ยุคสมัยหนึ่ง คนไทยเกือบทั้งประเทศเฝ้ารอคอย ยอมอดหลับอดนอนเพื่อที่จะได้ดู “บอล” ภราดร ศรีชาพันธุ์ ลงดวลกับยอดนักหวดระดับโลกในศึกแกรนด์สแลม จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวงการเทนนิสไทยเลยก็ว่าได้
ทว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กระแสกีฬาเทนนิสไทยถือว่าซบเซาลงไม่น้อย โดยเฉพาะฝั่งนักหวดชายที่ยังไม่มีใครก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์แม่เหล็กสร้างความสำเร็จและดึงดูดแฟน ๆ ได้เทียบเท่าสมัยของ บอล-ภราดร และ “ปิ๊ก” ดนัย อุดมโชค สองนักหวดที่ว่ากันว่าดีที่สุดที่ไทยเคยมีมา
กระทั่งการก้าวขึ้นมาของ "บูม" กษิดิศ สำเร็จ นักหวดดาวรุ่งวัย 23 ปี เจ้าของส่วนสูง 191 ซม. ที่สร้างปรากฎการณ์เป็นนักเทนนิสชายไทยคนแรกในรอบ 13 ปี ที่คว้าตั๋วลงแข่งรอบเมนดอรว์ บนสังเวียนแกรนด์สแลมได้สำเร็จ ในรายการ ออสเตรเลียน โอเพ่น 2025
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะ “บูม” ยังมีความหวังที่จะทำให้วงการเทนนิสไทยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง … เรื่องราวของเจ้าตัวเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้วจะสามารถทำตามที่หวังไว้ได้หรือไม่ ติดตามได้ที่ Main Stand
ลูกไม้ใต้ต้น
“ผมเห็นเขาเป็นไอดอล อยากเป็นนักเทนนิสทีมชาติเหมือนพ่อ” บูมเปิดใจถึงจุดเริ่มต้นในเส้นทางเทนนิสของตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่น
หากเอ่ยถึงนามสกุล “สำเร็จ” คนในวงการเทนนิสไทยคงคุ้นเคยกันดี เพราะบูมคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “วิทยา สำเร็จ” หนึ่งในตำนานนักหวดทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์ และ 5 เหรียญทองซีเกมส์
ด้วยความที่เป็นอดีตนักกีฬาทีมชาติ คุณพ่อวิทยาจึงแอบคาดหวังให้ลูกชายได้เจริญรอยตาม แต่ไม่ได้มีการบังคับหรือเร่งรัด โดยเริ่มต้นจากการพาลูกไปสนามระหว่างที่ตนเป็นโค้ชฝึกสอน เพื่อให้ได้ซึมซับบรรยากาศ ให้ลูกเกิดความชอบและเริ่มเล่นด้วยตนเองหากต้องการ
“สมัยเด็กน่าจะตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ผมจะตามพ่อไปสนามตลอด พ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ ผมจะลากแร็กเกตลงไปในสนามเองตลอด แล้วเล่นอยู่แบบนั้นทั้งวัน ถ้าให้ออกจากสนามก็จะร้องไห้เลย” บูมเล่าด้วยรอยยิ้ม
การได้ผูกพันธ์กับกีฬาเทนนิสและยังมีคุณพ่อเป็นไอดอล ทำให้บูมเติบโตขึ้นมาด้วยความฝันที่อยากจะเป็นนักเทนนิสทีมชาติ พร้อมลงแข่งขันรายการต่าง ๆ ในระดับเยาวชน … ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
แม้จะมีฝีมือโดดเด่นแต่ก็ยังไม่ได้ก้าวถึงระดับท็อปในรุ่นอายุ ลงแข่งที่ไหนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้บูมเริ่มผิดหวังและถอดใจกับการเป็นนักเทนนิส แล้วลองหันไปเล่นกีฬาอื่นอย่างฟุตบอลและบาสเกตบอลอยู่หลายปี
“ช่วงที่มันไม่สำเร็จสักที ก็มีช่วงที่ผมไม่อยากเล่นเทนนิสเหมือนกัน ทำให้ตอนขึ้นมัธยมหยุดเล่นไปเกือบ 2 ปี ไปลองเล่นกีฬาอื่นบ้าง”
“แต่สุดท้ายด้วยความที่เราชอบเทนนิส มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เห็นพี่ ๆ เขาเล่นกัน สุดท้ายก็กลับมาเล่นอีกครั้ง และพยายามฝึกฝนตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ” บูม เผย
ช่วงนี้เองที่คุณพ่อวิทยาได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของลูกชาย จึงได้เริ่มติวเรื่องเทคนิคให้เข้มข้นมากขึ้นอย่างจริงจัง
อัจฉริยะสร้างได้
แม้คุณพ่อวิทยาจะไม่ได้เคี่ยวเข็ญลูกชายอย่างหนักเหมือนคุณพ่อของ “โม-เม” เอรียา-โมรียา จุฑานุกาล หรือ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ แต่เจ้าตัวก็วางแผนให้กับลูกชายมาเป็นอย่างดี
ผู้เป็นพ่อเล่าให้ฟังว่าช่วงที่บูมยังเป็นเยาวชนตนไม่ได้เร่งให้ลูกต้องลงแข่งอาชีพเท่าไหร่นัก เพราะอยากให้ร่างกายพร้อมจริง ๆ ก่อน โดยเฉพาะเรื่องส่วนสูง
ในด้านโภชนาการบูมได้คุณแม่และพี่สาวช่วยดูแลด้านอาหารอย่างเต็มที่ โดยต้องดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร บวกกับกินชีสและอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสมรรถภาพร่างกาย และพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม จนเป็นที่มาของส่วนสูงถึง 191 ซม. ในปัจจุบัน
จากนั้นพออายุ 18 จึงเริ่มมาเน้นเรื่องกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรง ควบคู่ไปกับการฝึกฝนด้านเทคนิคที่สูงขึ้น โดยเน้นให้เจ้าตัวได้เรียนรู้เองจากเกมการแข่งขัน ให้ได้คิดแก้ปัญหาและแก้สถานการณ์ในสนามแข่งขันเอง ซึ่งคุณพ่อจะบอกและแนะนำได้เฉพาะตอนอยู่นอกสนามเท่านั้น
การวางแผนอย่างมีระบบและอดทนรออย่างมีจุดหมาย ทำให้ฝีมือของบูมพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำตามความฝันของคุณพ่อได้สำเร็จ นั่นก็คือการได้ติดทีมชาติไทยครั้งแรก ในศึกเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย
ก่อนจะเดินหน้าสร้างชื่อเสียงในนามทีมชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ประเภททีม 2 สมัย ปี 2021 และ 2023
มีชื่อติดทีมชาติไทยสู้ศึกชิงแชมป์โลก “เดวิส คัพ” ตั้งแต่ปี 2019 โดยเฉพาะในปี 2021 ที่เจ้าตัวก้าวสู้การเป็นแชมป์ในการคัดตัว ด้วยผลงานไม่แพ้ใครเลยตลอดการแข่งขัน
รวมถึงการคว้าแชมป์ชายเดี่ยว เทนนิสเพื่อความชนะเลิศแห่งประเทศไทย 2023 ซึ่งเป็นแชมป์รายการเดียวกันกับที่วิทยาผู้พ่อเคยทำได้ในปี 1996
กระทั่งล่าสุดกับการคว้าแชมป์ “2025 เอโอ เอเชีย-แปซิฟิก ไวลด์การ์ด เพลย์ออฟ" ที่ประเทศจีน พร้อมได้ตั๋วไวลด์การ์ด เข้าแข่งขันรอบรอบเมนดรอว์ ในศึก "ออสเตรเลียน โอเพ่น 2025" 1 ใน 4 แกรนด์สแลมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ที่สำคัญยังถือเป็นนักหวดชายไทยคนแรกในรอบ 13 ปีที่ได้ลงแข่งขันในศึกแกรนด์สแลมต่อจาก “บอล” ภราดร ศรีชาพันธุ์ และ “ปิ๊ก” ดนัย อุดมโชค
"ช่วงปลายปี 2024 ผมลงแข่งในเอทีพี ชาเลนเจอร์ ที่ระดับสูงกว่าไอทีเอฟ มากขึ้น ทำให้ได้เจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น เกมการเล่นของผมก็พัฒนามากขึ้นตาม ถือเป็นหนึ่งในแผนที่เตรียมกันไว้กับทีมว่าจะต้องออกไปแข่งในทัวร์ที่สูงขึ้น เพื่อโอกาสในการพัฒนาตัวเอง จนประสบความสำเร็จได้ไปแกรนด์สแลมในที่สุด” บูม เผย
หลังจากทำความฝันของผู้เป็นพ่อคือการติดทีมชาติสำเร็จแล้ว … วันนี้ “บูม” สามารถทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงแล้วเช่นกัน และกำลังมุ่งหน้าต่อไปเพื่อไล่ล่าความสำเร็จบนเส้นทางนักเทนนิสอาชีพอย่างเต็มตัว
ปรากฎการณ์รอบ 13 ปี
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา วงการเทนนิสไทยถือว่าซบเซาลงไม่น้อย โดยเฉพาะฝั่งนักหวดชายที่ยังไม่มีใครก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์แม่เหล็กสร้างความสำเร็จและดึงดูดแฟน ๆ ได้เทียบเท่าสมัยของ ภราดร ศรีชาพันธุ์ และ ดนัย อุดมโชค สองนักหวดไทยที่ว่ากันว่าดีที่สุดที่ไทยเคยมีมา
ยุคสมัยหนึ่ง คนไทยเกือบทั้งประเทศเฝ้ารอคอย ยอมอดหลับอดนอนเพื่อที่จะได้ดู “บอล” ภราดร” ลงแข่งขันกับนักหวดระดับโลกในศึกแกรนด์สแลม จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวงการเทนนิสไทยเลยก็ว่าได้
บูมรับรู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงหวังว่าการได้ไปแกรนด์สแลมของตนในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการปลุกกระแสเทนนิสไทยให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง
“ช่วงที่ผมเด็ก ๆ ก็ยังบูมอยู่นะ แต่พอช่วงผมวัยรุ่น ผมรู้สึกว่ามันเริ่มดร็อปลงไป เริ่มซา ๆ ลงไปแล้ว ผมเลยมีความรู้สึกว่า ผมอยากจะเป็นคนที่ทำให้เทนนิสกลับมาบูมและยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
“การได้ไปแกรนด์แสลมเป็นความฝันของผมอยู่แล้ว ผมวางแผนไว้ว่าจะไปแกรนด์สแลมในปี 2026 แต่การได้ไปปีนี้มันเกิดความคาดหมายของผมมาก ๆ มันเหมือนความฝันที่เป็นจริง” บูม กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม นักหวดวัย 23 ปี ยอมรับว่า แม้จะทำความฝันเป็นจริงแต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะการได้ไปแกรนด์สแลมเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่เริ่มดีขึ้น ยังต้องมีอะไรที่ทำได้มากกว่านี้
ไม่เพียงแค่ความตั้งใจเท่านั้น แต่บูมยังมุ่งมุ่นและวางแผนอย่างจริงจังทั้งในและนอกสนาม เพื่อเป้าหมายแรกบนสังเวียนระดับโลก คือการคว้าชัยชนะในรอบแรกให้ได้ก่อน
“จากนี้ก็ต้องพยายามฝึกซ้อมให้หนักขึ้น เพราะมีหลายอย่างที่ต้องปรับ โดยเฉพาะการต้องเล่นแบบ 3 ใน 5 เซต ซึ่งผมไม่เคยเล่น เป็นเรื่องที่หนักมาก ต้องเตรียมร่างกายให้ดีขึ้น มีวินัยกับตัวเองมากขึ้นทั้งการซ้อม การกิน การนอน”
“ขั้นแรกก็จะปรับโปรแกรมซ้อม เพิ่มเวลาการซ้อมในคอร์ทให้ได้ 3 ชั่วโมงขึ้นไป พยายามยืนในคอร์ทให้นานมากขึ้น พร้อมเพิ่มฟิตเนสและวิ่งมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายยืนระยะได้”
“ส่วนสไตล์การเล่นของผมจะเป็น Aggressive base-liner ตีสโตรกจากท้ายคอร์ทแน่น ๆ หนัก ๆ แต่ก็พยายามปรับปรุงเรื่องขี้นหน้าเนตด้วย พยายามเข้าไปเล่นหน้าเนตเพื่อจบแต้มให้เร็วขึ้น” บูม เผย
นอกจากเรื่องการพัฒนาฟอร์มการเล่นที่ได้คุณพ่อวิทยา และโค้ชคู่ใจอย่าง “โค้ชเฟิร์น” วีรภัทร สิริจริยาพร คอยติวเข้มแล้ว บูมยังได้บุคคลสำคัญอย่าง “ดร.เบิ้ม” ธนากร ศรีชาพันธุ์ พี่ชายและอดีตโค้ชของ บอล-ภราดร มาเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาให้แก่เจ้าตัวด้วย
ธนากร ถือเป็นนักเทนนิสระดับตำนานของเมืองไทย ในฐานะอดีตมือ 1 ของไทย ดีกรี 6 เหรียญทองซีเกมส์ พร้อมผ่านประสบการณ์เอเชียนเกมส์มาแล้วถึง 4 สมัย ก่อนผันตัวเป็นโค้ชคอยดูแลทั้ง ภราดร ดนัย รวมไปถึงคู่แฝด สนฉัตร-สรรค์ชัย รติวัฒน์
แน่นอนว่าไม่เพียงแค่คำแนะนำเรื่องเทนนิสเท่านั้น สิ่งที่บูมได้รับยังเป็นประสบการณ์จริงในการรับมือกับความกดดันของตัวเองเมื่อต้องลงแข่งรายการระดับโลก
“หลัก ๆ เวลาเครียดผมจะโทรไปปรึกษาอาจารย์ว่าจะต้องจัดการกับความคิดลบ ๆ แย่ ๆ อย่างไร ช่วยทำให้ผมมีมายด์เซตที่ดีขึ้น ให้ผมอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปคิดถึงอดีตหรืออนาคต สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผมจัดการเรื่องความคิดได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยในเรื่องเทนนิสด้วย”
“นอกจากนี้ยังเล่าให้ฟังว่าพี่บอลเคยไปแข่งรายการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ต้องเจอผู้คนมากมาย เขาจัดการอารมรณ์อย่างไร เตรียมตัวก่อนลงอย่างไร ที่ผมจำได้ดีคือคำสอนที่ว่า ถึงว่าคนจะเยอะแค่ไหนหรือไม่มีคนเลยก็พยายามอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด คือในสนามมีแค่เราเท่านั้น” บูม กล่าว
แค่เพียงจุดเริ่มต้น
อย่างที่บูมกล่าวมา การได้ไปแกรนด์สแลมครั้งนี้ของเจ้าตัวยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเทนนิสอาชีพเท่านั้น
ปัจจุบัน หวดวัย 23 ปี รั้งมืออันดับ 1 ของไทยและมือ 414 ของโลก ซึ่งหลังจากนี้ถึงเวลาที่เจ้าตัวจะต้องเดินหน้าทำผลงานและเก็บคะแนนอย่างเต็มตัว เพื่อโอกาสในการได้ลงเล่นในที่สูงขึ้นอย่างต่อเเนื่อง
“ปีหน้าก็จะตระเวณแข่งขันต่อเนื่อง เพื่อเก็บคะแนนทำอันดับโลกให้สูงขึ้น ตอนนี้อยู่ในแรงค์ 400 ต้องะยายามเก็บรายการระดับชาร์เลนเจอร์ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้เข้าไปเล่นในเอทีพี ทัวร์ โดยเป้าหมายที่ตั้งไว้คือต้องติดท็อป 200 ให้ได้เป็นอย่างน้อย”
“ฝากทุกคนช่วยเชียร์ผมในแกรนด์สแลมครั้งแรกด้วยนะครับ ผมจะพยามยามทำเต็มที่ อยากที่จะชนะในรอบแรกให้ได้ ส่วนจะเจอกับใครนั้นไม่ได้คิดเลยเพราะทุกคนเก่งหมด แต่ถ้าเลือกได้อยากจะเจอ โนวัค โยโควิช เพราะอยากเล่นกับเขา เอาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าจะเป็นอย่างไร” บูม ทิ้งท้าย
สำหรับ ศึกเทนนิสแกรนด์สแลมแรกของปี รายการ "ออสเตรเลียน โอเพ่น 2025" ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จะแข่งขันระหว่างวันที่ 12-26 มกราคม 2025
ไม่ว่า "บูม" กษิดิศ สำเร็จ นักหวดชายไทยคนแรกในรอบ 13 ปีบนสังเวียนแกรนด์สแลม จะทำผลงานไปได้ไกลถึงขนาดไหน .. แต่ที่แน่ ๆ นี่คือแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะทำให้วงการเทนนิสไทยกลับมาคึกคึกอีกครั้งแน่นอน