ตลาดนักเตะฤดูร้อนปี 2025 เปิดไม่ทันไร ลิเวอร์พูล ปิดดีลนักเตะตัวท็อปในช่วงเวลานี้ไปแล้ว 2 คนอย่าง โฟลเรียน เวียร์ตซ์ และ เจเรมี่ ฟริมปง พร้อมกันนี้ก็กำลังจะปิดดีล มิลอส เคอร์เคซ ในเร็ว ๆ นี้ นี่คือการทำงานที่รวดเร็ว ได้ของดี และจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผล
แถมขาออกยังเดินหน้าอย่างฉับไว ตัดสินใจรวดเร็ว ใครควรย้ายออกเพื่อทำกำไร ใครควรย้ายออกเพราะไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม ... ว่ากันว่าทีมหลังบ้านของพวกเขาคือ No.1 ของพรีเมียร์ลีกยุคนี้อย่างแท้จริง
วิธีการทำงานของ ลิเวอร์พูล แตกต่างยังไง ทำไมจึงรวดเร็ว ได้ของดี ในราคาที่เหมาะสมแทบจะทุกครั้งไป หาคำตอบกับ Main Stand
กลุ่ม "หนอนคอมพิวเตอร์"
สิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล แตกต่างในแง่ของการบริหารก็คือการทำงานแบบ "โครงสร้างแบบผสม" (Collaborative Structure) ซึ่งพวกเขาเริ่มติดตั้งนับตั้งแต่กลุ่มทุน FSG (Fenway Sports Group) นำทีมโดย จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแล้ว
การทำงานด้วยโครงสร้างแบบผสมคือ การทำงานที่มีการวางระบบให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน ตั้งแต่คนหน้างาน (ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช) และคนหลังบ้าน (ทีมงานบริหาร) อำนาจในการตัดสินใจอาจจะอยู่ที่ฝ่ายบริหารเป็นหลัก แต่ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะตัดสินใจได้นั้น ทุกฝ่ายจะต้องเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีในมือออกมาสนับสนุนการตัดสินใจครั้งนั้น เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการทำงานที่ไม่สามารถจบงานด้วยใครแค่คนเดียวได้
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ที่ปัจจุบันเป็นหัวหน้าแผนกฟุตบอลของ FSG อยู่บ่อยครั้ง เขาถือเป็นหมากตัวสำคัญในเกมซื้อขายของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง และเป็นขุนพลที่ฝั่งบริหารจากสหรัฐอเมริกาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก จากผลงานการทำงานที่เด่นชัด ประสบความสำเร็จมากกว่าผิดพลาด คำถามต่อมาก็คือ ทำไมเขาคนนี้จึงสำคัญกับระบบ "โครงสร้างแบบผสม" ขนาดนั้น ?
อันที่จริง เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นคนที่ทำงานกับ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ปี 2011 ในฐานะหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ และหน้าที่ของเขาต่อตรงกับกุนซือของทีมมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าด้วยชื่อเสียงของเขาในเวลานั้น ทำให้หลายคนไม่ได้ฟังคำเตือนจากเขามากเท่าไรนัก
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ออกมาบอกภายหลังว่า สมัยที่เขาทำงานกับ เอ็ดเวิร์ดส์ ที่ ลิเวอร์พูล เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นคนที่พยายามเอาตัวเลข สถิติที่เขารวบรวมจากคอมพิวเตอร์เพื่อแนะนำให้ ร็อดเจอร์ส เลือกใช้งาน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในตำแหน่งกองหน้า มากกว่าการเอาไปเล่นเป็นตัวริมเส้นที่เขาทำเป็นประจำ ซึ่งสุดท้าย ฟีร์มิโน่ ก็ล้มเหลวกับตำแหน่งตัวริมเส้น จนกระทั่ง ร็อดเจอร์ส ตกงานจากผลงานโดยรวมในอีกไม่นาน
ทว่าตรงกันข้ามกับ ร็อดเจอร์ส ที่ออกไป กลายเป็น FSG เห็นศักยภาพในการทำงานของ เอ็ดเวิร์ดส์ จากเหตุการณ์นั้น และทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นจนกลายเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรในปี 2016 ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญสุด ๆ ในฟุตบอลยุคปัจจุบัน เป็นคนที่มีผลในการเลือกนักเตะ หรือแม้กระทั่งเฮดโค้ชเข้ามาคุมทีมเลยทีเดียว
ชุดข้อมูลของ เอ็ดเวิร์ดส์ มาจากไหน ? แน่นอนว่าเขาไม่ใช่นักปราชญ์ที่แตกฉานทุกอย่างบนโลกฟุตบอล เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่ใช่คนที่ให้สัมภาษณ์บ่อยนัก แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาพูดคุยกับ Liverpool Echo สื่อท้องถิ่น และเขาบอกว่าข้อมูลในมือของเขาเป็นเครดิตจากทีมงานรอบตัว ทีมชุดที่เขาแต่งตั้งขึ้นมาภายใต้ชื่อ "ทีมวิเคราะห์ข้อมูล" (Data Science & Analytics) ที่มีทีมงานหลายชีวิต และนำทีมโดยหัวหน้าฝ่าย Research ที่ชื่อว่า เอียน เกรแฮม ซึ่งแฟนหงส์แดงน่าจะพอได้ยินชื่ออยู่บ่อย ๆ
ทีมงานชุดนี้ส่งข้อมูลสำคัญ ๆ ให้ เอ็ดเวิร์ดส์ มากมาย และทำให้เขาได้ทำการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร นั่นคือการเลือก เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมต่อจาก ร็อดเจอร์ส แทนที่จะเป็นแคนดิเดตอีก 2 คนในเวลานั้นอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ และ เอ็ดดี้ ฮาว
และเราต้องขอย้อนกลับไปที่ ฟีร์มิโน่ อีกครั้ง เพราะเขากลับมาแจ้งเกิดในยุคของคล็อปป์ หลังถูกโยกตำแหน่งไปเล่นกองหน้า ก่อนตัวรุกชาวบราซิลผู้นี้จะเป็นหนึ่งในหมากตัวสำคัญที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลพุ่งทะยานมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ปัจจุบันเจ้าตัวออกจากทีมไปแล้วก็ตาม
การตัดสินใจของสโมสรในแต่ละครั้งใช้ข้อมูลต่าง ๆ ประกอบกันเยอะแยะมากมาย และสิ่งที่ทีมงานชุดนี้ได้รับคำชมก็คือเรื่องสถิติและตัวเลขที่แม่นยำ ทำให้พวกเขาได้นักเตะที่เหมาะสมกับทีมทั้งราคา คุณภาพ และวิธีการเล่นอยู่บ่อย ๆ
นี่คือโครงสร้างที่มาก่อนกาลเลยก็ว่าได้ เพราะในช่วงปี 2012 เอ็ดเวิร์ดส์ และทีมงานของเขายังเคยถูกสื่อแซวว่า "กลุ่มหนอนคอมพิวเตอร์" (Laptop Guru) ซึ่งเป็นการแซวในเชิงลบที่เย้ยหยันว่าฟุตบอลคือกีฬาที่ตัดสินด้วยสายตาไมใช่คอมพิวเตอร์เหมือนกับเกม FIFA หรือ FM แต่อย่่างที่เรารู้กัน ทีมงานหนอนคอมพิวเตอร์นี่แหละ คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนลิเวอร์พูล ตั้งแต่ยุคที่มีเงินน้อย จนทุกวันนี้สโมสรทำกำไรมหาศาล และตัวเลขในบัญชีเป็นสีเขียว สามารถซื้อนักเตะราคาราว ๆ 130 ล้านปอนด์ ได้แบบสบาย ๆ
"จะซื้ออะไร"... ไม่ใช่แค่ "ซื้อใคร ?"
สิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้นักเตะที่เหมาะกับระบบในราคาที่เหมาะสม ไม่ค่อยโดนโขกสับ เกิดจากการทำงานที่ของทีมหลังบ้านอีกเช่นเคย จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือการตั้งคำถามที่ถูกต้องก่อน และคำถามของพวกเขาคือ "ทีมต้องการอะไร ?" ไมใช่ "ทีมต้องการใคร ?" แบบในอดีต
ขยายความให้ชัดคือ ตัวเลข สถิติต่าง ๆ รวมถึงการทำงานร่วมกับโค้ช ถามความเห็นจากทีมสตาฟฟ์ว่าต้องการนักเตะประเภทไหน เอามาทำหน้าที่อะไรเป็นหลัก จากนั้นพวกเขาก็เอาวิธีแบบ Old School แบบที่ขอความเห็นจากโค้ช มาค้นหานักเตะประเภทนั้นแบบ New School ด้วยการใช้ระบบตัวเลข การจดสถิติ ต่าง ๆ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามว่า "ทีมต้องการอะไร ?" จากนั้นจึงค่อยเจาะลึกเข้าไปอีกว่า มีนักเตะคนไหนบ้างที่จะทำในสิ่งที่ทีมต้องการได้
โดยสรุปก็คือ การเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ของลิเวอร์พูล จะพิจารณาจาก สถิติในสนาม, ศักยภาพพัฒนาได้, บุคลิกภาพ, ความเหมาะสมกับสไตล์ของทีม และเฮดโคชคนปัจจุบันที่คุมทีมอยู่
และลึกไปยิ่งกว่านั้น ก็คือการทำงานด้วยระบบ Scouting & Recruitment ที่พวกเขาไม่ได้ซื้อนักเตะคนไหนตามกระแส หรือเป็นนักเตะที่เอเย่นต์เอามานำเสนอเหมือนฟุตบอลยุคเก่า แต่มันคือการตัดตามนักเตะที่เข้าข่ายความต้องการทีมล่วงหน้าเป็นปี ๆ เช่นตัวอย่างที่ชัดเจนคือ โม ซาลาห์ นั้น ลิเวอร์พูล และทีมงานหลังบ้านติดตามฟอร์มของเขามาตั้งแต่ปี 2013 สมัยยังเล่นให้ บาเซิ่ล แล้วด้วยซ้ำ ก่อนที่ทุกอย่างจะสุกงอมและเหมาะสมที่สุด จนนำมาซึ่งการย้ายสู่ทีมในปี 2017
นอกจากรายของ ซาลาห์ แล้วก็ยังมีเรื่องของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่สโมสรตามเรื่องมาตั้งแต่ปี 2019 สมัยที่ดาวยิงรายนี้เล่นให้ อัลเมเรีย ในลีก เซกุนด้า ของสเปน จนกระทั่งมาปิดดีลในฤดูกาล 2022-23 ... การตามติดเป้าหมายที่อยู่ในข่ายนี้เอง ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่เสียเวลาเช็คข้อมูลช่วงตลาด, ต่อรองเร็ว และปิดดีลอย่างเร็วไวโดยไม่ต้องให้เห็นข่าวนานแบบที่หลาย ๆ ทีมเป็น
มีการยกตัวอย่างคร่าว ๆ ว่าทีมงานจะเก็บข้อมูลพฤติกรรมในสนาม, จังหวะการตัดสินใจ, สถิติการเพรสซิ่ง หรือระยะทางในการวิ่งต่อเกม ซึ่งสอดคล้องกับสไตล์ จากนั้นพวกเขาก็จะเข้าสู่กระบวนการ กระบวนการพูดคุยร่วมกัน (Joint Decision Making) นำโดย กุนซือของทีม, ผู้อำนวยการกีฬา และหัวหน้าทีมแมวมองทุกคนจะประชุมร่วมกันก่อนตัดสินใจ ซึ่งวิธีการนี้ ทำให้โค้ชใช้งานนักเตะแต่ละคนอย่างเต็มที่ เพราะเข้าใจว่าได้ใครมาเพราะเหตุผลอะไร
นอกจากจะได้นักเตะที่โค้ชชอบ และทีมหลังบ้านเห็นด้วยแล้ว สิ่งที่ตามมาจากการทำงานร่วมกัน และการความกระชับฉับไวในการตัดสินใจในตลาดซื้อขายทั้งขาออก-ขาเข้า นอกจากนี้ยังมีอีก 1 สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ทีมหลังบ้านของ ลิเวอร์พูล เป็น No.1 ก็คือ นอกจากพวกเขาจะซื้อนักเตะไวแล้ว พวกเขายังให้ความสำคัญกับเรื่องบัญชีรายรับ-รายจ่ายของสโมสรด้วย ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้พวกเขามีเงินทุน และเป็นทีมที่สามารถใช้คำว่า "รวย" ได้อย่างเต็มปาก หากเทียบกับยุคสมัยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขา "ดีล" กับคนภายนอก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้การคุยกันภายในสโมสรเลย
จ่ายในสิ่งที่ควรจะจ่าย
การจะได้นักเตะในราคาที่เหมาะสม และปิดดีลอย่างรวดเร็วนั้น นอกจากจะมาจากการทำงานของระบบภายในสโมสรที่ดีแล้ว ลิเวอร์พูล ยังมีวิทยายุทธ์อีกอย่างที่เป็นกลไกสำคัญของเรื่องนี้ นั่นคือ "การดีลกับเอเย่นต์"
แม้การจ่ายเงินส่วนต่างให้เอเย่นต์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ของโลกฟุตบอล แต่ ลิเวอร์พูล นั้นใช้เรื่องนี้เป็นหลัก และเริ่มทำมาตั้งแต่ช่วงปี 2017 แล้ว โดยเรื่องนี้อ้างอิงจากที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำนานกองหลังของทีม ที่คุยกับ เอ็ดเวิร์ดส์ ด้วยตัวเองและเอามาเล่าต่อในรายการของเขาว่า เอ็ดเวิร์ดส์ ให้ความสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์กับเอเย่นต์ เพื่อให้ทุกดีลเดินอย่างรวดเร็ว และทำให้เอเย่นต์ของนักเตะทำทุกอย่างเพื่อให้การซื้อขายของ ลิเวอร์พูล ลุล่วง
"ผมเคยถามกับ ไมเคิล ว่าพวกเขามีวิธีหาข้อมูลเชิงลึกในการทำงานแมวมองอย่างไร มีวิธีจับตาดูนักเตะที่จะซื้อเข้ามาแบบไหน และวิธีที่พวกเขาเห็นสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ มันคืออะไร ... คำตอบของเขากลับเป็นคำตอบง่าย ๆ ว่า 'สิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะได้ผู้เล่นในแต่ละดีล ก็คือการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าเอเย่นต์ไงล่ะ'" คาร์ราเกอร์ เล่า
"เขาย้ำกับผมมาก ๆ ว่าเขาไม่ได้เล่นมุก และมันสำคัญมาก ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ นับตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปี 2022 ที่ เอ็ดเวิร์ดส์ ออกจาก ลิเวอร์พูล (ก่อนกลับมารับตำแหน่งใหม่ใหญ่กว่าเดิมในปี 2024) ก็คือพวกเขาเป็นทีมที่จ่ายเงินค่านายหน้าให้กับนักเตะมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไมได้เกี่ยวกับเงินที่จ่ายให้สโมสรคู่ค้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"
นอกจากการตีสนิทและจ่ายเงินพิเศษให้กับเอเย่นต์จะทำให้นักเตะตกลงปลงใจมาร่วมทีมง่ายขึ้นแล้ว ยังมีข้อดีอีก 1 ข้อคือ เงินในส่วนที่จ่ายให้เอเย่นต์นั้นจะไม่ถูกนับรวมกับการซื้อ-ขายนักเตะ ดังนั้น ลิเวอร์พูล จึงทำให้ตัวเลขรายจ่ายของพวกเขาลดลงไปอีก ซึ่งนั่นสำคัญมากกับฟุตบอลยุคปัจจุบันที่มีกฎทางการเงินทั้ง FFP หรือ PSR เข้ามาเกี่ยวข้อง ... เห็นได้ชัดว่าความแยบยลนี้ไม่ใช่แค่ทำให้พวกเขาได้นักเตะดี ๆ ราคาเหมาะสม แถมปิดดีลไวเท่านั้น แต่มันทำให้ตัวเลขทางบัญชีของสโมสรดูดีขึ้นมาในเวลาเดียวกันอีกด้วย
เพราะพวกเขาวางแผนล่วงหน้า, ทำการบ้านเชิงข้อมูลดีมาก, รู้มูลค่าที่แท้จริงของนักเตะ, สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนนอกสโมสร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สโมสรมีโปรเจ็กต์ที่ดึงดูดใจ มีทีมที่แข็งแกร่งในแบบที่ต้องคัดแล้วว่านักเตะที่จะมาอยู่ทีม ๆ นี้ได้ต้องเหมาะสมทั้งฝีเท้าและทัศนคติ ถึงเวลาขายต่อ ทีมที่จะซื้อนักเตะจาก ลิเวอร์พูล ก็มั่นใจในระดับนึง เพราะเหมือนกับ ลิเวอร์พูล สแกนมาให้พวกเขาแล้ว 1 ชั้น
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ซื้อได้เร็ว และขายได้กำไรอยู่บ่อย ๆ .. เห็นได้ชัดว่าหากทีมจะเดินไปข้างหน้าได้ ทุกอย่างล้วนต้องสอดคล้องกันตั้งแต่คนที่นั่งเก้าอี้บริหาร คนที่คอยรับนโยบาย คนที่ทำงานเบื้องหน้า หรือแม้แต่คนที่ต้องดีลกับคนภายนอก ทั้งหมดนี้คือเคล็ดลับของทีมงาน No.1 ของ ลิเวอร์พูล ที่ตอนนี้หลาย ๆ สโมสรกำลังเดินตามรอยเท้าของพวกเขา จากความสำเร็จทั้งแบบถ้วยรางวัล และตัวเลขในบัญชีอย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/michael-edwards-liverpool-most-important-signing-post-jurgen-klopp-plan/blt48134d8b9831eb53#cs7daa15a4393f0146
https://www.goal.com/en/news/liverpools-laptop-guru-michael-edwards-the-hidden-genius-behind-van-dijk-mane--salah-signings/1fx0rea07yt8c1pcaubwiygl32
https://www.thisisanfield.com/2025/05/19-of-liverpools-staff-members-key-to-premier-league-title-they-work-so-hard/
https://www.thisisanfield.com/2024/02/surprising-biggest-thing-michael-edwards-told-jamie-carragher-about-liverpool-transfers/
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/spoke-michael-edwards-day-liverpool-28760015
https://www.nytimes.com/athletic/5332174/2024/03/12/michael-edwards-liverpool-fsg-profile/