Feature

บาโลเตลลี่ บอรินี่ แลมเบิร์ต : แนวรุกยุคมืด ลิเวอร์พูล ที่ส่งผลสู่ยุคทอง ณ ปัจจุบัน | Main Stand

โม ซาลาห์, โฟลเรียน เวียตซ์, อูโก้ เอกิติเก้, โคดี้ กักโป, อเล็กซานเดอร์ อิซัค หรือแม้แต่ตัวสำรองรอเปลี่ยนเกมอย่าง ริโอ เอ็นกูโมฮา และ เฟเดริโก้ เคียซ่า ถือเป็นกลุ่มนักเตะเกมรุกที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2025-26 และพวกเขาคือจุดแข็งที่แท้จริงของ ลิเวอร์พูล 

 

ในด้านสว่างปานยุคทองนี้ ย้อนกลับไปสัก 10 ปีก่อน หงส์แดง เคยมีแนวรุกที่ถูกยกให้เป็นยุคมืดที่สุดอย่าง มาริโอ บาโลเตลลี่, ฟาบิโอ บอรินี่ และ ริคกี้ แลมเบิร์ต 

แม้เรื่องจะห่างกันนาน และคุณภาพฝีเท้าก็คนละเรื่อง แต่ทีมชุดยุคมืดนี้ ได้ส่งผลกระทบสู่ยุคทอง ณ ปัจจุบัน แบบที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึง

 

เกือบยุคทอง...สู่ยุคมืด

ความผิดหวังหลังจบฤดูกาล 2013-14 ด้วยการเป็นแค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล คือสิ่งที่แฟนบอลหงส์แดงทุกคนจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี 

ทีมชุดนั้นถูกสร้างและควบคุมโดย เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือที่ดึงตัวมาจาก สวอนซี เมื่อฤดูกาล 2012-13 และการมาของ ร็อดเจอร์ส นั้นเป็นไปอย่างมั่นคง ค่อย ๆ เปลี่ยนทีม ลิเวอร์พูล ไปทีละนิด จากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบจะเป็นทีมกลางตารางเต็มตัวไปแล้ว 

แต่ด้วยระบบฟุตบอลที่ลุย บู๊ ดุดัน รวมถึงการมีนักเตะที่เป็นแกนให้กับทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด และดาวยิงคนสำคัญอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ก็ได้สร้างแสงแห่งความหวังสำหรับแฟนบอล ลิเวอร์พูล ขึ้นมา ซึ่งจะว่าไป มันคือความหวังที่ตอนแรกพวกเขาไม่ได้คาดหวังเอาไว้ด้วยซ้ำ

เท้าความก่อนว่าปีแรกของ ร็อดเจอร์ส กับ ลิเวอร์พูล นั้น เขาพาทีมจบอันดับ 7 ของตารางพรีเมียร์ลีก จุดอ่อนของทีมในเวลานั้นเยอะแยะไปหมด ที่หลายคนเห็นชัด ๆ คือเกมรับที่เสียประตูง่าย ความผิดพลาดส่วนบุคคลเยอะ การอ่อนด้อยในเรื่องการรับมือลูกตั้งเตะ ด้วยสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครคิดว่าฤดูกาลต่อมา (2013-14) พวกเขาจะขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มตัว ชนิดที่ว่าขาดอีกไม่กี่ก้าวก็จะเดินขึ้นไปจับถ้วยในฐานะแชมป์ได้แล้ว 

แม้ปัญหาเกมรับจะยังไม่ถูกแก้ไข ทีมอาจจะยังเสียประตูเยอะ แต่ในซีซั่นนั้น ร็อดเจอร์ส ทำให้ทีมกลับมามีความเป็นนักสู้อีกครั้ง จุดนี้เองทำให้พวกเขามีหลายเกมที่พลิกจากจะแพ้เป็นเสมอ จากจะเสมอกลายเป็นชนะอยู่หลายหน จนกระทั่งในเกมวีกที่ 36 พวกเขายังเป็นจ่าฝูงอยู่เลยด้วยซ้ำ

ทว่าการแพ้ เชลซี คาบ้าน ตามด้วยเสมอคริสตัล พาเลซ ในนัดที่ 37 ก็กลายเป็นการสะดุดครั้งสำคัญ และทำให้ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกไปครองได้สำเร็จ 

ทีมชุดนั้นมีแกนหลักอย่าง เจอร์ราร์ด, ซัวเรซ, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ น้องใหม่ที่กำลังห้าวอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ขึ้นมาจากชุดเยาวชน ... ทั้ง 5 คนช่วยกันยิงช่วยกันแอสซิสต์ทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ แต่ปัญหาคือ หงส์แดง ชุดนั้นขุมกำลังสำรองไม่ดีพอที่จะทดแทนได้ อีกทั้งนักเตะชุดนั้น (ยกเว้น โคโล่ ตูเร่) ที่เป็นตัวจริงก็ไม่มีใครเคยผ่านประสบการณ์การการลุ้นแชมป์ลีก ทำให้พวกเขาทดแรงเสียดทานไม่ไหว 

และที่เจ็บปวดไปกว่าการคว้ารองแชมป์ก็คือ เมื่อซีซั่นจบลง หลุยส์ ซัวเรซ นักเตะที่ดีที่สุดในทีม รอการเป็นแชมป์ไม่ไหวอีกต่อไป เขาเลือกย้ายไปอยู่ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวราว 75 ล้านปอนด์ ... และเมื่อคนที่คอยยึดโยงผู้เล่นเกมรุกคนอื่น ๆ เข้าด้วยกัน แถมเป็นนักเตะที่แบกทีมได้ในสถานการณ์กดดันอย่างเขาย้ายออก สัญญาณแห่งยุคมืดก็ได้เริ่มขึ้น 

ลิเวอร์พูล กำเงิน 75 ล้านปอนด์ไว้ในมือ พยายามเสาะหากองหน้าทีพึ่งพาได้แบบที่ ซัวเรซ เคยทำ ทว่าไม่มีใครเข้าใกล้ความจริง พวกเขาเริ่มตลาดด้วยการคว้าตัว ริคกี้ แลมเบิร์ต ดาวยิงเดอะแบกแห่ง เซาธ์แฮมป์ตัน มาร่วมทีม แม้จะดูเป็นดีลที่น่าตื่นเต้นในเวลานั้น แต่ แลมเบิร์ต ก็อายุ 33 ปีแล้ว และสไตล์การเล่นของเขาก็แตกต่างจากซัวเรซอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในส่วนนี้อาจจะมองข้ามไปได้บ้าง เพราะการได้ แลมเบิร์ต มาร่วมทีม อาจเพราะมองว่าเขาเป็นอะไหล่ เป็นตัวหมุนเวียนที่ดี มีประสบการณ์สูงในพรีเมียร์ลีก แถมยังมี DNA ของทีมอย่างเต็มตัว เพราะเคยเป็นนักเตะเยาวชนของทีมในอดีต 

ลิเวอร์พูล พยายามหากองหน้าคนใหม่ต่อจาก แลมเบิร์ต แต่หวยก็ไปออกที่ดาวรุ่งชาวเบลเยียมอย่าง ดิว็อค โอริกี้ มาอีกคนด้วยราคา 10 ล้านปอนด์ ซึ่งตัวของ โอริกี้ ในเวลานั้นก็ยังดิบมาก และเป็นการซื้อเพื่ออนาคต ทีมจึงปล่อยให้ ลีลล์ ยืมตัวใช้งานไปก่อน 

ขณะเดียวกัน เงินในมือก็ยังเหลืออีกมากโข พวกเขายังคงมองหากองหน้าชั้นดีต่อไป ทว่าจนแล้วจนรอดตลาดซื้อขายใกล้จะปิด ดีลสุดเซอร์ไพรส์ปนช็อกแฟนหงส์แดงก็เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาไปคว้าตัว มาริโอ บาโลเตลลี่ ดาวยิงชาวอิตาเลี่ยนผู้มีความเป็นตัวเองสูงจนถึงขั้นเกรียน (ยุคนี้น่าใช้คำว่า Toxic) มาร่วมทีม เพียงเพราะหวังว่าดาวยิงผู้เคยมีส่วนพา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกคนนี้ จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ... เพราะทุกคนที่อยู่ในทีมชุดดังกล่าวออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดเมื่อเวลาผ่านไป

 

3 กองหน้าสุดท้อในยุคมืดเต็มตัว

ทุกคนคงรู้ว่าผลงานในฤดูกาล 2014-15 ของ ลิเวอร์พูล แย่แค่ไหน แต่เบื้องหลังของความย่ำแย่ก็เพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ ผ่านกลุ่มนักเตะในทีมชุดนั้นที่ออกมาบอกเล่าประสบการณ์ในยุคมืดของ หงส์แดง ... แม้กระทั่ง ร็อดเจอร์ส ยังออกมาแฉว่า เขาก็งงไม่แพ้แฟนบอลที่ทีมดันไปคว้านักเตะอย่าง บาโลเตลลี่ มาร่วมทีม 

"ตอนนั้นทีมยังมองหากองหน้าชั้นดีที่ทำหน้าที่ได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่ทำประตูอย่างเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายก็เป็น มาริโอ บาโลเตลลี่ ซึ่งผมรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะใช่คนนั้นที่จะตอบโจทย์ของเราได้เลย"

"เรื่องการเสริมทัพในซัมเมอร์นั้นมันยืดเยื้อมาก ๆ เราพยายามเฟ้นหาคน ๆ นั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันหายากจริง ๆ สำหรับนักเตะแบบเดียวกับ ซัวเรซ สุดท้ายมาจบที่นักเตะอย่าง บาโลเตลลี่ ที่บอร์ดบริหารคิดว่าผมจะเป็นคนที่พัฒนาเขาได้" ร็อดเจอร์ส เล่าเรื่องนี้เมื่อปี 2021 

การเสริมตัวไม่ได้ตามเป้า แถมเมื่อเริ่มซีซั่น คนที่ควรจะเป็นตัวหลักในแดนหน้าอย่าง สเตอร์ริดจ์ ก็มาเจ็บซ้ำ จนเป็นคนที่มา ๆ หาย ๆ แทบไม่ได้เล่น รวมถึงตัวรุกด้านข้างที่ปีก่อนผลงานดีมากอย่าง สเตอร์ลิ่ง ก็ยังเด็กเกินกว่าจะมาเป็นตัวแบกได้ หวยในการจัดแนวรุก 3 คนด้านหน้าภายใต้ระบบ 4-3-3 จึงออกมาในรูปแบบที่หมุนเวียนกันเล่นจนไม่ได้แก่นสาร ไม่มีความเข้ากันเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมีบางเกมที่เราได้เห็น 3 ตัวรุกที่แย่ที่สุดในรอบ 10 ปีของ ลิเวอร์พูล นั่นคือการที่ ร็อดเจอร์ส ส่ง แลมเบิร์ต บาโลเตลลี่ และ นักเตะเก่าเก็บอย่าง ฟาบิโอ บอรินี่ ลงสนามพร้อมกัน 

บอรินี่ กับ บาโลเตลลี่ นั้นรู้จักกันมาก่อนจากการเล่นทีมชาติอิตาลีด้วยกัน โดย บอรินี่ เคยพูดถึง บาโลเตลลี่ ว่าเป็นคนที่โน้มน้าวเขาให้ย้ายร่วมทีม ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 2012 (ด้วยเหตุผลว่า บรรยากาศกองเชียร์หงส์แดงสุดยอดมาก) และถ้าหากได้เล่นด้วยกันอีกครั้ง พวกเขาจะเข้ากันได้ดีและเล่นร่วมกันจนเป็นความหวังใหม่ให้กับสโมสรได้ 

"มาริโอ เป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ และผมเริ่มเห็นว่าเขาวิ่งเยอะมากขึ้น พร้อมจะทุ่มให้ทีมอย่างเต็มที่โดยไม่เห็นแก่ตัวเลย"

"ผมเล่นให้กับหลายสโมสรก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีครั้งไหนที่เรามีนักเตะเกมรุกที่รูปแบบแตกต่างกันขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เรามีกองหน้า 4 คน (บอรินี่, แลมเบิร์ต, บาโลเตลลี่ และ สเตอร์ริดจ์) เรามีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน แต่เราทุกคนสามารถเล่นร่วมกันได้ด้วยแนวทางของตัวเองภายใต้ระบบ 4-3-3" 

น่าเสียดายที่สิ่งที่ บอรินี่ คาดหวังไม่เคยเกิดขึ้น เขาลงเล่นร่วมกับ บาโลเตลลี่ เพียงแค่ 98 นาทีเท่านั้นตลอด 1 ซีซั่น และไม่ว่าจะจัดชุดไหนลงเล่นในแดนหน้า ปัญหาก็เยอะแยะมากมาย ความไม่เข้ากันเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องวิเคราะห์ เพราะมันสะท้อนให้ทุกคนได้เห็นกับตาผ่านการแขงขันจริง ส่วน 3 ดาวยิงยุคมืดก็มีส่วนไม่น้อยในความไม่เข้ากันและไม่มีประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น

บอรินี่ ศักยภาพไม่ถึงระดับพรีเมียร์ลีก ขาดความแข็งแกร่ง ความเร็ว ความคล่องตัว ทักษะฟุตบอล และอีกหลากหลายอย่างสำหรับคุณสมบัติกองหน้าที่ดี ใช้คำวา "ห่างไกล" ก็คงไม่เกินเลยไปนัก 

ขณะที่ ริคกี้ แลมเบิร์ต ก็แก่เกินแกง และเมื่อต้องมาเล่นฟุตบอลที่ต่อบอลกับพื้นเป็นหลัก ถือเป็นการลงเล่นแบบผิดธรรมชาติกองหน้าที่โด่งดังในตำแหน่ง Target Man กับทีมที่เล่นบอลไดเร็กต์อย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน 

ขณะที่ บาโลเตลลี่ นั้นหนักที่สุดกว่าใครเพื่อน เขาอาจจะมีศักยภาพสูง แต่ทัศนคติแย่มากถึงมากที่สุด ไม่ใช่แค่เล่นในสนามด้วยกันกับเพื่อนคนอื่นไม่ได้เท่านั้น แม้แต่เรื่องมนุษย์สัมพันธ์ เขาก็เข้ากับใครไม่ได้ มีการเปิดเผยกันภายหลังว่า ช่วงที่เล่นให้ ลิเวอร์พูล เขาไม่รู้จักใครจริงจัง ไม่มีใครเป็นเพื่อนสนิทเลย แม้กระทั่งชื่อเพื่อนร่วมทีมหลาย ๆ คนเขาก็จำไม่ได้ หลายครั้งเขาจะเรียกเพื่อนด้วยคำว่า "เห้ย" หรือ "เห้ยเพื่อน" แทนที่จะเอ่ยชื่อ

นอกจากนี้ยังแกล้งดาวรุ่งของทีมอย่าง จอน ฟลานาแกน ด้วยการตะโกนเรียก ฟลานาแกน ที่กำลังเจ็บอยู่ให้มาหาโดยไม่มีสาเหตุ มีแต่เสียงหัวเราะของ บาโลเตลลี่ เท่านั้นเมื่อ ฟลานาแกน มาถึง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผู้ช่วยโค้ชโอย่าง คลิน พาสโก้ ต้องขู่ว่าจะส่งบาโลเตลลี่กลับห้องแต่งตัว เขาถึงจะเลิกตอแยและป่วนคนอื่น

บาโลเตลลี่ มีปัญหาแทบในทุกด้าน แม้แต่ในสนามซ้อมเขาก็ยังเป็นคนที่แม้แต่เพื่อนร่วมทีมก็เอือมระอา ซึ่งคนที่ออกมาแฉก็คือ ริคกี้ แลมเบิร์ต เองที่แสดงอาการไม่ไหวกับ บาโลเตลลี่ แบบสุด ๆ

"การซ้อมของ บาโลเตลลี่ นั้นโคตรจะบัดซบเลย คาแร็กเตอร์ของเขาห่วยแตกอย่างแรง ไม่เคยจริงจังตอนซ้อม ไม่ได้พยายามมากนัก และเมื่อเขาลงเล่น เขาอาจจะกระตุ้นอารมณ์ในการวิ่งขึ้นมานิดหน่อย แต่มันก็ได้เท่านั้นแหละ ... ผมเคยรู้จักนักเตะที่มีทัศนคติคล้าย ๆ เขาหลายคน แต่ส่วนใหญ่นักเตะพวกเขานี้จะเก่งจนพอเอาตัวรอดไปได้ ... แต่กับ บาโลเตลลี่ นั้นคนละเรื่อง เขาไม่ได้อย่างแรงเลย" 

เกมรับไม่ดีขึ้น แดนกลางอย่าง เจอร์ราร์ด ก็อายุ 35 ปี แบกอะไรไว้ไม่ไหว ขณะที่แนวรุกต่างคนต่างไป คนที่พอจะเล่นได้ก็เจ็บยาว คนที่มีใจทุ่มเทก็ดันเป็นคนที่มีศักยภาพในตัวไม่เพียงพอ ส่วนคนที่มีพรสวรรค์ก็กลับกลายเป็นคนไม่เอาไหน ไม่แปลกเลยที่ ลิเวอร์พูล จะจบอันดับ 6 ในซีซั่นดังกล่าว และมีถึง 20 เกมในลีกที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ 

กองหน้า 3 รายนี้อาจจะไม่ได้เล่นด้วยกันบ่อย แต่มันก็กลายเป็นภาพสะท้อนของหงส์แดงยุคมืด เป็นมีมที่ทุกคนนึกถึงเสมอ ในวันที่เกิดขึ้นเรื่องแย่ ณ ปัจจุบันว่า แม้ในอดีตพวกเขาจะตกต่ำขนาดนี้ แต่ที่สุดก็ยังกลับมายืนหยัดในปัจจุบันได้ เหตุผลก็เพราะว่าในความตกต่ำครั้งนี้ ยังพอมีแสงสว่างเล็ก ๆ เกิดขึ้นแบบที่หลายคนไม่รู้ตัว ความย่ำแย่ครั้งนี้ทำให้บอร์ดบริหารของ ลิเวอร์พูล เกิดดวงตาเห็นธรรม และค้นพบวิธีที่จะทำให้ทีมไม่ต้องเดินกลับมาจุดมืดดำเหมือนที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้อีก 

 

ซื้ออย่างชาญฉลาดสู่ยุคทอง

ก่อนฤดูกาล 2015-16 บอร์ดบริหารของทีมอย่าง เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เริ่มใช้เครือข่ายข้อมูล ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลและสถิตินักเตะที่น่าสนใจและเหมาะกับทีมของพวกเขามากที่สุด ซึ่งคนที่เป็นหัวหน้าทีมวิเคราะห์ก็คือ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ที่เป็น ผอ.กีฬาของกลุ่ม FSG ณ ตอนนี้นี่แหละ 

ร็อดเจอร์ส พูดถึงการเปลี่ยนแปลงระบบภายในของทีมครั้งนั้นว่า เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นคนที่พยายามเอาตัวเลขสถิติที่เขารวบรวมจากคอมพิวเตอร์เพื่อแนะนำให้ ร็อดเจอร์ส หลาย ๆ เรื่อง เช่นการแนะนำให้เขาเลือกใช้งานนักเตะใหม่อย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในตำแหน่งกองหน้า มากกว่าการเอาไปเล่นเป็นตัวริมเส้นที่เขาทำเป็นประจำ ซึ่งสุดท้าย ฟีร์มิโน่ ก็ล้มเหลวกับตำแหน่งตัวริมเส้น จนกระทั่ง ร็อดเจอร์ส ตกงานจากผลงานโดยรวมในอีกไม่นาน 

ทว่าตรงกันข้ามกับ ร็อดเจอร์ส ที่ออกไป กลายเป็น FSG เห็นศักยภาพในการทำงานของ เอ็ดเวิร์ดส์ จากเหตุการณ์นั้น และทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นจนกลายเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรในปี 2016 ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญสุด ๆ ในฟุตบอลยุคปัจจุบัน เป็นคนที่มีผลในการเลือกนักเตะ หรือแม้กระทั่งเฮดโค้ชเข้ามาคุมทีมเลยทีเดียว

เอ็ดเวิร์ดส์ และทีมงานที่ถูกเรียกว่า "กลุ่มหนอนคอมพิวเตอร์" ได้แก้เรื่องการซื้อนักเตะของทีมใหม่ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือการตั้งคำถามที่ถูกต้องก่อน และคำถามของพวกเขาคือ "ทีมต้องการอะไร ?" ไมใช่ "ทีมต้องการใคร ?" แบบในอดีต 

การเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ของลิเวอร์พูล จะพิจารณาจาก สถิติในสนาม, ศักยภาพพัฒนาได้, บุคลิกภาพ, ความเหมาะสมกับสไตล์ของทีม และเฮดโคชคนปัจจุบันที่คุมทีมอยู่ และลึกไปยิ่งกว่านั้น ก็คือการทำงานด้วยระบบ Scouting & Recruitment ที่พวกเขาไม่ได้ซื้อนักเตะคนไหนตามกระแส หรือเป็นนักเตะที่เอเย่นต์เอามานำเสนอเหมือนฟุตบอลยุคเก่า แต่มันคือการตัดตามนักเตะที่เข้าข่ายความต้องการทีมล่วงหน้าเป็นปี ๆ 

ยิ่งเมื่อระบบการซื้อตัวที่ดี และมีการเปลี่ยนกุนซือจาก ร็อดเจอร์ส มาเป็นโค้ชสายสร้างนักเตะแบบปั้นดินสู่ดาวอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็กลายเป็นคอมโบที่ทรงพลัง นักเตะที่ทีมวิเคราะห์นำพาเข้ามาอย่าง โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ รวมถึงอีกหลาย ๆ คน กลายเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าที่ลงตัวกับระบบการเล่นของทีม 

และเมื่อแต่ละตลาดซื้อขายผ่านไป ความผิดพลาดแบบเก่า ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยการซื้อตัวที่แม่นยำ ยกระดับทีมได้จริง ซึ่งสุดท้ายนับตั้งแต่ยุคของ คล็อปป์ จนถึงทุกวันนี้ ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องซื้อถูก-ขายแพง บริหารหลังบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม และกลายเป็นทีมที่ร่ำรวยระดับท็อป  5 ของโลกในปัจจุบัน เรียกได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นยุคทองของสโมสรแห่งนี้

ถ้าไม่มียุคมืดที่ใช้ 3 ประสาน บาโลเตลลี่, บอรินี่ และ แลมเบิร์ต เป็นภาพสะท้อนความผิดพลาด ลิเวอร์พูล ก็คงไม่ได้เรียนรู้จนสามารถสร้างยุคทองได้แบบที่พวกเขาเป็นในทุกวันนี้แน่นอน

ว่ากันว่าความผิดพลาดของชีวิตคนเรานั้นมีอยู่ 2 แบบ นั่นคือความผิดพลาดที่สร้างบาดแผลให้เราเจ็บปวด กับ ความผิดพลาดที่ทำให้เราเรียนรู้และเติบโต ... และคงไม่ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล มองความผิดพลาดในยุคมืดของพวกเขาเป็นแบบไหนอีกต่อไปแล้ว เพราะภาพ ณ ปัจจุบัน คือคำตอบของการเรียนรู้อย่างแท้จริง

 

แหล่งอ้างอิง 

https://www.espn.com/soccer/story/_/id/37385929/fabio-borini-eyes-strike-partnership-mario-balotelli-liverpool
https://www.reddit.com/r/soccer/comments/ghunea/rickie_lambert_the_way_balotelli_used_to_train/?rdt=34727
https://www.express.co.uk/sport/football/508431/Fabio-Borini-I-can-compete-with-Sturridge-Balotelli-and-Lambert-at-Liverpool
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/liverpool-transfers-rodgers-balotelli-lambert-20341190
https://en.wikipedia.org/wiki/2014%E2%80%9315_Liverpool_F.C._season#Transfers_and_loans

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ