีเท่านั้น 

ทว่าถึงตอนนี้ เปเป้ อยู่กับ ปอร์โต้ หนที่ 2 มาแล้วถึง 5 ปี ในวัย 41 ปี เขาแทบจะเป็นอีกคนไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยวัยวุฒิ ประสบการณ์ และกติกาในโลกฟุตบอลที่มี VAR เข้ามาช่วยในการตัดสิน และจัดการกับนักเตะที่เล่นนอกเกม 

สื่อที่โปรตุเกสถึงกับเรียกเขาว่า "แม่ทัพผู้เยือกเย็น" ในการบัญชาเกมรับในเกมที่ ปอร์โต้ เอาชนะ อาร์เซน่อล ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2023-24 ที่สนามดราเกา 

แน่นอนว่าด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม เขาจะเป็นคนที่วิ่งเข้าใส่ทุกจังหวะเหมือนตอนหนุ่ม ๆ ไม่ได้แล้ว โดย เปเป้ เป็นพี่ใหญ่ในแนวรับที่ใช้ประสบการณ์มาเล่น และสั่งการให้น้อง ๆ ในทีมมีสมาธิในการเล่นเกมรับ และมีระเบียบในการเล่นแต่ละจังหวะ คนไหนเข้า คนไหนซ้อน ทุกอย่างล้วนสั่งตรงจากปากของ เปเป้ ทั้งนั้น 

"กับนักเตะอย่าง เปเป้ คุณเรียนรู้จากเขาได้ทั้งวัน" โทนี่ มาร์ติเนซ กองหน้าดาวรุ่งของทีมที่ต้องดวลกับ เปเป้ ในสนามซ้อมอยู่เป็นประจำกล่าว

"คาแรคเตอร์ความเป็นผู้นำของเขาชัดเจนมาก พยายามช่วยเหลือผู้เล่นทุกคน แสดงให้ทุกคนเห็นว่าในสนามต้องทำอะไรบ้าง นอกสนามต้องทำตัวแบบไหน เขาไม่ได้เป็นแค่นักเตะที่ดี แต่ยังเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่โดดเด่นและเชื่อใจได้เสมอ" 

เรื่องนี้คนที่อธิบายได้ดีที่สุดคือคู่แข่งที่เจอ เปเป้ มากับตัวอย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด กัปตันทีมของ อาร์เซน่อล ที่บอกเล่าความแตกต่างของ เปเป้ เวอร์ชั่นแรกที่เขาเจอตอนที่ทั้งคู่อยู่ที่ เรอัล มาดริด ด้วยกัน และตอนนี้ในวัย 41 ปี ที่ ปอร์โต้ ที่ เปเป้ เปลี่ยนสไตล์ไปแล้ว

"เปเป้ ทำให้ผมไม่อยากจะเชื่อว่านักเตะในวัย 41 ปี จะสามารถทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ แน่นอนที่สุดจากผลงานที่เขาสร้างขึ้นมาผมให้ความเคารพเขาอย่างมาก และเคารพในสิ่งที่เขาด้วย สำคัญที่สุด เปเป้ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นเพื่อนร่วมทีม หรือคู่แข่งของเขา" โอเดการ์ด ให้สัมภาษณ์หลังเกมดังกล่าว

ตอนนี้ เปเป้ นิ่งสงบไปตามอายุ ตลอด 5 ปีกับ ปอร์โต้ รอบที่ 2 เขาโดนใบแดงเพียงแค่หนเดียวเท่านั้น จังหวะจะโคนในการสกัดบอลของเขาแม่นยำขึ้น นิ่งขึ้น และสิ่งที่เพิ่มมาคือสายตาที่กว้างไกลในการวางบอลยาวที่เป็นอาวุธใหม่ของเขา

สำคัญที่สุดคือ เปเป้ ยังไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะแขวนสตั๊ดเลย เพราะเขาเชื่อว่าเขาดูแลร่างกายตัวเองอย่างดี และยังมีแพสชั่นในการแข่งขันไม่เปลี่ยนแปลง

"เวลาของผมกับฟุตบอลยังเหลืออีกมาก ผมพูดด้วยความสัตย์จริง ผมรู้ว่าผมอายุเท่าไหร่ ไม่ต้องให้ใครมาเตือนผม และสิ่งที่ผมรู้ดียิ่งกว่าเรื่องอายุคือผมรู้ว่าตัวเองยังมีความสามารถพอที่จะเล่นในระดับสูงต่อไปหรือไม่  สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นของผมยังเหมือนเดิม"

"ผมยังหลงใหลในเกมฟุตบอล ยังอยากทำสิ่งที่ผมรัก ผมอุทิศตัวเองเพื่ออาชีพนี้ และผมพยายามดูแลตัวเองทุกด้านทุกเรื่องฟิตเนส การกิน การนอน ... ผมพยายามจะเล่นต่อให้นานที่สุดตราบที่ผมจะรู้สึกว่าผมไม่ไหว" เปเป้ กล่าว

หากยูโร 2024 หนนี้ เปเป้ ได้ลงเล่น เขาจะทำสถิติเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดตลอดกาลของทัวร์นาเมนต์ ซึ่งดูแล้วสถิตินี้คงเกิดขึ้นแน่หากดูจากเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมา และยิ่งในทัวร์นาเมนต์แบบนี้ ประสบการณ์ และคนที่ทนทานในสถานการณ์ที่กดดัน ล้วนเป็นนักเตะที่ทุกชาติต้องมี 

และนักเตะระดับอย่าง เปเป้ แม้จะอายุ 41 ปี จะเป็นคนที่ชี้ขาดผลการแข่งขันได้แน่ เชื่อว่าโปรตุเกส จะใช้ความเป็นผู้บัญชาการในเวอร์ชั่นใหม่นี้สร้างประโยชน์มากมายในยูโร 2024 และมันคงจะเท่ไม่น้อยถ้าเขาทำสถิตินักเตะอายุมากที่สุดที่คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้ 

อีกไม่กี่อึดใจยูโรจะเริ่มคิกออฟ ... เราจะได้เห็นม้าแก่อย่าง เปเป้ แสดงฝีเท้าออกมาให้เห็นว่า "คนหัวร้อน" ในความทรงจำของแฟน ๆ ณ ตอนนี้เปลี่ยนไปในแง่มุมที่น่าสนใจขนาดไหน ไม่นานเกินรอแน่นอน 

 

แหล่งอ้างอิง :

https://en.wikipedia.org/wiki/Pepe_(footballer,_born_1983)
https://www.thesportsman.com/features/exclusive-fc-porto-s-toni-martinez-talks-champions-league-chelsea-and-pepe
https://www.thesun.co.uk/sport/football/14370785/pepe-porto-real-madrid/
https://www.football24.news/laliga/135577/porto-will-renew-pepe-when-he-is-40-years-old.html
https://ca.news.yahoo.com/pepes-porto-beginning-dream-champions-210314490.html
https://www.world-today-news.com/porto-beats-juventus-and-cristiano-ronaldo-the-eternal-pepe/
https://www.besoccer.com/new/pepe-only-had-five-euros-at-beginning-of-career-940643

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น