Feature

ทำไม เปเล่ ถึงเป็นนักฟุตบอลเพียงคนเดียวที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ 3 สมัย | Main Stand

ปี 1958 การปรากฏตัวของเจ้าหนูมหัศจรรย์นามว่า เอ็ดสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต้ (Edson Arantes do Nascimento) หรือ เปเล่ ที่ได้แจ้งเกิดด้วยการเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดซึ่งสามารถทำประตูได้ในฟุตบอลโลก (17 ปี) เขากลายเป็นหนึ่งในดาวเด่นประจำทัวร์นาเมนต์นั้นทันที จากการกดไปถึง 6 ประตู พ่วงด้วยลีลาและเทคนิคแพวพราว จนผู้คนต้องจับจ้องมองมาที่เขาเป็นพิเศษ

 


เปเล่สามารถทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจฟุตบอลได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาคือผู้เล่นที่ทั่วโลกจับตามองและอยากเห็นเขาลงเล่นในสนามสักครั้งในชีวิต จนรัฐบาลบราซิลต้องประกาศให้เขาเป็นสมบัติของชาติที่ต้องเล่นฟุตบอลในประเทศบราซิลเท่านั้น

ความยอดเยี่ยมของเปเล่มีมากมายจนไม่อาจกล่าวได้หมด และหนึ่งในนั้นคือการเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่สามารถคว้าแชมป์โลกมาเชยชมได้ถึง 3 สมัย

Main Stand จึงอยากพาท่านร่วมวิเคราะห์ไปพร้อมกันว่าอะไรคือปัจจัยที่ช่วยให้เปเล่กลายเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่สามารถคว้าแชมป์โลก 3 สมัยได้บ้าง ติดตามได้ ที่นี่

 

มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง

วันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ.1940 ณ เมือง เตรส โคราคอส รัฐมินัสเชไรส์ ประเทศบราซิล ในครอบครัวยากจนที่มีเชื้อสายปนกันระหว่างแอฟริกากับโปรตุเกส ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายผิวดำผู้หนึ่งมีนามว่า เอ็ดสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต้ ตามชื่อของ โทมัส อัลวา เอดิสัน (นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้คิดค้นกระแสไฟฟ้าให้ใช้งานได้เป็นคนแรก ๆ ของโลก)

คูเวา รามอส โด นาสซิเมนโต้ หรือ ดอนดินโญ่ ตั้งใจตั้งชื่อบุตรชายตามชื่อของเอดิสัน เนื่องจากเคารพนับถือยอดนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่สามารถคิดค้นกระแสไฟฟ้าให้ใช้งานได้จริง และต้องการเปรียบทารกน้อยว่าเป็นเสมือนแสงสว่างของครอบครัว โดยที่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าทารกผู้นี้จะเติบโตขึ้นเป็นแสงสว่างในวงการฟุตบอลไปทั่วโลกได้ในอนาคตอันใกล้

ขณะที่ เปเล่ เป็นชื่อที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ในตอนที่เอ็ดสันเรียนหนังสือ เขามีนักฟุตบอลในดวงใจชื่อว่า บิเล่ เป็นผู้รักษาประตูทีมวาสโก ดา กามา ในลีกบราซิล แต่กลับเรียกชื่อผิดเป็น "ปีเล่" จนถูกเพื่อนในชั้นเรียนหัวเราะเยาะและล้อเลียนชื่อของเอ็ดสันว่า "เปเล่" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อ เปเล่ จึงกลายเป็นชื่อเล่นที่ผู้คนใช้เรียกเขาจนติดปากมาจนถึงทุกวันนี้

หนูน้อยเปเล่ฉายแววความเป็นยอดนักเตะมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเรียนรู้วิธีควบคุมลูกฟุตบอลได้อย่างรวดเร็ว จากการได้เห็นบิดาฝึกเล่นฟุตบอลที่บ้านเป็นประจำ

คุณพ่อของเปเล่เป็นนักฟุตบอลในลีกท้องถิ่นของทีมเล็ก ๆ ที่ไม่โด่งดังและยังไม่ประสบความสำเร็จหรือเป็นที่รู้จักในสายอาชีพนักเตะมากนัก ซึ่งการเล่นฟุตบอลในสมัยนั้นยังไม่ถูกจัดว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงพอจะเลี้ยงครอบครัวได้ คุณพ่อของเปเล่จึงต้องรับจ้างทำความสะอาดในโรงพยาบาลควบคู่กับการเล่นฟุตบอล

ถึงแม้ว่าดอนดินโญ่จะไม่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพนักฟุตบอล แต่เขาก็ไม่เคยห้ามให้บุตรชายเล่นฟุตบอลเลยสักครั้ง เพราะมองเห็นบางอย่างในตัวของเปเล่ สิ่งนั้นเรียกว่า "พรสวรรค์"

คุณพ่อจึงเป็นครูคนแรกที่สอนฟุตบอลให้กับเปเล่ในสมัยเด็ก แม้จะไม่ถูกใจ มาเรีย เซเลสเต้ คุณแม่ของเขา ที่อยากเห็นเปเล่ทำอาชีพที่เป็นหลักเป็นฐานมั่นคงกว่าการเป็นนักเตะข้างถนนไปวัน ๆ

เปเล่ฝึกหัดฟุตบอลทุกวันและเล่นฟุตบอลทุกที่เท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะตามท้องถนนในแถบเมืองบ้านเกิดที่มีลูกฟุตบอลทำจากเศษขยะหรือถุงเท้าบ้าง เนื่องจากพ่อของเขาไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเสียให้เปเล่ได้เรียนฟุตบอลในทีมที่สอนฟุตบอลให้แก่เด็ก ๆ ซึ่งในฐานะที่เป็นพี่ชายคนโต (มีน้อง 5 คน) เปเล่ต้องซ้อมฟุตบอลพร้อมกับช่วยพ่อแม่ทำงานสารพัดเท่าที่ทำได้ เช่น ขายฟืน ขายมวนบุหรี่ หรือรับจ้างทำงานทั่วไปเท่าที่เด็กอย่างเขาจะสามารถทำได้

จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อตอนที่อายุได้ 4 ขวบ ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอาศัยอยู่ที่เมืองเบารู ซึ่งคุณพ่อของเปเล่ได้รับคำเชิญให้ไปเล่นฟุตบอลในทีมของเมืองนั้น และขณะเดียวกันก็ได้งานเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำงานให้กับรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวมีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ที่นี่เปเล่ทำงานเป็นคนขัดรองเท้าให้แก่นักเตะของทีมเบารู แอตแลติก (Bauru Athletic Club) ที่พ่อของเขาเล่นอยู่ และการคลุกคลีอยู่กับนักเตะทุกวันทำให้เปเล่เรียนรู้ทักษะการเล่นฟุตบอลได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เห็นคุณพ่อใช้เท้าเลี้ยงหลบคู่ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาอยากเติบโตเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจเช่นเดียวกับคุณพ่อของเขาให้ได้

"ความฝันของผมคือการทำให้ดีเหมือนพ่อเสมอ ผมคิดว่าเขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก" เปเล่ กล่าวไว้ในสารคดีของ Netflix เมื่อปี 2021

เมื่ออายุได้เพียง 11 ปี เขาได้รวบรวมเพื่อนนักเตะข้างถนนด้วยกันสร้างทีมฟุตบอลของตัวเองที่มีชื่อภาษาไทยว่า "ทีมนักเตะไร้รองเท้า" และเดินสายเตะฟุตบอลไปทั่วเมืองเบารู เพื่อเตรียมทีมสำหรับแข่งขันในรายการเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นโดยนายกเทศมนตรีของเมือง และต่อมาพวกเขาได้เปลี่ยนชื่อทีมมาเป็น อเมริควินย่า (Ameriquinha) และสามารถคว้าแชมป์มาครองได้อย่างเหนือความคาดหมาย

เปเล่เป็นนักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขันรายการนั้น และชื่อของเขาก็โด่งดังไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ผู้คนล้วนชื่นชมในฝีเท้าของเขาที่วาดลวดลายสวยงามราวกับเป็นการเต้นรำบนผืนหญ้า และต่างยกย่องนักเตะจากข้างถนนผู้นี้ว่า "เก่งเกินเด็ก"

เปเล่ใช้ทั้งพรสวรรค์และพรแสวงที่มีก้าวข้ามขีดจำกัดความยากจนของตัวเอง เขารู้ว่าจะไม่มีใครสนใจเด็กยากจนอย่างเขา และไม่มีใครเดินเข้าหาคนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดด้วยความกลัว

 

ยิงประตูได้เฉียบคมราวกับจับวาง

เมื่อครั้งพาทีมอเมริควินย่าคว้าแชมป์การแข่งขันประจำเมือง เปเล่ได้ฉายแววความเป็นยอดนักเตะตั้งแต่เกมแรกที่ลงทำการแข่งขัน เขามีจิตใจที่นิ่งสงบ กระหายชัยชนะ และมีความเป็นผู้นำอยู่ในตัว เขาไม่เคยหวาดกลัวเมื่อเจอทีมที่เหนือกว่า สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือเล่นฟุตบอลด้วยความสุขราวกับมีประสบการณ์ในเกมฟุตบอลมานานแล้ว

ชัยชนะครั้งนั้นเปรียบเสมือนประตูบานเล็ก ๆ ที่นำเปเล่ไปสู่จุดเปลี่ยนของชีวิตที่สำคัญที่สุด ด้วยฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นจึงไปเตะตาของ วัลเดอมาร์ เดอ บริโต้ (Waldemar de Brito) นักเตะในลีกสูงสุดของบราซิล ที่เชิญตัวเปเล่กับเพื่อนรวมทีมอเมริควินย่ารายอื่น ๆ มาเล่นให้กับทีมเยาวชน บาควินโย่ (Baquinho) ในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เปเล่ได้รับค่าจ้างจากการเล่นฟุตบอล เขาตอบแทนเงินค่าจ้างของทีมด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนที่จัดแข่งโดยหนังสือพิมพ์เซาเปาโล สปอร์ตติง กาเซ็ตต์ ในปีนั้นทันที

เมื่ออายุได้ 15 ปี (ค.ศ. 1956) เดอ บริโต้ พาเปเล่ไปทดสอบฝีเท้าที่สโมสรซานโตส เขาสร้างความประทับใจให้แก่แฟนบอล สื่อมวลชน และผู้บริหารของทีมซานโตส ด้วยการแสดงพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อออกมา พร้อมกับบุคลิกน่าเกรงขามที่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

เปเล่ยิงได้ถึง 4 ประตูจากการทดสอบฝีเท้า จน เดอ บริโต้ บอกกับผู้ควบคุมทีมซานโตสว่าต่อไปเปเล่จะกลายเป็น "นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" และเปเล่ก็ได้รับการเซ็นสัญญากับสโมสรซานโตส เขาเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมรสรนับตั้งแต่วันนั้นทันที

จนกระทั้งอีก 2 ปีต่อมา เปเล่ถูกเรียกตัวให้ติดทีมชาติบราซิลอย่างไม่คาดฝัน เพื่อสู้ศึกฟุตบอลโลก 1958 ที่ประเทศสวีเดน (1958 World Cup) ซึ่งเขาเป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดานักเตะจากชาติต่าง ๆ ในครั้งนั้น ด้วยอายุเพียง 17 ปี

เขาทำลายสถิติในฟุตบอลโลกครั้งนั้นจากเกมที่ ทีมชาติบราซิล ชนะ ทีมชาติเวลส์ 1-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย (วันที่ 19 มิถุนายน 1958) เปเล่ทำประตูเดียวที่เกิดขึ้นในแมตช์นั้น และถูกจารึกว่าเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่สามารถทำประตูในฟุตบอลโลกได้ ด้วยอายุเพียง 17 ปี 249 วัน ซึ่งเป็นสถิติที่ยังไม่มีนักเตะคนใดในโลกสามารถทำลายลงได้จนถึงตอนนี้

ในรอบรองชนะเลิศ เปเล่ทำผลงานโดดเด่นชนิดช็อกโลก ด้วยการทำคนเดียว 3 ประตูในเกมชนะ ฝรั่งเศส 5-2 ทำสถิตินักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดที่ทำแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลก ซึ่งเป็นสถิติที่ยังไม่เคยมีนักเตะคนใดทำลายลงได้เช่นกัน

โดยในรอบชิงชนะเลิศ เปเล่ถูกคาดหวังและถูกจับตามองจากทุกคนในฟุตบอลโลกหนนั้นทันที ซึ่งเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขามีส่วนในการบดขยี้ สวีเดน ไป 5-2 และส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายทีมคู่แข่งได้ถึง 2 ประตู นำพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลกครั้งแรกได้อย่างยิ่งใหญ่

ฟุตบอลโลกปี 1958 นับเป็นทัวร์นาเมนต์แจ้งเกิดของเปเล่อย่างแท้จริง เขายิงได้ถึง 6 ประตู (มากที่สุดในทีมชาติบราซิลชุดนั้น) การเลี้ยงฟุตบอลในพื้นที่แคบและการเคลื่อนที่ไปกับฟุตบอลที่ลื่นไหล ทำให้คนทั่วโลกตกตะลึงและชื่นชมเขาอย่างมากในตอนนั้น

โดยหนึ่งในลูกที่เขายิงใส่สวีเดนได้นั้นยังถูกยกย่องให้เป็นประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกอีกด้วย

จะเห็นได้ว่านอกจากทักษะฟ้าประทานของเปเล่แล้ว การจบประตูของเขาก็เฉียบคมราวกับผีจับยัดเข้าประตู

เปเล่ออกมาอ้างว่าตลอด 21 ปีที่ค้าแข้งในโลกฟุตบอล เขาทำประตูได้มากถึง 1,283 ประตูจากการลงเล่น 1,363 เกม โดยรวมเกมที่เขายังเป็นเยาวชน เกมกระชับมิตร และเกมการแข่งขันที่ไม่เป็นทางการไว้ด้วย

แม้ RSSSF (The Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation) และ กินเนสบุ๊ก จะมีข้อมูลที่ต่างออกไปคือ 1,279 ประตู ในขณะที่ฟีฟ่ารายงานว่าเปเล่ทำไปทั้งหมด 757 ประตู และถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เห็นด้วย แต่ฟีฟ่าก็ยังคงยืนยันตัวเลขนี้มาโดยตลอด

เรื่องที่เปเล่ยิงประตูได้ทั้งหมดกี่ลูกแม้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่สิ่งที่สามารถเชื่อได้ทันทีคือเขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิงประตูได้เฉียบคมที่สุดคนหนึ่งในโลกฟุตบอลอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ทำตัวเองให้พร้อมแข่งขันตลอดเวลา

เปเล่เชื่อว่าในสนามทุกคนเท่ากันหมด เขาจึงไม่เคยคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แม้เขาจะเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในโลกฟุตบอลอย่างสูงก็ตาม ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า

"ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือการทำงานหนัก การเรียนรู้ การเสียสละ และที่สำคัญที่สุดคือความรักในสิ่งที่คุณกำลังทำหรือเรียนรู้ที่จะทำ"

นับตั้งแต่แจ้งเกิดในฟุตบอลโลกปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน ชีวิตของเปเล่ก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที

เปเล่กลับมาที่บราซิลในฐานะฮีโร่ของประเทศ เขาเป็นเด็กอายุ 17 ปีที่โด่งดังที่สุดในโลกด้วยเวลาอันรวดเร็ว เขาเปลี่ยนบราซิลทั้งชาติให้กลายเป็นประเทศแห่งฟุตบอลด้วยสองเท้าอันแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดเขาก็จะถูกฝูงชนรุมล้อมและเข้ามาขอลายเซ็นไม่เว้นแต่ละวัน

เขาต้องรับมือกับแรงกระแทกหลายอย่างทั้งในและนอกสนาม เขากลายเป็นคนที่ถูกจับตามองตลอดเวลา ผู้คนต่างคลั่งไคล้เขาจนเขาแทบกระดิกตัวไม่ได้

เคยมีนักข่าวถามว่า "ตอนนี้คุณกลายเป็นเด็กอายุ 17 ที่เก่งที่สุดในโลกใช่หรือไม่ ?"

เขาตอบว่า "ผมไม่เคยเชื่อว่ามีผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก การจะเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกได้ คุณต้องเล่นเก่งที่สุดในทุกตำแหน่ง ซึ่งมันคงยากมาก ๆ"

เปเล่ไม่เคยหลงระเริงไปกับความสำเร็จเหล่านั้นของตัวเอง ซึ่งเขาเข้าใจดีว่าการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างฟีฟ่าเวิลด์คัพ บางครั้งการมีผู้เล่นที่ดีหรือทีมที่ดีก็อาจไม่เพียงพอให้สามารถคว้าแชมป์ได้

แน่นอนว่าระบบทีมก็เป็นส่วนสำคัญที่จะนำพาทีมไปสู่ชัยชนะได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่อให้ระบบทีมดีแค่ไหน หากผู้เล่นในทีมไม่มีความกระหายในชัยชนะก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้

เปเล่จึงทำตัวเองให้พร้อมทำการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา เขาซ้อมฟุตบอลทุกวัน และตั้งเป้าหมายในแต่ละวันว่าจะทำอะไรบ้าง เขาฝึกฝนอย่างหนัก เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ด้วยหัวใจที่เปิดรับและถ่อมตนที่สุด

เปเล่บอกว่า "ผมมีปรัชญาที่ได้รับมาจากพ่อของผม ท่านเคยพูดว่า 'ฟังนะ พระเจ้าให้ของขวัญแก่ลูกคือการเล่นฟุตบอล นี่คือของขวัญจากพระเจ้า ถ้าคุณดูแลสุขภาพของคุณ ถ้าคุณอยู่ในรูปร่างที่ดีตลอดเวลา ด้วยของขวัญจากพระเจ้าชิ้นนี้จะไม่มีใครหยุดคุณได้ แต่คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อม'"

ด้วยวิธีคิดเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เปเล่จะกลายมาเป็นผู้เล่นที่ปราดเปรียวที่สุดในสนาม และคว้าแชมป์โลกมาครองได้ถึง 3 สมัย

 

ต่อสู้ในวันที่ไม่มีใครเคียงข้าง

ในฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 ของเปเล่เมื่อปี 1970 ผู้คนบอกว่าฟอร์มของเขาแย่ลง เขาแก่ลงมาก เขาไม่ใช่คนเดิม นี่จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายที่ทำลายชีวิตของเปเล่

แม้กระทั่งชาวบราซิลเองก็ยังเชื่อว่า เปเล่ สุดยอดนักเตะตลอดกาลของพวกเขา หมดน้ำยาไปแล้วหลังทีมชวดแชมป์โลกเมื่อปี 1966 (ที่ประเทศอังกฤษ) และเจ็บออด ๆ แอด ๆ เสมอมา เขาจะพาทีมชาติบราซิลตกรอบแรกในฟุตบอลโลก 1970 อย่างแน่นอน

รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกหนดังกล่าว เขาก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย เพราะที่พักเต็มไปด้วยทุกอย่างที่เขาไม่ต้องการ ทั้งรสชาติอาหารย่ำแย่ อากาศร้อนจัด และห้องนอนที่มีแมงป่องซุกซ่อน อีกทั้งยังได้ มาริโอ ซากัลโล่ อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติของเปเล่ มาเป็นเฮดโค้ชของทีม ซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมลุยฟุตบอลโลกมาก่อน เรื่องที่ไม่น่าพิสมัยเหล่านี้ทำให้นักเตะเกือบทุกคนของบราซิลสติแตก ยกเว้นแค่เปเล่คนเดียว

"ทุกคนเอาแต่บ่นยกเว้นเปเล่ เขากระหายมากในฟุตบอลโลกหนนี้ เพราะเมื่อปี 1966 เขาบาดเจ็บในเกมพบกับโปรตุเกสจนบราซิลตกรอบ แถมผู้คนมากมายในบราซิลยังพากันพูดว่าเขาหมดสภาพแล้ว เพราะงั้นตอนเราคว้าแชมป์โลกเขาถึงเอาแต่ตะโกนในห้องแต่งตัวว่า 'กูยังไม่ตาย'" ริเวลิโน่ หนึ่งในขุนพลทีมชาติบราซิล 1970 กล่าวถึงความมุ่งมั่นของเปเล่ในฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก      

เปเล่ชื่นชอบสถานการณ์นี้อย่างมาก มันช่วยให้เขารู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นที่หายไป เขากลายเป็นผู้นำของทีมอย่างแท้จริง เขาคอยปลุกระดมและให้กำลังใจทุกคนในทีมให้มีชีวิตชีวา

อิทธิพลเหล่านี้ส่งผลต่อความเชื่อในสนามโดยตรง เปเล่กลายเป็นศูนย์กลางของทีม เป็นผู้นำในเกมบุก และคอยสั่งเพื่อนร่วมทีมในทุกจังหวะในแดนหน้า

ซึ่งสอดคล้องกับแทคติกเพลย์เมกเกอร์ 4 คนในแผงรุกของซากัลโล่ ที่เลือกใช้ เปเล่, ริเวลิโน่, เกอร์สัน และ ทอสเทา เป็นขุนพลแดนหน้าคอยล่าประตูคู่แข่ง

ผลคือทีมชาติบราซิลได้กลับมาสู่เวทีฟุตบอลโลกอีกครั้งอย่างมหัศจรรย์ เริ่มต้นด้วยชัยชนะเหนือ เชโกสโลวาเกีย 4-1 ตามด้วยการปราบอดีตแชมป์โลกอย่าง อังกฤษ 1-0 ในเกมสุดคลาสสิกที่ผู้คนยังจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และเดินหน้าเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่องจนทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

ในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับทีมสุดแกร่งอย่าง อิตาลี มันดูเหมือนเป็นงานยาก แต่หลังจากเปเล่ทำประตูแรกให้ บราซิล ขึ้นนำ อิตาลี 1-0 ความฝันที่จะได้รับชัยชนะจึงไม่ไกลอีกต่อไป เพราะ ทีมชาติบราซิล จบลงด้วยการชนะ อิตาลี ไปถึง 4-1 คว้าถ้วย จูลส์ ริเมต์ กลับบ้านเกิดที่ประเทศบราซิลได้อีกครั้ง

และทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลกปี 1970 ภายใต้การนำของเปเล่ยังได้รับการยกย่องว่ามีผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของบราซิลอีกด้วย

ความสำเร็จครั้งนี้คือฉากสุดท้ายของเปเล่บนเวทีฟุตบอลโลก เมื่อเขากลายเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่คว้าแชมป์โลกมาได้ถึง 3 สมัย คือปี 1958,1962 และ1970 จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีนักเตะคนใดทำได้อย่างเขา

เปเล่คนเดียวนำฟุตบอลไปอีกขั้นอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาคือความแตกต่างในโลกฟุตบอลอย่างแท้จริง "เปเล่" เป็นชื่อวิเศษที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาดูฟุตบอล เขาทำให้คนทั้งโลกรู้จักและหลงรักฟุตบอล ทำให้เห็นว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่น่าหลงใหลและมีเสน่ห์

ด้วยทักษะการครองบอลอันแน่นหนา สายตาที่เฉียบคม และกล้ามเนื้อที่ว่องไว เขาล่อหลอกปราการหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนทั่วโลกตกตะลึงและสรรเสริญเขาดุจดังพระเจ้า

ผู้คนจึงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเปเล่เล่นฟุตบอล เขาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฟุตบอลเป็นที่นิยมไปทั่วโลกในสมัยนั้น

มีคำกล่าวว่า สาว ๆ อยากได้เปเล่เป็นแฟน … หนุ่ม ๆ อยากได้เปเล่เป็นเพื่อน … พ่อแม่อยากได้เปเล่เป็นลูกชาย … และทุกคนอยากมีเปเล่เป็นเพื่อนบ้าน เพราะเขาน่ารักที่สุด เสน่ห์ตามธรรมชาติของเขาส่งเสริมให้เขากลายเป็นที่รักของทุกคนอย่างง่ายดาย

แม้วันนี้เปเล่จะจากไปอย่างสงบด้วยวัย 82 ปี แต่สิ่งที่เขาฝากไว้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขา กลายเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตลอดกาล

 

แหล่งอ้างอิง

https://elevatesociety.com/peles-story/
https://www.goal.com/en/news/pele-stats-goals-world-cup-wins-brazil-legends-other-trophies/1j7l9iu09le1v14q60ct2dpfnm
https://flashsport.com/article/2022/12/pele-1940-2022-the-man-who-taught-the-world-the-10f5284a

Author

ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด

Main Stand's author

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา