Feature

ยูไนเต็ด 4-3 ซิตี้ : ศึกจุดไฟสู่ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ โฉมใหม่ในปี 2009 | Main Stand

ย้อนกลับไปช่วงยุค 1990s หรือ 2000s เกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ณ เวลานั้นดูเหมือนจะเป็นเกมที่แบเบอร์ เพราะฝั่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นเป็นต่อทุกกระบวนท่า และมักจะได้ชัยชนะเป็นประจำ 

 

จนกระทั่งหลังปี 2005 เป็นต้นมาที่ฝั่งสีฟ้าอย่าง แมนฯ ซิตี้ เริ่มมีหือมีอือ และเริ่มกลายเป็นเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญของฝั่งสีแดง และเกมที่หลายคนเห็นถึงความ "ตามทัน" ของฝั่งซิตี้ ก็คือเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 2009 

แม้เกมนั้น ยูไนเต็ด จะชนะไป 4-3 ... แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นการเปิดโจทก์ของฝั่งสีฟ้าเพื่อบอกว่า ต่อไปนี้ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 

ย้อนเรื่องราวจุดเริ่มต้นของ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แบบ New Era กับ Main Stand 

 

บริบทก่อนเกม 

แมนฯ ยูไนเต็ด ครองเกาะอังกฤษด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ตั้งแต่ฤดูกาล 2006-07 จนถึง 2008-09 ด้วยขุมกำลังชุดที่ว่ากันว่า "ดีที่สุดในประวัติศาสตร์" แน่นปึ้กทุกจุดตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้า โดยเฉพาะกลุ่มเกมรุกที่ในช่วงเวลานั้นนำโดยนักเตะแห่งยุคสมัยอย่าง เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือแม้กระทั่ง คาร์ลอส เตเวซ 

ช่วงเวลานั้นต้องบอกว่า "ไร้เทียมทาน" สำหรับผีแดง เพราะพวกเขาทำผลงานได้ต่อเนื่องสม่ำเสมอทั้งในลีกและในรายการยุโรปที่เขาถึงรอบลึก ๆ เสมอ แถมยังได้แชมป์มาครองอีก 1 สมัย 

ขณะที่ฝั่งสีฝ้าในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นช่วงเริ่มต้นของหลาย ๆ สิ่ง ... ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของทีมด้วยการซื้อทีมในปี 2007 แต่นักเตะหลาย ๆ คนก็ยังไม่ได้ดีพอทีจะทาบรัศมีฝั่งปีศาจแดง จนกระทั่งของจริงมาถึงในปี 2008 ที่ กลุ่มทุนใหญ่จาก อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้ามาเทคโอเวอร์ แมนฯ ซิตี้ พร้อมทุ่มเงินมากมายแบบนับไม่ถ้วน เพื่อพัฒนาทุกภาคส่วนตั้งแต่เชิงโครงสร้างสโมสร รวมถึงเชิงปริมาณและคุณภาพในสนาม

แยกย่อยเพื่อให้เป็นภาพง่าย ๆ เราได้พบว่า นับตั้งแต่ซีซั่น 2008-09 เป็นต้นมา ซิตี้ ซื้อตัวนักเตะแต่ละซีซั่นด้วยเงินเฉลี่ยราว ๆ 150 ล้านปอนด์ โดยในฤดูกาล 2008-09 ขณะที่สโมสรอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีกซื้อตัวเฉลี่ยเพียงทีมละ 40 ล้านปอนด์ แต่ แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินซื้อนักเตะมากถึง 160 ล้านปอนด์เพื่อเสริมทัพ มากกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ ๆ 4 เท่า

แมนฯ ซิตี้ ในเวลานั้นตั้งเป้าไว้สูงมากด้วยการบอกว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น "สโมสรอันดับ 1 ของโลก" แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับแฟนบอลของพวกเขาก็คือ ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ช่วยทำให้ฝั่งสีฟ้าผงาดขึ้นมาเหนือฝั่งสีแดงให้ได้ หลังจากตกเป็นรองอยู่หลายสิบปี และการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อฤดูกาล 2009-10 เริ่มขึ้น 

เพราะแมตช์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด วันที่ 20 กันยายน 2009 (พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2009-10) ไม่ใช่แค่ "เกมดาร์บี้ธรรมดา" แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านยุคของทั้งสองสโมสรเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงของ ยูไนเต็ด ในเวลานั้นคือ พวกเขาเพิ่งเสีย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่พิชิตทุกอย่างกับทีมและเลือกย้ายไปท้าทายเป้าหมายใหญ่กว่าอย่าง เรอัล มาดริด ... แค่เสีย โรนัลโด้ คนเดียวก็หนักพอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณต้องไม่ลืมคือ องค์ประกอบรอบข้างก็ลดลงด้วย จากที่เคยพึ่งพาประสบการณ์ของนักเตะอย่าง ไมเคิล คาร์ริค, ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เนมานย่า วิดิช ได้สบาย ๆ นักเตะเหล่านี้ก็เพิ่มอายุมากขึ้น และประสิทธิภาพก็ลดลงตามกาลเวลา

ขณะที่ฝังสีฟ้าภายใต้การนำของ ชีค มันซูร์ นั้น เพิ่งดึงนักเตะดัง ๆ อย่าง คาร์ลอส เตเวซ (จากยูไนเต็ด), ไนเจล เดอ ยอง, แกเร็ธ แบร์รี่, โคโล่ ตูเร่ และกำลังจะกลายเป็นทีม "เงินถัง" ที่พร้อมทุ่มกว่านี้อีกมากเพื่อลุ้นแชมป์ในอนาคต แต่ด้วยทีมชุดนี้ พวกเขาก็พร้อมแล้วที่ประกาศตัวว่าช่วงเวลาหลังจากนี้ ฝั่งสีฟ้า จะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้ฝั่งสีแดงได้เห็น 

 

เกมเดือด จุดไฟให้ยุคสมัย 

"สปาร์กี้" มาร์ค ฮิวจ์ส กุนซือของ ซิตี้ ในเวลานั้นให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่า "ขุมกำลังของเราแข็งแกร่งขึ้นในปีนี้จากการสนับสนุนของบอร์ดบริหาร มันทำให้เราเชื่อได้ว่าสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นอีกหลังจากนี้ และมันจะดีมาก ๆ หากเราเริ่มต้นความหวังทั้งหมดได้ตั้งแต่ในวันนี้" 

โดยฝั่งของ ซิตี้ ที่เป็นทีมเยือนในวันนั้น จัด 11 ตัวจริงได้แก่ 

ผู้รักษาประตู: เชย์ กิฟเว่น
กองหลัง: ปาโบล ซาบาเลต้า, โคโล่ ตูเร่, โจลีออน เลสค็อตต์, เวย์น บริดจ์
กองกลาง: แกเร็ธ แบร์รี่, ไนเจล เดอ ยอง, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, สตีเฟ่น ไอร์แลนด์, เคร็ก เบลลามี่
กองหน้า: คาร์ลอส เตเวซ

ขณะที่ฝั่งเจ้าบ้านอย่าง ยูไนเต็ด จัด 11 ตัวจริงได้แก่ 

ผู้รักษาประตู: เบน ฟอสเตอร์
กองหลัง: จอห์น โอเช, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอฟร่า
กองกลาง: หลุยส์ นานี่, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ไรอัน กิ๊กส์, แอนเดอร์สัน
กองหน้า: เวย์น รูนี่ย์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ

แม้ดูฝั่งของ ยูไนเต็ด จะซอฟต์ ๆ เบาลงจากทีมชุดที่ดีที่สุดของพวกเขาพอสมควร แต่ด้วยประสบการณ์ และภาพเก่า ๆ ที่พวกเขาเคยสร้างไว้ใน แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ มันทำให้หลายฝ่ายมองว่าการได้เล่นในรังเหย้า บวกกับฝั่ง ซิตี้ ที่เพิ่งรวมทีมกันได้ไม่นาน นักเตะใหม่เยอะ ปีศาจแดง คงเอาชนะได้ตามเคย เพียงแค่อาจจะต้องออกแรงมากกว่าที่ผ่าน ๆ มาสักหน่อยเท่านั้น 

และเริ่มเกมได้แค่ 2 นาที เวย์น รูนี่ย์ เก็บตกบอลหลุดในเขตโทษ ยิงจ่อ ๆ เข้าไปอย่างเฉียบคม ราวกับเป็นสัญญาณบอกว่าเกมนี้จะเป็นหนังม้วนเดิม 

ทว่า ซิตี้ ในเวลานี้แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปเกมของพวกเขาบุกใส่ ยูไนเต็ด ได้หลายครั้งและทำได้รวดเร็วน่ากลัว จนกระทัง นาทีที่ 16 ซิตี้ตีเสมอ 1-1 จากความผิดพลาดของ เบน ฟอสเตอร์ ที่จับบอลช้า คาร์ลอส เตเวซ ฉกบอลไปจ่ายให้ แกเร็ธ แบร์รี่ ยิงเข้าไป หน้าของ ฟอสเตอร์ ถอดสี เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีให้แฟน ๆ ปีศาจแดงได้เห็นอย่างชัดเจนจากความผิดพลาดนั้น 

จากนั้นเกมก็ผลัดกันนำผลัดกันตาม นาทีที่ 49 ยูไนเต็ด นำ 2-1 จาก ไรอัน กิ๊กส์ เปิดบอลแม่น ๆ เข้าหัว ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ โหม่งเต็ม ๆ เข้าไป ขณะที่อีก 3 นาทีต่อมา ซิตี้ ก็ยังไม่ยอมไล่ตีเสมอเป็ย 2-2 จาก เคร็ก เบลลามี่ ได้บอลทางซ้าย ลากตัดแล้วซัดไกลเต็มแรง บอลพุ่งเสียบมุมสุดสวย

10 นาทีสุดท้าย ผีแดง งัดพลัง "ยิงท้ายเกม" ออกมาอีกครั้งตามตำรับยุคเฟอร์กี้ พวกเขายิงนำ 3-2 จากการที่ ไรอัน กิ๊กส์ แอสซิสต์อีกครั้ง เปิดให้ เฟล็ทเชอร์ โหม่งประตูที่สองของตัวเอง 

แต่นาทีที่ 90 หัวใจนักสู้ของฝั่ง ซิตี้ ก็ทำท่าจะได้รางวัลกลับบ้าน หลังจากที่พวกเขาได้ประตูตีเสมอเป็น 3-3 เคร็ก เบลลามี่ ใช้ความเร็วฉกบอลจากความผิดพลาดของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ก่อนหลุดไปยิงผ่าน ฟอสเตอร์ เป็นประตูที่สองของเขาในเกมนี้

ทว่าอย่างที่หลายคนรู้กัน นักเตะค่าตัวฟรี ที่แฟนบอล ปีศาจแดง หลายคนไม่มั่นใจในตัวเขา เพราะเป็นคนที่มาสวมหมายเลข 7 ต่อจาก โรนัลโด้ อย่าง ไมเคิล โอเว่น ที่โดนเปลี่ยนลงมาท้ายเกม ก็กลายเป็นฮีโร่ให้ฝั่งสีแดง ด้วยการลงมาเปลี่ยนเกมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไรอัน กิ๊กส์ แทงทะลุช่องให้ โอเว่น หลุดเข้าไปยิงผ่าน เชย์ กิฟเว่น แบบเฉียบคม กลายเป็นประตูชัยสุดดราม่าของฝั่งปีศาจแดง 

หลังจากเกมนั้นจบลง ความเดือดไม่หายไป "เซอร์ อเล็กซ์" โต้ฝีปากกับอดีตลูกน้องเก่าอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ส อย่างเผ็ดร้อนเรื่องการทดเวลาบาดเจ็บที่นานเกินไป ซึ่ง ฮิวจ์ส บอกว่าการที่ผู้ตัดสินที่ 4 ชูป้ายว่าทดเวลาแค่ 4 นาที แต่กรรมการกลับปล่อยเกมไปจนถึงนาทีที่ 96 จน ยูไนเต็ด ได้ประตูชัย เป็นเรื่องที่น่าอับอาย และเกิดขึ้นบ่อยมากกับฝั่ง ยูไนเต็ด ที่ได้มักผลประโยชน์ในส่วนนี้ 

ขณะที่นักเตะฝั่ง ซิตี้ หลายคนก็ส่ายหัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เบลลามี่ ที่ยิงไป 2 ประตูให้สัมภาษณ์ประชดประชันว่า "ในสถานการณ์ลักษณะนี้ทีมของเราเหมือนจะไม่เคยได้เล่นแค่ 90 นาทีเวลามาเจอที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถ้าพวกเขาต้องการประตู เวลาในเกมมันมักจะมากกว่านั้นเสมอ"

ขณะที่ คาร์ลอส เตเวซ ค่อนข้างเก็บอารมณ์โมโหได้ดี และพูดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา และหาก ซิตี้ อยากจะยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้ พวกเขาต้องเรียนรู้ความผิดพลาดในเกมนี้ และช่วยกันสร้าง DNA ของผู้ชนะหรือทีมที่จะเป็นแชมป์ขึ้นมาให้ได้ ซึ่งสิ่งที่ เตเวซ บอก ได้แสดงให้เห็นถึง การตีความการเปลี่ยนผ่าน ของ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ในช่วงเวลานับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป 

 

การตีความ "การเปลี่ยนผ่าน"

ตัดภาพกลับมาที่ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด แม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะในวันนั้น แต่หลายคนมองว่ามันคือ "ไฟลามทุ่งครั้งสุดท้าย" ของทีมที่ยังมีแกนเก่าอยู่

เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ แก่แล้ว แถมเกมดังกล่าวไม่ได้ลงเพราะเจ็บ ประตูใหม่ที่คาดว่าจะเป็นมือ 1 อย่าง ฟอสเตอร์ ดีไม่พอ, การขาด โรนัลโด้ ที่เป็นนักเตะที่ชี้ขาดชัยชนะให้กับทีม เป็นคนที่ปรากฏตัวเสมอยามทีมต้องการประตู เป็นนักเตะที่หาคนทำเลียนแบบไม่ได้ ขณะที่นักเตะคนอื่น ๆ ก็เริ่มอายุมากขึ้น 

นอกจากนี้ทีมก็ลงทุนน้อยลงภายใต้การบริหารทีมของตระกูลเกลเซอร์ จึงทำให้ทีมชุดที่เก่งขึ้นมาพร้อม ๆ กันยกชุด ค่อย ๆ ถดถอยพร้อมกันแบบยกชุด สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากปี 2009 ในวันนั้นก็คือ สโมสรก็เริ่มขาดซูเปอร์สตาร์ระดับโลก และ เฟอร์กูสัน ต้องใช้ประสบการณ์คุมทีมประคองไปจนสุดท้าย โดยทำได้เพียงแค่ปะผุเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนยกทีม หรือเปลี่ยนเจเนอเรชั่นเหมือนที่เขาเคยทำในช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านี้ได้ 

และอย่างที่เรารู้กันว่า ต่อให้ เฟอร์กี้ จะเป็นโคตรโค้ชแค่ไหน แต่การบริหารหลังบ้านที่ไม่สอดคล้อง ทำให้เขาได้แค่ประคองไปจนสุดทาง และสุดท้ายหลังจากคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2012-13 แชมป์นั้นแทบจะเป็นเฮือกสุดท้ายของความยิ่งใหญ่ของปีศาจแดง เพราะ เฟอร์กี้ ประกาศวางมือ ขณะนักเตะที่เขาสร้างขึ้นมาก็ค่อย ๆ ย้ายออก บ้างก็เลิกเล่นกันไป 

ขณะที่ฝั่ง ซิตี้ นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะแพ้เกมนั้น แต่การสู้กับยูไนเต็ดได้สูสีใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นเหมือนการประกาศว่า "ยุคใหม่กำลังมา" พวกเขาไม่หยุดเสริมทัพ ในทุก ๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะผู้เล่นในสนาม สตาฟโค้ช ทีมงานหลังบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในสโมสร เพื่อยืนยันการก้าวขึ้นมาเป็น "เบอร์ 1" ตามโร้ดแมพที่พวกเขาได้วางไว้ 

ชีค มานซูร์ และทีมบอร์ดบริหารของ แมนฯ ซิตี้ เดินหน้าทำแบบนั้นต่อไป เพราะนี่คือแผนการระยะยาวชนิดที่ว่า "จ่ายก่อน สบายก่อน"  ในวันที่ฟุตบอลอาจจะไม่ได้ทำเงินหรือสร้างรายรับมากเหมือนกับทุกวันนี้ พวกเขากล้าใช้เงินเพื่อพัฒนา และเพิ่มมูลค่าสโมสรแบบไม่กลัวเจ๊ง ซึ่งที่สุดแล้ว ซิตี้ ใช้เวลาแค่ 2-3 ปีหลังจากความพ่ายแพ้ในวันนั้น แซง ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปีอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2012

และแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จำแชมป์สมัยแรกของ ซิตี้ ได้อย่างเด่นชัด เพราะในเวลานั้นทีมที่เป็นที่ 2 คือ "พวกเขาเอง" แถมเป็นการเสียแชมป์แบบวินาทีสุดท้ายของซีซั่นจากลูกยิง และเสียงพากย์ที่กลายเป็นตำนานอย่าง "อเกวโร่ววววววววววววววววววววววววววววววว" ซึ่งเป็นประตูที่ส่ง แมนฯ ซิตี้ เข้าสู่ยุคสมัยแห่งความสำเร็จอย่างเป็นทางการ 

และผ่านมาถึงตอนนี้ ฝั่ง ยูไนเต็ด ต้องกลายเป็นผู้ตามหลังในหลาย ๆ ด้าน สำหรับเรื่องในสนามนั้น คงต้องย้อนกลับไปตามสิ่งที่ เตเวซ เคยบอกกับ แมนฯ ซิตี้ ในเกมนั้นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อปี 2009 ว่า "ยูไนเต็ดมีประสบการณ์และรู้วิธีปิดเกมใหญ่ ๆ ส่วนซิตี้ยังต้องเรียนรู้สิ่งนั้น" ... เพียงแต่หนนี้ ตำแหน่งของทั้งสองทีมสลับกัน และฝัง ยูไนเต็ด ต้องเป็นฝ่ายกลับมาเป็นผู้เรียนรู้ที่จะสร้าง DNA ของผู้ชนะแทน 

นี่คือวัฏจักรของฟุตบอล ทุกอย่างล้วนมีขึ้นมีลง ทีใครทีมัน และจากเกม 4-3 ครั้งนั้น ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการบอกใบ้ว่า ซิตี้จะไม่ใช่ "เพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ" อีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งตัวจริง

ตอนนี้ ยูไนเต็ด ต้องเป็นฝ่ายไล่ตามบ้าง และเราคงต้องรอดูกันว่า "การแซงหน้าเพื่อนบ้าน" ของฝั่งสีแดง จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ... ไม่แน่มันอาจจะเริ่มในเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ไฟต์แรกของฤดูกาล 2025-26 นี้ก็เป็นได้ 

 

แหล่งอ้างอิง

http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/eng_prem/8256750.stm
https://en.wikipedia.org/wiki/Manchester_United_F.C._4%E2%80%933_Manchester_City_F.C._(2009)
https://www.manutd.com/en/news/detail/michael-owen-autobiography-extract-about-united-4-man-city-3-in-2009

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ