Feature

ขออีกสักหน : ริยาด มาห์เรซ และ แอลจีเรีย กับฟุตบอลโลกอีกครั้ง ในรอบ 12 ปี | Main Stand

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ริยาด มาห์เรซ ดาวเตะทีมชาติแอลจีเรีย คือ หนึ่งในแข้งจากทวีปแอฟริกาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล 

 

เส้นทางค้าแข้งของเขาในนามทีมชาติ จากวันที่เป็นหนึ่งในขุนพลของทีมชาติแอลจีเรียชุดลุยฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล สู่การเป็นที่รู้จักของคนค่อนโลกในเวลานี้ 

เหตุการณ์เป็นมาอย่างไร? กับการพาทีมชาติแอลจีเรียตีตั๋วเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกได้อีกครั้งในรอบ 12 ปี ติดตามไปพร้อมกันที่นี่กับ Main Stand

 

ริมเส้นผู้โนเนม

ริยาด มาห์เรซ มีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นชาวแอลจีเรียจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ที่อพยพถิ่นฐานย้ายไปตั้งรกรากในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาเกิดและโตที่นั่น 

มาห์เรซ ก็เป็นเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไปที่หลงรักในฟุตบอล โดยมีผู้ปกครองคอยเป็นแรงสนับสนุนให้ในทุกฝีก้าว แต่ด้วยสรีระในวัยเด็กที่ดูผอมบาง ทำให้ในตอนที่เขาไปคัดตัวเพื่อเข้าศูนย์ฝึกเยาวชน มาห์เรซ กลับไม่ได้รับโอกาสจากสโมสรใดเลย

โลกนี้มักสร้างเสริมเติมแต่งเรื่องราวความเป็นนักสู้ให้คนอยากจะประสบความสำเร็จอยู่เสมอ ในวัย 15 ปี มาห์เรซ ต้องพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ นั่นคือ การจากไปของ "อาเหม็ด มาห์เรซ" คุณพ่อของเขา 

แม้จะขาดกำลังสำคัญที่คอยหนุนหลัง แต่เขายังคงสู้ต่อเพื่อเดินตามเส้นทางที่ตนเองรักต่อไป จนได้โอกาสจาก อาอาแอส ซาร์กแซลส์ ทีมเล็ก ๆ ในเมืองเกิดของเขาที่ประเทศฝรั่งเศส  

เขาใช้เวลาและโอกาสในการฟูมฟักทักษะของตัวเองกับที่ ซาร์กแซลส์ ประมาณ 5 ปี ก่อนที่ช่วงปี 2009 มาห์เรซ จะย้ายมาอยู่กับ แก็งแปร์ ทีมในลีกดิวิชั่นที่สูงขึ้น และได้ประเดิมสนามเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับ เลอ อาร์ฟ ในปี 2011

หลังเดบิวต์ในฐานะผู้เล่นอาชีพ ผลงานของ มาห์เรซ กับ เลอ อาร์ฟ ในลีกเดอซ์ หรือ ดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศส ก็เริ่มฉายแววจนโดดเด่นออกมา จนหลายคนมองว่าทีมอย่าง เลอ อาร์ฟ อาจจะเริ่มเล็กเกินไปสำหรับ ริยาด มาห์เรซ

ณ เวลานั้น เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมที่กำลังก่อร่างสร้างตัวหวังเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ก็ได้ส่งแมวมองไปเช็คฟอร์มผู้เล่นของ เลอ อาร์ฟ ซึ่งไม่ใช่ ริยาด มาห์เรซ แต่เป็น ไรอัน เมนเดส แข้งดาวรุ่งชาวหมู่เกาะเคปเวิร์ด ที่เป็นแกนหลักในทีมชาติชุดปัจจุบันที่เพิ่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในปี 2026

แต่ด้วยฟอร์มอันโดดเด่นของ มาห์เรซ ที่โดดเด้งออกมา ทำให้ตัวรุกริมเส้นรายนี้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของ เลสเตอร์ ซิตี้ แทนที่ ไรอัน เมนเดส 

ก่อนที่ทัพ "จิ้งจอกสยาม" จะปิดดีลคว้าตัว ริยาด มาห์เรซ มาจาก เลอ อาร์ฟ สนนราคาเพียงแค่ 400,000 ปอนด์ ในช่วงตลาดเดือนมกราคม 2014 เพื่อมาโม่แข้งในศึกแชมเปี้ยนชิพ ลีกรองของอังกฤษ

จากผลงานในฤดูกาลนั้น 17 นัด 2 ประตู 5 แอสซิสต์ กับ เลอ อาร์ฟ และอีก 19 นัด 3 ประตู 4 แอสซิสต์ที่ เลสเตอร์ มันก็เพียงพอที่จะทำให้ วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช กุนซือทีมชาติแอลจีเรีย ณ เวลานั้น จัดการใส่ชื่อ ริยาด มาห์เรซ เพื่อเตรียมลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล 

แอลจีเรียลงเล่น 3 ในนัดรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับ เบลเยียม, เกาหลีใต้ และรัสเซีย จบที่ 4 คะแนน เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มตาม เบลเยียม เข้าไปในรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ เยอรมัน 

ซึ่ง แอลจีเรีย เกือบจะต้านทานเกมรุกของ เยอรมัน ได้ แต่สุดท้ายก็พ่ายให้ทัพ "อินทรีเหล็ก" ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 จอดป้ายเพียงแค่รอบ 16 ทีม 

ผลงานภาพรวมของ แอลจีเรีย อาจจะดูไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น แต่สิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของ มาห์เรซ น่าจะเป็นโอกาสที่เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงประมาณ 72 นาที ในเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่มนัดที่ แอลจีเรีย พ่ายต่อ เบลเยียม 1-2 ซึ่งนั่นคือเวลาทั้งหมดที่ มาห์เรซ ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2014

 

ที่ที่ใช่ ในวันที่ใช่

ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงแรกตัวของ มาห์เรซ ยังไม่ได้โอกาสลงเล่นมากนัก ส่วนหนึ่ง คือ เรื่องของการปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งครอบครัวของเขาค่อนข้างไม่เห็นด้วย กับการที่ มาห์เรซ ตัดสินใจย้ายมาเล่นในเกาะอังกฤษ เพราะมองว่าสไตล์การเล่นของมาห์เรซนั้นเหมาะกับฟุตบอลสเปนมากกว่า 

แต่อุปสรรคมีไว้ให้ท้าทายในแบบฉบับของนักสู้ มาห์เรซทำผลงานได้ดีกับ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยเพียงแค่ฤดูกาลแรกเขาก็มีส่วนในการพา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ และได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในรอบ 10 ปี 

ปีแรกของ มาห์เรซ ในเวทีพรีเมียร์ลีกอาจจะยังไม่ถึงขั้นโดดเด่นเป็นแกนหลักของทีม แต่อย่างน้อยเขาก็มีส่วนช่วยให้ เลสเตอร์ อยู่รอดบนลีกสูงสุดได้สำเร็จ ก่อนที่กลุ่มก้อนผู้เล่นชุดนี้จะสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันในปีต่อมา

"เทพนิยายจิ้งจอกสยาม" "5000:1" เหล่านี่คือคำนิยามความเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2015-16 ภายใต้การคุมทีมของ "Mister Tinkerman" เคลาดิโอ รานิเอรี่ 

ทุกสายตาต่างจับจ้องและพูดถึงการมารวมตัวของแข้งเหล่านี้ อย่างเช่น เจมี่ วาร์ดี้ ที่คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการจบสกอร์ ผนวกกับคู่กองหน้าจอมขยันอย่าง ชินจิ โอกาซากิ 

ไหนจะมี 2 กองกลางที่คอยปัดกวาดเกมแดนกลางอย่าง เอ็นโกโล่ กองเต้ กับ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ รวมถึง 3 ปราการด่านสุดท้ายที่เหนียวแน่นในเกมรับทั้งคู่เซ็นเตอร์แบ็ก โรเบิร์ต ฮูธ กับ เวส มอร์แกน และผู้รักษาประตู แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล

และคนที่ขาดไม่ได้ในการสร้างเทพนิยายให้กับ เลสเตอร์ คือ ตัวของ ริยาด มาห์เรซ ที่ฝากผลงานการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 37 นัด 17 ประตู 11 แอสซิสต์

ก่อนที่ในปีนั้น มาห์เรซ จะก้าวไปคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกา รวมไปถึงรางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของ เลสเตอร์ ตลอดจนกับสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ PFA 

การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ เลสเตอร์ ซิตี้ แบบที่มี มาห์เรซ เป็นหนึ่งในคีย์แมน ทำให้ผู้คนรู้จักชื่อของเขามากขึ้น และหลายคนมองว่า ประตูส่วนใหญ่ของ เจมี่ วาร์ดี้ ก็เกิดจากการแอสซิสต์ของชายคนนี้ ซึ่งในเวลาต่อมาทั้งคู่ก็ถูกสื่อจับตามองว่าเป็นคู่หูสุดอันตรายของทัพ "จิ้งจอกสยาม" 

มาห์เรซ อยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ นาน 5 ฤดูกาล ก่อนจะถึงจุดที่เขาต้องร่ำลา ซึ่งเรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่หลังจบฤดูกาล 2016-17 ที่ตัวแข้งชาวแอลจีเรียแสดงความต้องการออกจาก เลสเตอร์ ซึ่งทาง อาร์เซน่อล และ โรม่า ให้ความสนใจในตลาดนักเตะฤดูร้อนปี 2017 แต่ตกลงกันไม่ได้ 

ก่อนที่เรื่องจะปะทุอีกครั้งช่วงตลาดนักเตะฤดูหนาวปี 2018 เมื่อยักษ์ใหญ่ของลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ยื่นข้อเสนอเข้ามา แต่เลสเตอร์ปฏิเสธข้อเสนอแรก ทำให้ มาห์เรซ หลุดโฟกัสกับเรื่องในสนามจนไม่ได้โอกาสลงเล่นในบางเกม 

ซึ่งหนึ่งคนที่เหมือนจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากข่าวการย้ายทีมของมาห์เรซ คือ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports ว่า 

"มันก็เป็นแบบนี้แหละ มีข้อเสนอเข้ามา แต่ก็ถูกปฏิเสธ และคุณน่าจะเข้าใจถึงความรู้สึกผิดหวังของเขาได้ แต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป"

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และอาร์เซน่อล ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ณ ขณะนั้น ได้เปิดศึกชิงตัวของ ริยาด มาห์เรซ หลังเจ้าตัวออกมาประกาศว่าเขาจะย้ายออกจาก เลสเตอร์ อีกครั้งหลังจบฤดูกาล 2017-18 

สุดท้ายในตลาดนักเตะฤดูร้อนปี 2018 เป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ปิดดีล มาห์เรซ ได้ด้วยค่าตัวประมาณ 60 ล้านปอนด์ เป็นสถิตินักฟุตบอลจากทวีปแอฟริกาที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกในตอนนั้น ก่อนที่ค่าตัวดังกล่าวจะถูก นิโกล่าส์ เปเป้ ที่ย้ายซบ อาร์เซน่อล ทำลายลงในปีต่อมา

กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัวของ มาห์เรซ คือ กุญแจสำคัญในการต่อยอดความยิ่งใหญ่ให้กับ "เรือใบสีฟ้า" และยกระดับตัวเองให้เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลกได้มากขึ้น รวมถึงผลงานการพาทีมชาติแอลจีเรียคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกามาครองได้ในปี 2019

มาห์เรซ ลงเล่นในถิ่น เอติฮัต สเตเดี้ยม 5 ฤดูกาล กวาดความสำเร็จร่วมกับทีมมากมายก่ายกอง มาถึงจุดนี้้ เขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้ว 5 สมัยรวมกับที่เลสเตอร์, เอฟเอ คัพ 2 สมัย , ลีก คัพ 3 สมัย 

อีกทั้งเป็นหนึ่งในขุนพลชุดที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรก กับแมนฯ ซิตี้ ก่อนจะโบกมืออำลาฟุตบอลอังกฤษ และเดินทางสู่เวทีลูกหนังแดนตะวันออกกลาง กับ อัล อาห์ลี ในลีกซาอุดีอาระเบีย 

โดย อัล อาห์ลี ได้ยื่นข้อเสนอให้ แมนฯ ซิตี้ 30 ล้านปอนด์ เพื่อขอดึง มาห์เรซ ในวัย 32 ปี ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ ก็ตอบรับตัวเลขนี้ ทำให้ดาวเตะทีมชาติแอลจีเรียได้ออกมาหาความท้าทายครั้งใหม่ใน ซาอุดี โปรลีก ช่วงตลาดนักเตะฤดูร้อนปี 2023

 

กอบโกย ขาลง ?

การย้ายมาค้าแข้งใน ซาอุดี โปรลีก ของ มาห์เรซ ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ถูกนำเข้ามาลงเล่นที่ตะวันออกกลางร่วมกับผู้เล่นชื่อดังคนอื่น ๆ อีกมากมายในตลาดซื้อขายรอบเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์ ที่ย้ายจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยค่าตัวมหาศาลกว่า 90 ล้านยูโร นอกจากนี้ยังมี คาริม เบนเซม่า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, คาลิดู คูลิบาลี่, อายเมริก ลาปอร์กต์, ฟร้องก์ เกสซิเย่, มาร์เซโล่ โบรโซวิช รวมถึง 5 ผู้เล่นศิษย์เก่า ลิเวอร์พูล ทั้ง จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ฟาบินโญ่ และ ซาดิโอ มาเน่

นักเตะเหล่านี้ มีหลายทีมใน ซาอุดี โปรลีก เลือกดึงเลือกเสริมเข้ามา โดยมีจุดประสงค์หลักที่เชื่อมโยงไปถึงโปรเจกต์ใหญ่ระดับประเทศอย่าง Saudi Vision 2030

โปรเจกต์นี้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลอย่างไร ? โปรเจกต์ Saudi Vision 2030 คือ แผนพัฒนาประเทศแบบระยะยาวของซาอุดีอาระเบีย ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน และสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคม 

โดยมีเป้าหมายหลัก 3 เสา คือ การสร้างสังคมที่มีชีวิตชีวา (Vibrant Society), การสร้างเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู (Thriving Economy) และการเป็นชาติที่มีศักยภาพ (Ambitious Nation)

ซึ่งโปรเจกต์ Saudi Vision 2030 นั้นได้มีการนำเรื่องของกีฬาเข้ามาผสมผสานด้วย เพราะพวกเขาตั้งใจจะใช้กีฬาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ 

เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับนานาชาติ และการส่งเสริมลีกภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น เป้าหมาย คือ การยกระดับซาอุดีอาระเบียสู่เวทีการกีฬาระดับโลก และสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากน้ำมัน

แล้วกีฬาอะไรที่จะสามารถดึงดูดฐานแฟนบอลและสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศชาติได้ถ้าไม่ใช่ "ฟุตบอล" ทำให้ซาอุดีอาระเบียยอมทุ่มงบประมาณหลักหลายพันล้านยูโร เพื่อโน้มน้าวให้นักเตะย้ายมาโลดแล่นในลีกของประเทศมากขึ้น

และด้วยการที่ซาอุดีอาระเบียมีแหล่งเงินทุนขนาดมหึมา ทำให้พวกเขามีสายป่านทางธุรกิจที่แข็งแรงมาก ซึ่งเรื่องของเม็ดเงินรายได้ คือ หนึ่งในเหตุผลหลักที่เหล่านักเตะเลือกมาลงเล่นกันที่นี่

เช่นเดียวกับตัวของ ริยาด มาห์เรซ โดยสัญญาฉบับสุดท้ายที่เซ็นกับ แมนฯ ซิตี้ อ้างอิงจากเว็บไซต์ Capology มาห์เรซ รับค่าเหนื่อยปีละ 9.6 ล้านยูโร ตกสัปดาห์ละประมาณ 185,000 ยูโร แต่กับที่ อัล-อาห์ลี ตัวเลขพุ่งกระฉูดไปสูงถึงปีละ 52.2 ล้านยูโร หรือคิดแบบตัวเลขกลม ๆ ก็สัปดาห์ละ 1 ล้านยูโร มากกว่าเดิมถึง 5 เท่า 

เรียกได้ว่าค่าเหนื่อยเพียงแค่ 1 ฤดูกาล ตัวของ มาห์เรซ และครอบครัวก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้แบบอภิมหาเศรษฐีเลย

อีกหนึ่งเหตุผลในการย้ายมาซาอุดีอาระเบียแบบที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ เรื่องของศาสนาและการใช้ชีวิต เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า มาห์เรซ รวมถึงนักฟุตบอลอีกหลาย ๆ คนที่ตัดสินใจย้ายเข้ามา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม 

ซึ่งซาอุดีอาระเบียเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของนครเมกกะและเมดินะฮ์ สองนครอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาอิสลาม

ทำให้การจะเดินทางมาทำพิธีฮัจญ์ในนครเมกกะก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินไป โดยระยะทางจากเมืองเจดดาห์ที่มาห์เรซอาศัยอยู่จนถึงนครเมกกะห่างกันประมาณ 84 กิโลเมตรเท่านั้น

แถมสภาพภูมิอากาศรวมถึงสภาพภูมิประเทศของ ซาอุดีอาระเบีย ก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับที่ แอลจีเรีย อยู่ไม่มากก็น้อย ทั้งในเรื่องของเขตที่ตั้งที่อยู่ในภูมิภาคทะเลทรายที่มีอากาศร้อนจัด มีปริมาณฝนน้อยมากตลอดทั้งปี 

ส่วนสภาพอากาศ เนื่องด้วยทั้งสองประเทศมีสัดส่วนของพื้นที่ทะเลทรายใกล้เคียงกัน ทำให้อากาศค่อนข้างที่จะแห้งแล้งในตอนกลางวันก่อนจะหนาวจัดในยามที่พระอาทิตย์ตกดิน เหตุผลเหล่านี้เลยอาจส่งผลให้ ริยาด มาห์เรซ ย้ายมาแล้วไม่ต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตมากนัก เพราะพอจะคุ้นชินเวลาเดินทางกลับมารับใช้ทีมชาติแอลจีเรียอยู่ก่อนแล้ว

 

ความสำเร็จที่ยังเดินหน้าต่อ

ณ ตอนนี้ ฤดูกาล 2025-26 เข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 กับ อัล อาห์ลี แล้ว แต่ ริยาด มาห์เรซ บนวัย 34 ปียังคงเป็นกำลังสำคัญให้กับสโมสรอยู่ พาทีมคว้าแชมป์ใหญ่ระดับทวีปอย่าง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก อีลีท มาครองเมื่อฤดูกาล 2024-25 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าได้แชมป์รายการนี้ก่อนดาวดังอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า หรือแม้แต่ เนย์มาร์ เสียอีก แถมยังสามารถคว้าแชมป์ ซาอุดี ซูเปอร์ คัพ มาได้เพิ่มอีก 1 รายการจากการเอาชนะ อัล-นาสเซอร์ ด้วยการดวลจุดโทษ     

ขณะที่ผลงานกับ แอลจีเรีย ในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนแอฟริกา กลุ่ม G พวกเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ชนะ 8 เสมอ 1 และแพ้แค่ 1 นัด ทำแต้มทิ้งห่างอันดับ 2 แบบขาดลอย ก่อนคว้าสิทธิ์ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย อย่างเป็นทางการ

จากเด็กที่เติบโตในฝรั่งเศสสร้างผลงานจนเริ่มมีชื่อเสียง ก่อนจะมายกระดับฝีเท้าที่อังกฤษและถูกเรียกไปติดทีมชาติ แอลจีเรีย เพื่อลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 แต่กลับไม่ค่อยได้โอกาสลงเล่นเท่าที่ควร  

แต่จนถึงตอนนี้เขาผ่านการรับใช้ทีมชาติมาแล้วเกิน 100 นัด พัฒนาฝีเท้าก่อนได้รับโอกาสให้เป็นกัปตันทีม และเป็นกำลังสำคัญที่พาขุนพล "นักรบทะเลทราย" ไปลุยฟุตบอลโลก 2026 ได้สำเร็จ 

ทั้งนี้หาก มาห์เรซ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นให้อยู่ในระดับท็อป และไม่มีอาการบาดเจ็บเข้ามารบกวน เชื่อว่าเขาน่าจะได้ลงเล่นฟุตบอลโลกในปีหน้า มากกว่า 72 นาทีในฟุตบอลโลกหนแรกของเขาเมื่อ 12 ปีก่อนอย่างแน่นอน

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.transfermarkt.com/riyad-mahrez/profil/spieler/171424
https://www.skysports.com/football/news/11712/11262148/jamie-vardy-how-leicester-meeting-resolved-riyad-mahrez-transfer-saga
https://en.wikipedia.org/wiki/Le_Havre_AC
https://en.wikipedia.org/wiki/Riyad_Mahrez#
https://www.transfermarkt.com/riyad-mahrez/nationalmannschaft/spieler/171424/verein_id/3614

Author

เจษฎา บุญประสม

EAT, SLEEP, TRAVEL, RACE, MAKE LOVE, REPEAT

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ