Feature

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด : 14 ปี จากนับหนึ่งสู่ทีมระดับเอเชีย | Main Stand

“เรื่องราวทุกอย่างจะได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว ขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ร่วมมือพัฒนา บุรีรัมย์ พีอีเอ จนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ และให้ความไว้วางใจมอบสิทธิ์การพัฒนาทีมให้แก่บุรีรัมย์ต่อไป”

 


เนวิน ชิดชอบ กล่าวเอาไว้เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2555 หลังจากซื้อสิทธิ์ขาดจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาเป็นของ บุรีรัมย์ พีอีเอ แบบเต็มตัวและเป็นแบบขายขาดตลอดไป พร้อมยืนยันเปลี่ยนชื่อเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

แต่หากนับนิ้วกันจริงๆ เนวิน นำพา การไฟฟ้าฯ ไปเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ และย้ายถิ่นฐานจาก จ.อยุธยา ไปอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ปลายปี 2552 

ฉะนั้นเท่ากับว่าเป็นเวลา 14 ปี ในการเดินทางของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่เป็นเบอร์ 1 ของไทย และสถาปนาตัวเองเป็นทีมระดับเอเชีย

 

การไฟฟ้าฯ สู่ บุรีรัมย์ พีอีเอ

ชื่อของ “สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์” กับวงการฟุตบอลไทย แทบไม่เคยถูกพูดถึง แม้แต่ฟุตบอลโปรวิเชียรลีกก็เน้นเข้าร่วมมากกว่าเข้ารอบ หากเทียบกับเพื่อนบ้านอย่าง ศรีสะเกษ ก็แทบไม่เห็นฝุ่น

แต่วันนึงชายที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบ ตัดสินใจวางมือจากถนน “การเมือง” มุ่งเข้าสู่วงการฟุตบอล ทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป

เนวิน มีความคิดที่จะพัฒนา จ.บุรีรัมย์ โดยให้ “ฟุตบอล” นำพา ซึ่งเขาพยายามอย่างหนักในการเดินทางลัดด้วยการเทคโอเวอร์สโมสรใน ไทยลีก เพื่อให้ จ.บุรีรัมย์ มีทีมฟุตบอลที่ได้เล่นอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศ

ในช่วงนั้น เนวิน มีการเจรจาพูดคุยกับหลายสโมสร อาทิ ทีโอที หรือ ทหารบก แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

เนวิน ไม่ลดละความพยายามง่ายๆ เดินหน้าเจรจากับทีมอื่นต่อไป กระทั่งได้มีโอกาสเปิดโต๊ะคุยกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อดีตแชมป์ไทยลีก เมื่อปี 2551 ที่ ณ ตอนนั้นไปจับมืออยู่กับ จ.อยุธยา 

การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะมีเสียงจากแฟนบอลชาว จ.อยุธยา และ การไฟฟ้าฯ ที่คัดค้าน แต่ไม่ได้มีผลอะไรกับการเจรจาแม้แต่น้อย เพราะท้ายที่สุด การไฟฟ้าฯ ก็ได้ลาจาก จ.อยุธยา และแปลงร่างเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ เมื่อ ไทยลีก จบฤดูกาล 2552 พร้อมฉายา “ปราสาทสายฟ้า"

 

“ช้าง” เติมเต็มคำว่า บุรีรัมย์ พีอีเอ

วันแรกที่ เนวิน นำพา “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ พีอีเอ เข้าสู่วงการฟุตบอลไทยลีก กระแสคึวามนิยมของแฟนบอลไทยก็เริ่มทวีคูณมากขึ้น ว่ากันว่าช่วงนั้นฟุตบอลไทยกำลังเข้าสู่คงามเป็นมืออาชีพอย่างเต็มตัว มีการจัดตั้ง บ.ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด และทึกสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามที่ เอเอฟซี กำหนด

หลายสโมสรมีแฟนบอลเป็นของตัวเอง มีการผลิตของที่ระลึกวางจำหน่าย (เมื่อก่อนมีแค่เสื้อ) มีการทำเว็บไซต์ของสโมสร และมีเพลงเชียร์เป็นของตัวเอง

นั่นเลยทำให้ผู้สนับสนุนหลายรายต่างมุ่งหน้าเข้าสู่สโมสรเพื่อเป็นสปอนเซอร์ อยู่ที่ว่าทีมใดมีกระแสหรือความนิยม และทีมใดมี “คอนเนคชัน” มากกว่ากัน

บุรีรัมย์ พีอีเอ อาจเป็นสโมสรใหม่ แต่เมื่อดูจากรายชื่อที่มี เนวิน ชิดชอบ นำทีม และผู้เล่นอย่าง รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค, ธีราทร บุญมาทัน, กีรติ เขียวสมบัติ, อภิเชษฐ์ พุฒตาล และนักเตะใหม่อย่าง สุเชาว์ นุชนุ่ม ประกอบกับความสนใจของคน จ.บุรีรัมย์ ที่มีต่อ บุรีรัมย์ พีอีเอ ทำให้สปอนเซอร์ไม่ลังเลที่จะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุน

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คือเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่เอาแบรนด์ Chang ไปติดอยู่หน้าอกเสื้อของ บุรีรัมย์ พีอีเอ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นมูลค้าที่สูงที่สุด เป็นการประกาศให้รู้ว่าจะเดินทางร่วมกับ บุรีรัมย์ พีอีเอ ในวันที่ยังไม่รู้ว่าสโมสรแห่งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน

“ช้าง” สนับสนุนหลายสโมสรและมักอยู่ยงคงกระพัน เช่นเดียวกับ บุรีรัมย์ พีอีเอ ที่แม้จะเปลี่ยนชื่อไปเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จนถึงปัจจุบัน ก็ยังคงมีโลโก้ “ช้าง” อยู่ที่หน้าอกเหมือนเดิม สวนทางกับรายอื่นๆ ที่มาแล้วก็ไป

“กว่า 20 ปีที่เราให้การสนับสนุนวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่เยาวชน ลีกอาชีพ ทีมชาติ รวมถึงทีมสโมสร ซึ่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือสโมสรชั้นนำของเมืองไทย” สุรพล อุทินทุ กรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผย

 

แชมป์แรกที่ไม่ต้องรอนาน

ฤดูกาลแรกของ บุรีรัมย์ พีอีเอ (2553) ไร้ซึ่งถ้วยแชมป์ประดับสโมสร โดย ไทยลีก ตกเป็นของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่มีนักเตะระดับทีมชาติล้นทีม

แต่ บุรีรัมย์ พีอีเอ ก็มีผลงานที่เหลือเชื่อหากเทียบกับการเล่นลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก เพราะจบฤดูกาลด้วยการเป็น “รองแชมป์” ตามหลัง เมืองทอง ยูไนเต็ด แค่ 4 คะแนน ส่วนฟุตบอลถ้วยตกรอบทุกรายการ

แม้จะไร้มงกุฎใดๆ แต่ เนวิน ชิดชอบ กล้าประกาศว่าฤดูกาลหน้า (2554) บุรีรัมย์ พีอีเอ จะคว้าแชมป์ ไทยลีก มาครองให้ได้

“ผมจะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้าเพื่อแฟนบอลชาวบุรีรัมย์ และจะพา บุรีรัมย์ พีอีเอ สโมสรของคนไทยก้าวไปสู่การเป็นทีมระดับท็อปเท็นของเอเชีย ภายใน 5 ปี”

นี่เป็นการประกาศกร้าวต่อหน้าผู้สนับสนุนนับ 10 รายที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ เนวิน พูดจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่พออนุมานได้ว่า “มีโอกาส” ไม่มากก็น้อย เพราะ เนวิน พร้อมทุ่มเงินเสริมทัพตัวผู้เล่นต่างชาติฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม

ฤดูกาล 2554 ไทยลีก เพิ่มจำนวนทีมจาก 16 เป็น 18 ทีม นั่นหมายความว่า บุรีรัมย์ พีอีเอ เจอความยากลำบากเข้าไปอีก

แต่ที่ไหนได้! บุรีรัมย์ พีอีเอ เดินหน้าไล่ตบคู่แข่งทุกสัปดาห์ ทีมแล้วทีมเล่าจนเข้าสู่นัดที่ 34 หรือนัดสุดท้ายของฤดูกาล ตารางคะแนนได้ปรากฎเอาไว้ว่า “ปราสาทสายฟ้า” คือทีมชนะเลิศ ด้วยการชนะ 26 นัด, เสมอ 7 นัด และแพ้แค่ 1 นัด มี 85 คะแนน คว้าแชมป์ ไทยลีก 2554 ไปครอง โดยทิ้งอันดับ 2 ชลบุรี ชนิดไม่เห็นฝุ่นถึง 16 คะแนน

บุรีรัมย์ พีอีเอ เป็นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองไทยสมัยที่ 2 เมื่อนับรวมกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่เคยทำได้เมื่อปี 2551 ก่อนโดนเทคโอเวอร์ แต่ถือเป็นแชมป์สมัยแรกในชื่อของ บุรีรัมย์ พีอีเอ และเป็นถ้วยแชมป์ใบแรกที่ได้ประดับตู้โชว์ของสโมสร

ไม่เพียงเท่านั้น บุรีรัมย์ พีอีเอ ยังไปเอาแชมป์ เอฟเอ คัพ กับ ลีกคัพ มาครองได้อีกในปีนั้น เท่ากับว่าปี 2554 “ปราสาทสายฟ้า” กวาดทั้งหมด 3 ถ้วย คว้า “ทริปเปิลแชมป์” ไปครองอย่างยิ่งใหญ่เสมือน “ช้าง” ที่ปรากฎอยู่บนหน้าอกเสื้อของพวกเขา

 

ก้าวแรกสู่ฟุตบอลเอเชีย

พ.ศ.2555 หรือ ค.ศ.2012 คือปีแรกที่ บุรีรัมย์ พีอีเอ ได้เข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ของเอเชีย หรือ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก (ACL)

อย่างไรก็ตาม บุรีรัมย์ พีอีเอ กลับต้องเจอปัญหาที่สร้างขึ้นเอง เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน บุรีรัมย์ เอฟซี หรือทีมน้อง ได้เลื่อนชึ้นสู่ ไทยลีก พอดี ทำให้ เนวิน มีความคิดรวบทั้ง 2 ทีมเป็นทีมเดียวกัน และเปลี่ยนชื่อเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมเข้าร่วมการแข่งขัน ACL

ทว่า สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ AFC ได้ทักท้วงกลับมาว่าการวบทีมกันของ บุรีรัมย์ พีอีเอ กับ บุรีรัมย์ เอฟซี = บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขัน ACL ได้ เพราะสิทธิ์เป็นของ การไฟฟ้าฯ ที่แปลงสภาพเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ ดังนั้นไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้

ณ ตอนนั้น เนวิน ครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาทางออก เพราะ บุรีรัมย์ พีอีเอ ก็ไม่ใช่ของตัวเองร้อยเปอร์เซนต์ ส่วน บุรีรัมย์ เอฟซี ก็อุตส่าห์ปลุกปั้นมากับมือจนเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด แต่จะบริหาร 2 ทีมในขณะที่อยู่ลีกเดียวกันก็เป็นเรื่องไม่เหมาะสม

สุดท้ายทางออกของเรื่องนี้คือการที่ เนวิน ยอมยกสิทธิ์การทำทีม บุรีรัมย์ เอฟซี ให้กับ สงขลา เอฟซี เล่นไทยลีกแทน ส่วน บุรีรัมย์ พีอีเอ ตัดสินใจบริจาคเงิน 23,000,000 บาท (ยี่สิบสามล้านบาทถ้วน) ให้การ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อซื้อสิทธิ์ในการบริหารทีมแบบเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ทำให้ได้ไปเล่น ACL สมใจ

“เรื่องราวทุกอย่างจะได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว ขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ร่วมมือพัฒนา บุรีรัมย์ พีอีเอ จนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ และให้ความไว้วางใจมอบสิทธิ์การพัฒนาทีมให้แก่บุรีรัมย์ต่อไป” เนวิน กล่าวเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2555

“ขอให้ทุกๆ คนคลายกังวลได้ว่า บุรีรัมย์ จะได้ไปแข่งขัน เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก อย่างแน่นอน ขอให้ชาวไทยทุกๆ คนร่วมใจกันเชียร์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในการสู้ศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ให้ประสบความสำเร็จด้วย ซึ่งหลังจากนี้ไปจะจัดการเรื่องเปลี่ยนชื่อต่างๆ ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เราก็จะเปลี่ยนทะเบียนใหม่ในสมาคมฟุตบอล ให้มาใช้ชื่อบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่างสมบูรณ์”

 

เกรียงไกรถ้วย ACL สู่ระดับท็อปทวีป

"ผมให้สัญญาว่าภายใน 3 ปี เราจะเห็นนักเตะไทยได้ไปค้าแข้งในลีกชั้นนำอย่าง เจลีก และเคลีก ขณะที่ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็จะก้าวขึ้นมาเป็นทีมอันดับ 1 ใน 10 ของทวีปเอเชียให้ได้ และเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาวงการลูกหนังของเมืองไทย” เนวิน กล่าวในงานเปิดตัวสโมสรเพื่อสู้ศึกฤดูกาล 2555

การเข้ามาเล่นฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ของเอเชียในระยะเวลาแค่ 2 ปี นับตั้งแต่เทคโอเวอร์มาจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ถือเป็นเรื่องใหม่เอี่ยมอ่องของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ต้องเข้าไปเจอพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด จากทั่วเอเชีย 

ทำให้ปีแรก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตกรอบแบ่งกลุ่มด้วยทีมอันดับสุดท้าย แต่มี 6 คะแนนจากการชนะ 2 นัด เหนือ คาชิวะ เรย์โซล 3-2 กับกวางโจว เอเวอร์แกรนด์ 2-1

การตกรอบแรกไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะใครก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ เนวิน และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็เข้าใจดี แต่เป้าหมายของพวกเขาคือการก้าวไปเป็นทอปเท็นของเอเชีย ดังนั้นทุกอย่างต้องใช้เวลา

ฤดูกาลต่อมา 2556 (ค.ศ.2013) บุรีรัมย์ ได้เล่น ACL อีกครั้งในฐานะแชมป์ เอฟเอ คัพ โดยรอบเพลย์ออฟชนะจุดโทษ บริสเบน รอว์ จากออสเตรเลีย 3-0 (เสมอเวลาปกติ 0-0)

ACL 2013 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อยู่ร่วมสายกับ เอฟซี โซล (เกาหลีใต้), เจียงซู เซียนตี (จีน) และเวลกัลตะ เซนได (ญี่ปุ่น) ซึ่งหนักพอตัว

แต่พลพรรค “ปราสาทสายฟ้า” กลับสร้างประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรด้วยการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่มด้วยการมี 7 คะแนน

รอบ 16 ทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องเจอกับ บุนยอดกอร์ ทีมดังจากอุซเบกิสถาน ใครเห็นก็ว่า “ไม่รอด” แต่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ทั้ง 2 เกม โดยชนะ 2-1 และเสมอ 0-0 สกอร์รวมชนะ 2-1 ตีตั๋วเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย

แม้สุดท้าย บุรีรัมย์ ต้องจอดป้ายที่รอบ 8 ทีม เพราะแพ้ เอสเตกัล จากอิหร่าน รวม 2 นัด 1-3 แต่ประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทยได้จารึกชื่อของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

กลับมาอีกครั้งเพื่อทวงความยิ่งใหญ่

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้ามาเล่น ACL รวม 5 ฤดูกาลติดต่อกัน จนกลายเป็นขาประจำของทัวร์นาเมนท์ ซึ่งแน่นอนว่าการเข้ารอบ 8 ทีม ถือเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรจากเมืองไทยที่มาได้ไกลถึงควอเตอร์ไฟนอล นั่นหมายความว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สถาปนาตัวเองเป็นทีมระดับเอเชีย

พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในบรรดาสโมสรจากต่างประเทศและพาตัวเองขึ้นมาเป็นท็อป 20 ของเอเชีย แม้ยังไม่ถึงท็อป 10 ตามที่ เนวิน เคยประกาศไว้ แต่ในระยะเวลาเพียงแค่ 14 ปี อย่างน้อยๆ ปัจจุบันพวกเขาก็เป็นเบอร์ 1 ของเมืองไทย, เบอร์ 1 อาเซียน และอันดับ 14 ของเอเชีย จากการจัดอันดับของ footballdatabase เมื่อวันที่ 13 ส.ค.66

ฤดูกาล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลับมาเล่น ACL รอบแบ่งกลุ่ม อีกครั้งในรอบ 4 ปี โดยในครั้งนี้ บุรีรัมย์ จะอยู่กลุ่มเดียวกับ เวนท์ฟอเรต โคฟุ (ญี่ปุ่น), เมลเบิร์น ซิตี้ (ออสเตรเลีย) และเจ้อเจียง (จีน)

ความยากก็คือ บุรีรัมย์ จำเป็นต้องเป็นเเชมป์กลุ่มสถานเดียว หรืออย่างน้อยที่สุด ก็จำเป็นต้องเป็นรองแชมป์กลุ่มและเก็บแต้มมากที่สุด เพื่อเป็นรองแชมป์ที่ผลงานดีที่สุด 3 ทีมจาก 5 กลุ่มต่อไป

 ซึ่ง เนวิน ชิดชอบ หมายมั่นปั้นมือพาทีมสร้างชื่อในเวทีเอเชียอีกครั้ง แล้วเรามารอดูกันว่าพวกเขาจะสร้างชื่อในถ้วย ACL ได้อีกครั้งหรือไม่…

 

แหล่งอ้างอิง

https://footballdatabase.com/ranking/asia/1
https://www.thairath.co.th/content/244663
https://koratdaily.com/blog.php?id=210
https://www.thairath.co.th/content/229143
https://mgronline.com/daily/detail/9520000151472

Author

ชมณัฐ รัตตะสุข

Chommanat

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น