Feature

เครโมเนเซ่ : น้องใหม่ เซเรีย อา จากเมืองแห่งการอนุรักษ์มรดกโลก | Main Stand

ฤดูกาล 2025-26 ถ้าจะพูดถึง 3 ทีมน้องใหม่ในกัลโช่ เซเรีย อา ทีมที่มีเรื่องราวน่าสนใจอยู่ไม่น้อยก็คงจะเป็น อูเอสเซ่ เครโมเนเซ่ (US Cremonese)

 


แม้จะเป็นเมืองขนาดเล็กที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี แต่กลับอุดมไปด้วยการอนุรักษ์ในหลากหลายแง่มุม มีสิ่งที่โดดเด่นเป็นตัวชูโรงประจำเมือง แถมยังเป็นทีมที่ก่อร่างสร้างนักฟุตบอลท้องถิ่นให้ขึ้นมาเติบโตยังลีกสูงสุดของประเทศด้วย

ถ้าอยากจะรู้เรื่องราวให้ลึกซึ้งถึงการเป็นเมืองมรดกโลก ติดตามได้ที่ Main Stand

 

ทำความรู้จักเมืองเครโมน่า

เครโมน่า เป็นเมืองและเทศบาลทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่ในแคว้นลอมบาร์ดี้ บริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำโปในใจกลางหุบเขาโป เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเครโมน่าและเป็นที่ตั้งของรัฐบาลเมืองและจังหวัดในท้องถิ่น

พื้นที่ของเมืองเครโมน่าอยู่ที่ประมาณ 69.7 ตารางกิโลเมตร แต่มีประชากรมากถึง 71,223 คน เฉลี่ยแล้วจะมีประชากรอยู่ที่ 1,020 คน ต่อ ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างหนาแน่น

ต้นกำเนิดของเมืองเครโมน่าอาจต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งแต่ตอนที่ชนเผ่าเซโนมานี่มาตั้งรกรากจนเป็นชุมชน ก่อนจะมาเป็นหนึ่งในฐานทัพของทหารโรมันในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ เมืองเครโมน่ายังมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นอีกมากมาย รวมถึงการก่อสงครามต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่กันมาหลายยุคหลายสมัย และมีการเนรมิตรสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นับเป็นเมืองที่มีความเป็นมาเป็นไปในอดีตค่อนข้างน่าสนใจ ซึ่งถ้าจะให้เอ่ยถึงทั้งหมดก็อาจจะต้องกินเวลากันนานพอสมควร เพราะแต่ละช่วงเวลาจะมีเหตุการณ์ยิบย่อยเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการต่อสู้และการยึดอำนาจ 

ภายในเมืองเล็ก ๆ ที่พื้นที่อาจจะไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่เมืองเครโมน่ากลับมีสิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรม รวมถึงโบราณสถานที่สำคัญทางศาสนาอยู่หลายแห่ง เป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากในสมัยอดีตเมื่อหลายร้อยหลายพันปีที่แล้ว

หากจะให้แนะนำสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองเครโมน่าก็อย่างเช่น หอระฆังตอร์ราซโซ่  (Torrazzo) ซึ่งเป็นหอระฆังทำจากอิฐที่สูงเป็นอันดับ 3 ในยุโรป หรือจะเป็นโรงละคร อามิลคาเร่ ปอนคิเอลลี่ (Teatro Amilcare Ponchielli) ที่จัดงานแสดงโอเปร่ามานานเกินกว่า 250 ปี

และหนึ่งในสถานที่สำคัญที่รวบรวมผลงานอันเลื่องชื่อประจำเมืองเอาไว้ นั่นคือ มูเซโอ เดล วิโอลิโน่ (Museo del Violino) หรือพิพิธภัณฑ์ไวโอลิน เป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการเก็บคอลเล็กชั่นเครื่องสายต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอล่า เชลโล่ และดับเบิ้ลเบส ที่รังสรรค์โดยช่างทำไวโอลินระดับตำนานเมื่อหลายร้อยปีก่อน

แล้วเหตุใดที่เครื่องสายอย่าง ไวโอลิน จึงถูกนำมาจัดแสดงอย่างทรงคุณค่าภายในเมืองเครโมน่า คำตอบจะอยู่ในหัวข้อต่อไป …

 

ดินแดนแห่งการอนุรักษ์และมรดกโลก

หนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวชูโรงให้กับเมืองเครโมน่า แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ซึ่งเมืองเครโมน่า คือ ศูนย์กลางทางดนตรีที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 ถึงศตวรรษที่ 16

ในอดีตกาลเมืองนี้มีวงดนตรี คณะนักร้อง รวมถึงกลุ่มนักประสานเสียงเกิดขึ้นมากมายในช่วงยุคเรอเนซองส์และบาโรก

นอกจากจะมีวงดนตรีที่ชื่อเสียงกระฉ่อนเมืองแล้ว เรื่องของการผลิตเครื่องดนตรีก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ประชากรของเมืองเครโมน่าทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน

นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา เมืองเครโมน่ามีชื่อเสียงในฐานะของแหล่งผลิตเครื่องดนตรีโดยเฉพาะเครื่องสายอย่าง ไวโอลิน 

ซึ่งบุคคลที่เป็นถึงปรมาจารย์ในการรังสรรค์ไวโอลินให้เป็นผลงานสร้างชื่อประจำเมือง ได้แก่ อันเดรีย อามาติ (Andrea Amati) กับ ฟรานเชสโก้ รูเกรี่ (Francesco Rugeri) ต่อเนื่องจนมาถึงยุคของ จูเซ็ปเป้ กวาร์เนรี่ (Giuseppe Guarneri) และ อันโตนิโอ สตราดิวารี่ (Antonio Stradivari) 

การผลิตเครื่องสายไวโอลินกลายเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมายาวนานหลายร้อยปี ด้วยความที่เป็นงานฝีมือเฉพาะทาง ต้องใช้เวลาและความประณีตบรรจงเพื่อรักษาคุณภาพ ทำให้แต่ละปีช่างฝีมือภายในเมืองเครโมน่าจะทำไวโอลินออกมาได้เพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น

เหตุนีัเองทำให้ในปี 2012 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้จารึกให้งานผลิตไวโอลินแบบดั้งเดิมของเมืองเครโมน่ากลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เป็นการอนุรักษ์ให้งานฝีมือยังอยู่คู่กับเมืองแห่งนี้ต่อไป

อีกทั้งเมืองเครโมน่ายังได้มีการอนุรักษ์สิ่งต่าง ๆ เอาไว้เพิ่มเติมด้วย เช่น ผลผลิตทางการเกษตรจำพวก ขนมหวานนูกัต ที่มีชื่อว่า ตอร์โรเน่ (Torrone), ชีสกราน่า ปาดาโน่ (Grana Padano), ผลไม้ในน้ำเชื่อม ที่เรียกกันว่า โมสตาร์ด้า (Mostarda) 

รวมไปถึงกีฬาอย่าง บาสเกตบอล, แข่งเรือพาย และเรือแคนู ที่ชาวเมืองต่างก็อนุรักษ์สืบทอดมานานนับศตวรรษ จนมันกลายเป็นประเพณีประจำเมืองไปโดยปริยาย

 

ทีมฟุตบอลแห่งโอกาส 

ภายในเมืองเครโมน่าพวกเขาก็มีทีมฟุตบอลให้ได้เชียร์กันในท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ อูนิโอเน่ สปอร์ติว่า เครโมเนเซ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ อูเอสเซ่ เครโมเนเซ่ (US Cremonese) ก่อตั้งในวันที่ 24 มีนาคม ปี ค.ศ. 1903

เหตุผลที่มีการก่อตั้งสโมสรเครโมเนเซ่ เพราะด้วยจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านพลศึกษา ความรักในกีฬา วินัย และความสามัคคี เพื่อให้สมาคมฟุตบอลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและประเทศชาติได้ 

ส่วนฉายาของ เครโมเนเซ่ ก็มีอยู่ด้วยกันหลายชื่อทั้ง ลา เครโม (La Cremo) ที่เป็นชื่อย่อของสโมสร หรือจะเป็น อี กริโจรอสซี่ (I Grigiorossi) หมายถึงสีเทาและสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำสโมสร

เล ติกรี (Le Tigri) หมายถึง เสือป่า เป็นการอ้างอิงถึงสไตล์การเล่นที่ดุดันของทีมในช่วงเวลาหนึ่ง 

และฉายาที่น่าจะสื่อถึงความเป็นเครโมเนเซ่ได้อย่างชัดเจน คือ อี วิโอลินี่ (I Violini) หมายถึง เครื่องดนตรีไวโอลิน ที่เป็นมรดกตกทอดประจำเมืองเครโมน่า 

แนวทางการทำทีมของ เครโมเนเซ่ ตั้งแต่ชุดเยาวชน สโมสรจะให้โอกาสกับบรรดาเด็ก ๆ ที่อยู่ในเมืองเครโมน่า รวมถึงเมืองอื่น ๆ ในละแวกนั้น ไม่ว่าจะเป็น ปิอาเชนซ่า, เบรสชา, แบร์กาโม่ และมิลาน ก้าวเข้ามาฝึกซ้อมกับทีมและมีลุ้นเติบโตเป็นผู้เล่นชุดใหญ่ให้กับ เครโมเนเซ่ ในอนาคต

ในอดีตเคยมีนักเตะชื่อดังหลายคนที่เป็นเด็กสร้างของ เครโมเนเซ่ บางคนถึงขั้นกลายเป็นตำนานลูกหนังกัลโช่ในเวลาต่อมา เช่น เชซาเร่ ปรันเดลลี่, จูเซ็ปเป้ ฟาวาลลี่ รวมถึง จานลูก้า วิอัลลี่ ผู้ล่วงลับ

ขณะที่ เฟเดริโก้ บาสคิร็อตโต้ กับ นิโคโล่ ฟาโจลี่ ก็เป็น 2 เด็กปั้นของ เครโมเนเซ่ ที่มีชื่อเสียงและยังค้าแข้งในเซเรีย อา ณ ปัจจุบัน ส่วนนักเตะอย่าง เอ็นริโก้ เคียซ่า แม้จะไม่ได้เป็นเด็กในอะคาเดมี แต่เขาก็เคยลงเล่นให้กับทีมนี้สมัยเป็นดาวรุ่ง

 

เสือเทาแดงที่ล้มแล้วลุกเสมอ

เครโมเนเซ่ ถือเป็นสโมสรขนาดเล็กที่ก็มักจะวนเวียนลงเล่นอยู่ในลีกรองเป็นส่วนใหญ่ โดยดิวิชั่นที่ทีมลงแข่งบ่อยครั้งมากที่สุด เห็นทีจะเป็น เซเรีย เซ (Serie C) หรือเทียบเท่ากับดิวิชั่น 3 ของอิตาลี

พวกเขาใช้เวลาอยู่ใน เซเรีย เซ นับรวมตลอดทุกช่วงเวลาแล้วมากกว่า 43 ฤดูกาล และมีเพียงแค่ 7 ฤดูกาลเท่านั้นที่ได้ขึ้นชั้นสู่เซเรีย เบ (Serie B)

ในอดีต ตัวเลขในการขึ้นชั้นจาก เซเรีย เซ ไปยัง เซเรีย เบ ของ เครโมเนเซ่ ถือว่าน้อยมาก โดยฤดูกาลล่าสุดที่ เครโมเนเซ่ ลงเล่นใน เซเรีย เซ เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คือ ในปี 2017 ก่อนที่พวกเขาจะทะยานขึ้นมารักษาพื้นที่เซเรีย เบได้แบบยาว ๆ

ถัดมาในลีก เซเรีย เบ เครโมเนเซ่ ใช้เวลาอยู่ที่ลีกดิวิชั่น 2 รวมตลอดทุกช่วงเวลาประมาณ 33 ฤดูกาล เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับตอนอยู่ เซเรีย เซ

ส่วนการเลื่อนชั้นจาก เซเรีย เบ ไปสู่ เซเรีย อา พวกเขาคว้าโอกาสเลื่อนชั้นได้เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น ซึ่งกว่าที่ เครโมเนเซ่ จะได้เลื่อนชั้นต้องรอถึงฤดูกาล 1983-84 สิ้นสุดการรอคอยมานานกว่า 54 ปีนับตั้งแต่ที่พวกเขาตกชั้นลงมาในปี 1930

แต่การห่างหายจากลีกสูงสุดไปร่วมครึ่งศตวรรษ ทำให้ เครโมเนเซ่ ไม่สามารถต่อกรความเข้มข้นกับบรรดาทีมอื่น ๆ ใน เซเรีย อา ได้นานเท่าที่ควร ส่งผลให้พวกเขาตกชั้นกลับมาในฤดูกาล 1984-85

จากนั้นช่วงปลายยุค 1980 จนถึงกลางยุค 1990 นับเป็นเวลาที่ เครโมเนเซ่ คือ หนึ่งในทีมน้ำกร่อยของฟุตบอลอิตาลี เพราะต่อให้จะเลื่อนชั้นกลับไปยัง เซเรีย อา ได้ แต่เพียงแค่ 1-2 ไม่เกิน 3 ฤดูกาล เครโมเนเซ่ ก็จะตกชั้นกลับมายังลีกรองตามเดิม

อย่างไรก็ตาม ในปี 1993 ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกปรามาสว่าเป็นทีมน้ำกร่อย พวกเขามีโปรแกรมต้องลงแข่งในทัวร์นาเมนต์ที่ชื่อไม่คุ้นอย่าง "แองโกล-อิตาเลียน คัพ" เป็นรายการบอลถ้วยข้ามชาติที่จะมีทีมตัวแทนจากอังกฤษและอิตาลีมาแข่งขันกัน

วันที่ 24 มีนาคม 1993 เครโมเนเซ่ ได้จัดการเฉลิมฉลองวันก่อตั้งสโมสรซึ่งครบรอบ 90 ปี และอีกเพียงแค่ 3 วันต่อมา พวกเขาต้องลงแข่งทัวร์นาเมนต์แองโกล-อิตาเลียน คัพ เจอกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ผลปรากฏว่าเป็น เครโมเนเซ่ ที่สามารถบุกไปเอาชนะได้ที่สนามเวมบลีย์ด้วยสกอร์ 3-1 คว้าแชมป์รายการนี้มาฉลองร่วมกับการครบรอบสโมสรไปด้วย 

ไม่เพียงเท่านั้น ในวันที่ 13 มิถุนายน ปีเดียวกัน เครโมเนเซ่ ก็ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับไปยัง เซเรีย อา อีกครั้ง ถ้าจะบอกว่านี่นับเป็นปีที่พวกเขามีความสุขมากที่สุดก็คงจะไม่เกินจริง

ต่อให้จะล้มลงไปสู่ลีกรองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จิตวิญญาณนักสู้ที่ติดตัวมาสมัยบรรพกาล ทำให้ เครโมเนเซ่ กลายเป็นทีมที่ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา มุ่งมั่นเพื่อที่จะกลับมายังลีกสูงสุดได้เสมอ

จนในฤดูกาล 2024-25 เครโมเนเซ่ จบฤดูกาลด้วยการคว้าโควตาเพลย์ออฟเลื่อนชั้น ซึ่งพวกเขาก็ฝ่าด่าน ชนะ ยูเว่ สตาเบีย ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนเอาชนะ สเปเซีย ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าตั๋วใบสุดท้ายขึ้นสู่ เซเรีย อา ได้สำเร็จ

 

ปีแห่งความหวังในการอยู่รอด

หลังผิดหวังไปกับการตกชั้นหลายรอบ มาคราวนี้ เครโมเนเซ่ ที่ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกคำรบ พวกเขาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนขุมกำลังกันแบบยกใหญ่

เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งกุนซือที่เปลี่ยนจาก โจวานนี่ สโตรปป้า โค้ชผู้พาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ เซเรีย อา กลายเป็น ดาวิเด้ นิโกล่า ที่พวกเขาไปดึงมาจาก กายารี่ 

ตัดภาพมาที่ขุมกำลังนักเตะปีนี้ เครโมเนเซ่ มีการวางแผนเสริมผู้เล่นเข้ามาค่อนข้างเยอะ แต่จะผสมผสานกันระหว่างดาวรุ่งกับตัวมีประสบการณ์ โดยพวกเขาไปคว้าตัว เอมิล เอาเดโร่ ประตูมากประสบการณ์มาจาก โคโม่

ส่วนตำแหน่งแนวรับ สโมสรเริ่มด้วยการปิดดีลเด็กเก่าอย่าง เฟเดริโก้ บาสคิร็อตโต้ กลับมาจาก เลชเช่ พร้อมกับเสริมความสดด้วย มิคายิล เฟย์ จาก แรนส์, ฟิลิปโป้ เตรัชชาโน่ ของ เอซี มิลาน รวมไปถึง โรมาโน่ ฟลอริอานี่ มุสโซลินี่ ที่ยืมตัวมาจาก ลาซิโอ 

ขยับมาที่แดนกลางฝั่งของ เครโมเนเซ่ ก็เลือกที่จะเสริมผู้เล่นใหม่ในแบบแผนที่เหมือนกัน คือ การผสมผสานระหว่างความสดและประสบการณ์ 

แต่จุดที่น่าจับตามองสำหรับ เครโมเนเซ่ ได้แก่ การเสริมทัพตำแหน่งตัวรุก เพราะทีมไปยืมตัว 2 แข้งอายุน้อยอย่าง เฌเรมี่ ซาร์เมียนโต้ มาจาก ไบรท์ตัน และ ฟาริส มูมบาญ่า ของ โอลิมปิก มาร์กเซย  

รวมถึงการดึง อันโตนิโอ ซานาเบรีย กองหน้าที่ฟอร์มดีกับ โตริโน่ และ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าเสือเฒ่าวัย 38 ปีที่หมดสัญญากับ เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนมุ่งหน้ามาหาความท้าทายกับทีมน้องใหม่ในลีกอิตาลี

กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ฤดูกาล 2025-26 ที่เพิ่งเปิดลีกมาได้ไม่นาน ใครจะไปคาดคิดว่าทีมอย่าง เครโมเนเซ่ จะทะยานขึ้นมาอยู่ครึ่งบนตาราง

แถมเกมนัดเปิดฤดูกาล เครโมเนเซ่ ก็ได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการบุกไปเฉือนชนะ เอซี มิลาน ถึงสนาม ซาน ซิโร่ 2-1 แม้ระยะหลังทีมจะเริ่มไม่ค่อยชนะใคร แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นถึงคุณภาพในเกมรับที่พอสู้ทีมอื่น ๆ บนลีกสูงสุดได้บ้าง

อาจจะไม่ต้องถึงขั้นล้มยักษ์ชนะทีมใหญ่ในทุกเกม แต่ถ้านัดไหนที่เจอกับทีมที่พอฟัดพอเหวี่ยง พวกเขาก็พยายามที่จะเก็บแต้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ซึ่งจากที่เห็นผลงาน ณ เวลานี้ ประกอบกับสถานการณ์ของทีมอื่น ๆ ที่ก็ยังไม่สู้ดีนัก มีความเป็นไปได้ว่า เครโมเนเซ่ อาจจะสามารถอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้แบบที่ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยในช่วงท้ายฤดูกาล

ทีมฟุตบอลทีมเล็ก ๆ ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากเมืองเล็ก ๆ แต่หลงใหลในแนวคิดการอนุรักษ์ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน 

หลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างที่ชาวเมืองเครโมน่าเห็นถึงคุณค่า พวกเขาก็จะปกปักรักษาสืบทอดต่อกันแบบรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นประเพณี วัฒนธรรม รวมถึงเป็นมรดกที่ถึงขั้นได้รับการยกย่องโดยองค์การ UNESCO 

และอีกหนึ่งสิ่งที่มีการอนุรักษ์เอาไว้ก่อนส่งต่อมาถึงทีมอย่าง เครโมเนเซ่ นั่นคือ หัวจิตหัวใจความเป็นนักสู้ ที่เริ่มต้นจากสงครามมาสู่สนามฟุตบอล ซึ่งถ้าผู้เล่นของ เครโมเนเซ่ ยังพร้อมสู้และช่วยเหลือกันได้อย่างเหนียวแน่น บางทีทีมเล็ก ๆ ทีมนี้อาจเติบโตไปได้ไกลมากกว่าที่หลายคนคิด

 

แหล่งอ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/US_Cremonese
https://uscremonese.it/
https://www.florianleonhard.com/cremonese-violins/
https://ich.unesco.org/en/RL/traditional-violin-craftsmanship-in-cremona-00719
http://www.cremonaviolinstore.com/en/

Author

พงศทร​ อริ​ย​ภู​ชัย

เด็กสิงห์บลู​ส์เมืองคอน​ คลั่งฟุตบอล​ ชอบมวยปล้ำ

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ