Feature

เอวานเจลอส มารินาคิส : ประธานสายโก๋แห่ง โอลิมเปียกอส & ฟอเรสต์ ผู้ปรากฏตัวบนข่าวหน้าหนึ่งเสมอ | Main Stand

"จากมหาเศรษฐีวงการเดินเรือ สู่เจ้าของทีมฟุตบอลที่ทั้งโลกมองว่าเพี้ยน" 

 

เอวานเจลอส มารินาคิส คือชื่อที่แฟนบอลกรีซและอังกฤษไม่มีวันลืม เขาคือคนที่กล้าสั่งปลดโค้ชทันทีหลังจบเกม กล้าทุ่มซื้อผู้เล่นเป็นพรวดแบบไม่สนเสียงวิจารณ์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาคือผู้บริหารที่พา โอลิมเปียกอส และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เดินหน้าสู่ความสำเร็จ 

Main Stand จะพาไปสำรวจตัวตนที่ขัดแย้งแต่ทรงพลังของมหาเศรษฐีลูกหนังผู้นี้

 

ลูกคนโตที่โก๋เหมือนพ่อ 

เอวานเจลอส มารินาคิส เกิดในครอบครัวที่มีเงินระดับมหาเศรษฐีของประเทศกรีซอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าคุณคาดหวังว่าจะได้เห็นเรื่องราวการต่อสู้และถีบตัวเองเพื่อข้ามเส้นแบ่งจากจนชั้นแรงงานจนถึงชนชั้นบริหารก็คงต้องผิดหวัง ... แต่เชื่อเหลือเกินว่าในความเกิดมาบนกองเงินกองทอง เรื่องราวชีวิตของ มารินาคิส ก็สนุกและน่าสนใจไม่แพ้ใครแน่นอน 

พ่อของเขา มิลเทียดิส มารินาคิส คือเจ้าของธุรกิจเรือเดินสมุทรที่มีชื่อเสียง และยังเป็นนักการเมืองเบอร์ใหญ่ของประเทศกรีซ ซึ่งการเลี้ยงลูกของเขาคนนี้ คือการเลี้ยงลูกแบบที่ผสมผสานกัน ระหว่างการสปอยล์เด็กด้วยการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกชายของเขาเสมอ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้คำสอนและปลูกฝังให้ มารินาคิส เติบโตขึ้นมาด้วยการเป็นคนรวยที่สวมวิญญาณราชา กล่าวคือไม่ก้มหัวให้ใคร ไม่ทำตัวให้คนอื่นดูถูกเหยียดหยาม และก้าวขึ้นมาเป็นที่สุดบนเส้นทางของตัวเองให้ได้ ... เรียกได้ว่าสมัยพ่อเก๋าแค่ไหน ก็อย่าให้สมัยลูกมาสร้างเรื่องเสีย ๆ ให้รุ่นพ่อโดนลบเหลี่ยมได้ง่าย ๆ  และ มารินาคิส ก็เติบโตมาด้วยการเป็น "เจ้าพ่อ" แห่งเมืองปิเรอัส ตามที่พ่อของเขาตั้งใจ 

ความเป็นเจ้าพ่อของ มารินาคิส ไม่ได้มาจากการเป็นนักเลงหัวไม้ ใช้กำลังบีบบังคับ แต่เพราะการถูกเลี้ยงมาแบบลูกนักธุรกิจผสมผสานลูกนักการเมือง มันทำให้มีทักษะทั้งบู๊และบุ๋น เขาเรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่อายุ 20 ปี ในสาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังเรียนต่อระดับปริญญาโทที่อังกฤษต่อในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย 

พ่อของ มารินาคิส ไม่ได้ให้เขาเข้ามาบริหารบริษัทของตัวเองเลยทันทีเมื่อเรียนจบ แต่เขาปล่อยให้ มารินาคิส ไปทำงานเป็นลูกน้องของบริษัทเดินเรืออื่น ๆ เพื่อเก็บประสบการณ์ก่อนอยู่หลายปี จนกระทั่งทุกอย่างพร้อมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ มารินาคิส จึงก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่แทนพ่อ และรับบทเป็นผู้บริหารองค์กรสืบทอดต่อมาด้วยสไตล์ที่กล้าได้กล้าเสีย และที่สำคัญคือเขาประสบความสำเร็จอยู่เสมอ

เขาแทบจะถอดแบบมาจากพ่อของเขาทั้งหมด นอกจากการเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จแล้ว อิทธิพลในทางการเมืองของ มารินาคิส ยังค่อย ๆ แผ่ขยายขึ้นจากการทำโครงการการกุศลต่าง ๆ เพื่อเมืองของเขา จนชื่อเสียงโด่งดัง และสร้างคอนเน็คชั่นกับผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองและในสภา จนท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีตำแหน่งในทางการเมืองควบคู่ไปด้วย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าอำนาจทางการเมืองที่เขาได้มา ยิ่งทำให้เขาเห็นลู่ทางทางธุรกิจที่มากขึ้น จนสื่อคาดกันว่าสักวันหนึ่ง มารินาคิส คนนี้ อาจจะยิ่งใหญ่กว่า มารินาคิส รุ่นพ่อก็ได้ 

รายได้ขององค์กรและตัวของ มารินาคิส เพิ่มขึ้นทุกปี และมันทำให้เขาเริ่มนำทรัพย์สินที่หามาได้ มาแปลงเป็นเงินทุนในการลงทุนต่อ จนกระทั่งควบรวมกิจการต่าง ๆ ของที่สร้างมาตั้งแต่รุ่นพ่อ และจากการซื้อกิจการต่อจากบริษัทอื่น ๆ สุดท้ายเขาก็เปิดกิจการตัวเองอย่างเต็มตัวภายใต้ชื่อ บริษัท แคปิตอล มาริไทม์ แอนด์ เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น ... และหนึ่งในธุรกิจที่เขาเริ่มจับ และทำให้คนในวงกว้างรู้จักก็คือ "ฟุตบอล" 

 

ธุรกิจที่ใช่สำหรับรุ่นใหญ่อย่างเขา 

เมื่อเขามีทุนและชื่อเสียงจากธุรกิจเดินเรือแล้ว ฟุตบอล คือสิ่งที่ มารินาคิส เลือกลงทุนต่อ เหตุผลที่เขาตัดสินใจแบบนั้นไม่ใช่เพราะมองว่า "ซื้อทีมฟุตบอลแล้วจะรวย" แต่เพราะเขาเชื่อว่าฟุตบอลคือธุรกิจที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มีนิสัย และทัศนคติในการทำงานแบบเขา เพราะฟุตบอลไม่ใช่แค่เกม แต่เป็นเวทีการลงทุนที่จับต้องหัวใจคนได้โดยตรง

มารินาคิส เคยเล่ากับสื่ออย่าง BBC ว่า ฟุตบอลไม่ใช่ธุรกิจทำเงินเท่านั้น แต่มันคือธุรกิจที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างชื่อเสียง สร้างอิทธิพล นอกจากนี้มันยังเป็นธุรกิจที่ทำให้คุณเข้าไปยืนในหัวใจของชนชั้นรากหญ้าได้ไม่ยากนัก เพราะอย่างที่รู้กันว่าฟุตบอลคือกีฬายอดนิยมในแทบทุกชนชั้น โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นแรงงานที่บางคนยกให้ฟุตบอลเป็นสิ่งที่มอมเมายิ่งกว่ายาเสพติด ศักดิ์สิทธิ์กว่าศาสนา 

การที่คุณได้ใจคนกลุ่มนี้ที่เป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศ ฟุตบอลสามารถช่วยได้ เพราะเป็นธุรกิจที่สามารถหากิจจกรรมที่คืนกำไรกลับสู่ชุมชนได้ง่ายแบบที่ในมิติที่ธุรกิจทั่วไปไม่สามารถทำได้ อีกทั้งเขายังมองว่าทีมฟุตบอลเป็นองค์กรที่สามารถ "สร้างมูลค่าเพิ่ม" ได้ทั้งเชิงกีฬาและเชิงการตลาด เรียกได้ว่าถ้ายิงปืนนัดเดียวงานนี้ก็ต้องได้นกสองตัว นกตัวแรกคือ "ชื่อเสียง" ส่วนนกตัวที่สองคือ "กำไร" 

นั่นทำให้ปี 2010 เขาเริ่มลงทุนกับสโมสรอันดับ 1 ของ กรีซ อย่าง โอลิมเปียกอส ซึ่งเป็นทีมบ้านเกิดเมืองนอนของเขา และเริ่มวางแผนการทำงานในแบบที่เป็นตัวของเขาออกมาทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มปรากฏบนสื่อกีฬา เพราะแนวทางปฎิบัติที่ค่อนข้างแตกต่างกับเจ้าของสโมสรคนอื่น ๆ ในธุรกิจนี้

กล่าวคือในฐานะของคนที่ปั้นชื่อเสียง เงินทอง และอำนาจขึ้นมาด้วยตัวเองแบบ มารินาคิส เขาจึงเชื่อมั่นในแนวคิดของตัวเองอย่างมาก และการยึดมั่นกับสิ่งนี้ทำให้หลายครั้งมีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับบทบาทประธานสโมสรของเขา 

เช่นที่ โอลิมเปียกอส เขาเคย สั่งปลดโค้ช บานิก ฮาชี่ ทันทีหลังจบเกมที่แพ้ เออีเค เอเธนส์ 2-3 ทั้ง ๆ ที่ทีมของเขานำไปก่อนถึง 2-0  แน่นอนว่ามันเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ในโลกฟุตบอล แต่เขาไม่สนอยู่แล้ว เพราะขอแค่ไม่ถูกใจสไตล์การเล่นก็พร้อมเชือดทันที 

นอกจากนี้ยังมีอดีตนักเตะของ โอลิมเปียกอส หลายคนออกมาเปิดเผยว่า บางครั้งเขาเข้าไปถึงห้องแต่งตัวเองหลังเกม พร้อมพูดจารุนแรงกับนักเตะตรง ๆ โดยไม่ผ่านโค้ช เพื่อบอกว่าให้ตั้งใจเล่นมากกว่านี้ และถ้าใครไม่เข้าใจหรือมีปัญหา ไม่ยอมทุ่มเทให้เก็บของออกไปได้เลยเพราะ "นี่คือทีมของฉัน"

ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกสนามก็ยังมีอีกเยอะ ทั้งเรื่องการโดนกล่าวหาว่าล็อกผลการแข่งขัน (ตอนนี้พ้นผิดแล้ว) นอกจากนี้เขายังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการระเบิดร้านเบเกอรี่ ซึ่งเป็นธุรกิจของผู้ตัดสินในลีกกรีซ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุดการตัดสิน และเขากำลังสู้คดีอยู่

ฟังดูเพี้ยน ๆ ใช่ไหมล่ะ ? แต่ใครจะขวางทางเขาได้ ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นประธานที่ด่าในสิ่งที่ไม่ถูกใจเท่านั้น แต่เป็นคนที่เมื่อด่าเสร็จแล้วก็พร้อมทุ่มเงินเสริมทัพเพื่อแก้ไขปัญหาและลบจุดอ่อนที่เขาเห็นด้วย ดังนั้นนับตั้งแต่ที่ มารินาคิส เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร โอลิมเปียกอส ทีมก็คว้าแชมป์ลีก 10 สมัยติดต่อกัน และเมื่องานที่ กรีซ กลายเป็นของง่าย เขาก็จัดการซื้อสโมสร น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เจ้าของแชมป์ยุโรป 2 สมัย ที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงินมาบริหารต่อในปี 2017 และจากนั้น ความ "สุด" ของเขาก็เริ่มแมสขึ้น เพราะสื่ออังกฤษชอบการขยี้เรื่องราวแปลก ๆ ของเขาแบบสุด ๆ 

 

เฮดของเฮดโค้ช 

การทำทีมฟอเรสต์ของ มารินาคิส เป็นสิ่งที่แฟนของทีมเจ้าป่าต้องชอบใจ เพราะเขาเป็นคนที่ลงเงินไม่เคยขาด เลือกจะลงทุนเพื่อสร้างทีมให้แข็งแกร่งขึ้นเสมอ และสิ่งนี้มันชัด เพราะว่าจากเดิมที่ ฟอเรสต์ เคยเป็นทีมที่ทำได้แค่เฉี่ยว ๆ จากการเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพ สู่พรีเมียร์ลีกในยุคก่อนหน้า เมื่อถึงยุคเขา เขาลงทุนเปลี่ยนทีมงานหลังบ้านใหม่ ลงทุนซื้อนักเตะใหม่ และตั้งโค้ชที่พาทีมชาติอังกฤษชุดยู 17 คว้าแชมป์โลกอย่าง สตีฟ คูเปอร์ เข้ามาคุมทีม ไม่นานนักทีมก็เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้ทันที 

มารินาคิส เปิดเผยว่า ต่อให้เขาจะเป็นคนที่ชอบแก้ปัญหาส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เขาไม่เคยลืมก็คือการจ้างบุคคลที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาดูแลในงานส่วนต่าง ๆ ของทีม เช่นตอนนี้ เขาเพิ่งไปเซ็นสัญญากับ เอดู อดีตผู้อำนวยการกีฬาของ อาร์เซน่อล ที่ช่วยกันสร้างทีมร่วมกับ มิเกล อาร์เตต้า มาดูแลงานส่วนนี้ที่ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และจากวันแรกที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมา คุณก็ต้องยอมรับว่า ฟอเรสต์ ในเวลานี้แกร่งจริง เป็นทีมที่สามารถชนะได้ทุกทีมในพรีเมียร์ลีก หากเจอจังหวะที่ใช่ และฟอร์มที่พีก

ความกล้าลงทุนของเขาสะท้อนผ่านเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่นี่ หลายคนน่าจะพอจำภาพการเลื่อนชั้นเมื่อปี 2022 ได้ เพราะ ฟอเรสต์ ใช้เงินกว่า 150 ล้านปอนด์ ดึงนักเตะใหม่มาร่วมทีมถึง 22 คนในตลาดซื้อขายเดียว จนกลายเป็นเรื่องตลกของสื่อในเวลานั้นว่า "ไม่กี่วันหลังเลื่อนชั้น แฟนบอลของ ฟอเรสต์ คงจำหน้านักเตะตัวเองไม่ได้แล้ว"

แม้จะเปลียนลีก เปลี่ยนประเทศ แต่วิธีบริหารของเขาไม่เปลี่ยนไป มารินาคิส ยังชอบเอาตัวเองลงไปจัดการปัญหาต่าง ๆ ในทีม พร้อมวิธีการแปลก ๆ เช่น การสั่งห้ามนักเตะและสตาฟฟ์ฟอเรสต์ ใส่เสื้อที่มีสีเขียว, ม่วง และดำโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าสีม่วงคือสีแห่งความโชคร้าย และสีดำเป็นสีแห่งความขัดแย้ง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้นักเตะและสตาฟฟ์ใส่เสื้อที่มีสองสีนี้ในสนามซ้อมของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ หรือแม้แต่ในห้องแต่งตัวในวันแข่งขัน

ขณะที่สีเขียวนั้นเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เนื่องจากมันเป็นสีประจำทีม พานาธิไนกอส ทีมคู่รักคู่แค้นของ โอลิมเปียกอส ซึ่งเป็นทีมของ มารินาคิส เช่นกัน และเขายังเป็นแฟนบอลตัวยงของสโมสรประจำเมืองเกิดด้วย ครั้งหนึ่ง ฟอเรสต์ ต้องเปลี่ยนชุดซ้อม เพราะมีสีเขียวบนเสื้อมากเกินไปมาแล้ว

นอกจากนี้ มาดความโก๋ของเขาก็ยังเดินหน้าต่อไป ในขณะที่อยู่ที่ฟอเรสต์ ปัญหาทางวินัยก็ติดตามเขาไปด้วย เพราะเคยถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานประพฤติตัวไม่เหมาะสมในปี 2024 จากการถ่มน้ำลายลงพื้นขณะที่กรรมการเดินผ่าน หลังจากที่ฟอเรสต์พ่ายแพ้ต่อฟูแล่ม จนต้องโดนแบนไป 5 เกม 

สามเดือนต่อมา เขากลายเป็นคนที่ด่าผู้ตัดสินและ VAR ผ่าน X ด้วยเนื้อความที่ว่า แม้ VAR จะมีปัญหาความผิดพลาดมาโดยตลอด แต่แปลกที่ไม่เคยมีคนใน เอฟเอ หรือ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ตั้งใจจะแก้ไข ทั้ง ๆ ที่มันควรจะทำทันที เพราะพวกเขาติดหนี้เรื่องนี้ให้กับแฟนบอลของทีมที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการตัดสินที่ผิดพลาด 

ไหนจะล่าสุดเมื่อปลายซีซั่น 2024-25 ที่เขาไประเบิดความโมโหใส่ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ กุนซือของทีมที่เป็นขวัญใจของแฟน ๆ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่มีให้เห็นบ่อย ๆ นักในพรีเมียร์ลีก ซึ่ง มารินาคิส ก็เปิดเผยว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำทั้งเรื่องการด่า VAR หรือการลงไปคุยกับ นูโน่ ในสนามโดยมีกล้องจับตาอยู่ เป็นสิ่งที่เขาทำถูกต้องแล้ว ปัญหาบางเรื่องก็ต้องใช้ยาแรงแบบถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เพื่อแก้ไข 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการถกเถียงระหว่างเขาและ นูโน่ อาจจะดูรุนแรง แต่สิ่งที่ตามมาคือปัญหามันจบอย่างรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อติดค้างให้เป็นรอยร้าวที่เล็ก ๆ ที่จะสะสมใหญ่ขึ้นในอนาคต สิ่งที่ทุกคนควรโฟกัสคือผลงานของทีมมากกว่า เรื่องเล็ก ๆ ของเขาที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ของทุกคน 

และที่สุดแล้ว แม้พฤติกรรมจะทำให้สื่อมองว่า มารินาคิส เป็นเจ้าของทีมสุดเพี้ยน แต่หากมองในเชิงผลงาน เขากลับพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และเลือกที่จะทำอะไรเสี่ยง ๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้น (หรือแทบจะทันที) มาากกว่าการอยู่บนเซฟโซนความเสี่ยงน้อย แต่อัตราการเติบโตของธุรกิจจะน้อยลงเช่นกัน 

การตัดสินใจที่ด่วน หัวแข็ง และการเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ที่เป็นปัญหา แต่เมื่อมองให้ลึก เบื้องหลังความเพี้ยนคือความจริงจังในการบริหาร และความเชื่อว่าฟุตบอลคือการลงทุนที่ต้องสร้างผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่ธุรกิจเพื่อความสนุก

ทั้งหมดนี้มันจึงทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ทั้งน่าหัวเราะ น่าขำ แต่ที่คุณปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือน่านับถือในเวลาเดียวกัน นักธุรกิจที่บ้าฟุตบอลจนทำให้สองสโมสรเดินไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.bbc.com/sport/football/articles/cx2nlrgen8yo
https://www.bbc.com/sport/football/articles/czj47pv70ero
https://motivirus.com/the-life-career-and-philanthropy-of-evangelos-marinakis/
https://www.evangelosmarinakis.com/content/news-coverage/42-evangelos-marinakis-on-the-ldquo-we-keep-on-dreaming-of-a-better-future-for-everyone
https://www.europeanfinancialreview.com/the-life-and-career-of-evangelos-marinakis/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ