Feature

เกิดมาคู่ BGPU : ถอดรหัส ชาตรี ฉิมทะเล ตำนาน One Club Men ของลูกหนังไทย | Ball Thai Stand

วงการฟุตบอลล้วนมีนักเตะที่เลือกเล่นให้สโมสรเดียวตั้งแต่เริ่มต้นค้าแข้งจนถึงแขวนสตั๊ด หรือที่เรียกว่า One Club Men ไม่ว่าจะเป็น เปาโล มัลดินี อดีตกองหลังทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน, ฟรานเชสโก ต็อตติ แห่ง โรมา, ไรอัน กิ๊กส์ แกรี เนวิลล์ และ พอล สโคลส์ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

 

แต่ในฟุตบอลไทยมีเพียง ชาตรี ฉิมทะเล ดาวเตะ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คนเดียวเท่านั้น ที่สามารถใช้คำว่า One Club Men ได้เต็มปาก

นี่คือนักเตะที่เล่นให้กับสโมสรเดียวตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งจนถึงวันประกาศแขวนสตั๊ด 

ในยุคที่ฟุตบอลไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทำไม ชาตรี ถึงยืนหยัดสร้างตำนานเป็นนักเตะ One Club Men ได้ ไปติดตามกับ BallThaiStand 

 

ชีวิตหนุ่มต่างจังหวัด สู่ตำนาน บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 


ชาตรี ฉิมทะเล เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา ออกเดินทางมาคัดตัวเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหา​วิทยาลัย​การกีฬา​แห่งชาติ​ วิทยาเขต​กรุงเทพ​ ซึ่งตั้งอยู่ จ. ปทุมธานี 

แม้จะเล่นได้ทุกตำแหน่ง แต่ ชาตรี มองว่าตำแหน่งกองหน้าที่เขาถนัดมีคนสมัครเยอะ และสุ่มเสี่ยงที่จะคัดตัวไม่ติด จึงตัดสินใจเลือกเล่นกองหลัง สุดท้ายก็มีชื่อติดเข้ามาศึกษาต่อตามจุดหมายที่ปักหมุดไว้ได้
ในระหว่างเรียนเขากับเพื่อนมักจะเดินสายเล่นฟุตบอลเป็นประจำ เรียกว่าลมหายใจเข้าออกมีแต่กลิ่นอายลูกหนังเท่านั้น

เมื่อจบการศึกษาเขาได้รับการชักชวนจาก อาจารย์ ไนยะ บุญประสิทธิ์ ซึ่งเป็นครูลูกหนังสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทาบทามให้มาคัดตัวเข้าทีมสมาคมกีฬาบางกอกกล๊าส ที่คุมทีมอยู่ เพื่อร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ง 

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เมื่อกองหน้าของทีมเจ็บ และเพื่อนต่างโหวตให้เขามาเล่นเป็นหัวหอกแทน เมื่อโอกาสทองมาถึงเขาไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ พร้อมยิงประตู มีส่วนพาทีมเลื่อนชั้นไปเล่นในระดับ ถ้วย ค และ ถ้วย ข ในเวลาต่อมา

ในปี 2009 ชีวิตของ ชาตรี ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อกลุ่ม บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (ตอนนั้นยังไม่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์) เข้าเทคโอเวอร์สโมสรธนาคารกรุงไทย พร้อมเปลี่ยนมาเป็น “บางกอกกล๊าส” ลงทำศึกลูกหนังไทยลีก ในปีดังกล่าว นั่นคือจุดเริ่มต้นบนเส้นทางลูกหนังอาชีพอย่างจริงจัง 

ตลอด 13 ฤดูกาล ชาตรี ลงสนามให้พลพรรค “กระต่ายแก้ว” ไปทั้งหมดกว่า 200 นัด ยิงไป 100 ประตู ด้วยสไตล์การทำประตูที่มักมาจากลูกโหม่ง ทำให้เขาได้ฉายา “เจ้าเวหา” พร้อมสถาปนาตัวเองเป็นสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพ 1 สมัย และแชมป์ไทยลีก 1 และไทยลีก 2 อย่างละ 1 สมัย ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2022/23 ด้วยวัย 39 ปี

ชาตรี เปิดเผยว่า “ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้เล่นไทยลีก ยิ่งเป็นตำนานของทีมยิ่งไม่เคยคิด”​

“ตอน บางกอกกล๊าส เข้ามาเทคโอเวอร์จาก ธนาคารกรุงไทย ผมกับเพื่อนอีก 4-5 ได้โอกาสขึ้นไปซ้อมกับทีม ตอนนั้นมีนักเตะดังๆ เยอะ เราก็หวั่นรู้สึกต่ำต้อย”

“แต่รุ่นพี่ในทีมทั้ง พี่บอย ศุภชัย คมศิลป์ น้าอ่ำ อำนาจ แก้วเขียว ให้การต้อนรับดี เลยปรับตัวง่ายสุดท้ายก็เล่นแบบไม่กดดัน” 

นอกจากนี้ ชาตรี ยังเคยก้าวไปติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ในยุคของ วินฟรีด เชเฟอร์ และ สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ คุมทีมอีกด้วย

 

เก่ง ดัง แต่ไม่เคยขอขึ้นเงินเดือน

แน่นอนว่าการก้าวไปถึงการติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ย่อมทำให้ชื่อของ ชาตรี กลายเป็นที่รู้จักของแฟนบอลมากขึ้น เมื่อมีดีกรีนักเตะหลายคนมักจะทำตัวโดดเด่น ขอขึ้นเงินเดือนให้สูงขึ้นให้สมกับที่มีธงไตรรงค์ติดอยู่หน้าอกข้างซ้าย 

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ ชาตรี ทำ เพราะเขายังคงทำตัวเหมือนเดิม เป็นนักเตะที่เงียบขรึม อยู่ในมุมเล็กๆ ของตัวเอง พร้อมครอบครัวอันอบอุ่นที่คอยอยู่เคียงข้างทุกจังหวะชีวิตไม่ว่าอยู่ในช่วงตกต่ำหรือบินขึ้นสูง 

เขาไม่ทำตัวหรูหรา หรือใช้ของแบรนด์เนมสร้างบารมีให้กับตัวเอง 
เงินทุกบาทเขามอบให้ภรรยาคู่ชีวิตเก็บ เพื่อใช้ในวันที่หันหลังให้ฟุตบอล พร้อมเป็นทุนการศึกษาให้กับบรรดาลูกๆ ของเขา และแบ่งไปให้ครอบครัวที่ จ.นครราชสีมา 

“ผมไม่เคยขอเพิ่มเงินเดือนเลยเขาให้เท่าไหร่ผมก็พอใจ” ชาตรี เผย

“ส่วนหนึ่งเพราะ คุณปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรดูแลเราดีมาก เราพอใจในสิ่งที่ได้รับ ผมคิดว่ามันเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตของผมแล้ว”

 

เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์​

นับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ชื่อ บางกอกกล๊าส มาจนถึง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด สถาบันลูกหนังแห่งนี้ไม่เคยขาดกองหน้าฝีเท้าพระกาฬ 

ไม่ว่าจะเป็น นันทวัฒน์ แทนโสภา, ศรายุทธ ชัยคำดี, ฮิโรโนริ ซารุตะ, อาจายี เบงกา หรือ ธีรเทพ วิโนทัย แต่ ชาตรี ยังคงมีบทบาทสำคัญในแนวรุกของทีมเสมอ ไม่ว่าจะในฐานะตัวจริงและตัวสำรอง 

เมื่อายุเยอะขึ้นเขาค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทจากกองหน้า ถอยไปเยือนเป็นกองหลัง ในช่วงที่ปราการเหล็กตัวหลักของทีมบาดเจ็บ เขาสามารถทดแทนการขาดหายไปของเพื่อนร่วมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม 

ชาตรี เผยว่า “เรามีหน้าที่ทำอะไรในสนาม ก็ทำไปแค่นั้น ตามที่โค้ชได้มอบหมาย ผมก็เล่นตามแท็คติกที่เขาวางไว้ ก็แค่นั้น”

“ผมเป็นคนที่ไม่ดื่ม ไม่เที่ยว เล่นฟุตบอลอย่างเดียว ดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ว่าใครจะย้ายมาผมไม่เคยบ่น ผมแค่ซ้อมตามที่โค้ชบอก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ” 

 

ทำไมการเป็นนักเตะแบบOne Club Men  จึงเกิดขึ้นยากในปัจจุบัน

นักเตะประเภท One Club Men ค่อยๆ หายไปแล้วในโลกฟุตบอลที่กลายเป็นธุรกิจเต็มตัว ขนาดนักเตะระดับโลกอย่าง อันเดรียส อิเนียสตา หรือ ชาบี เอร์นานเดซ ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ บาร์เซโลนา หลายคนเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันย้ายทีม พร้อมกับถูกคาดหมายว่าจะแขวนสตั๊ดกับเจ้าบุญทุ่มแห่ง ลา ลีกา สเปน สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกถูกปล่อยตัวออกจากทีมและไปแขวนสตั๊ดกับทีมอื่น

ส่วนฟุตบอลไทยการเป็นนักเตะ One Club Men ถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมากๆ เพราะการเซ็นสัญญากับนักเตะในปัจจุบันส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเซ็นระยะยาว นักเตะบางรายเซ็นสัญญาแบบปีต่อปีด้วยซ้ำ 

รวมถึงสถานะการเงินของฟุตบอลลีกบ้านเราที่ไม่ดี หากมีข้อเสนอมูลค่าสูงก็ยากที่จะรั้งนักเตะคนนั้นไว้กับทีม เหมือนในรายของ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ อดีตกองกลางลูกหม้อของ ชลบุรี ที่ต่อสัญญาระยะยาวกับทีม สุดท้ายก็ย้ายไปร่วมทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 

ในรายของ ชาตรี ต้องยอมรับว่าเขาโชคดีที่ได้อยู่ในสโมสรที่เพรียบพร้อม โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รักษามาตรฐานให้สูงอยู่เสมอ เฝ้ารอโอกาสอย่างอดทน สมกับความเป็นนักฟุตบอลอาชีพ สุดท้ายเขาก็ค้าแข้งกับสโมสรจนกลายเป็นตำนานลูกหนังไทยไปเรียบร้อย

ส่วนอนาคต ชาตรี ฉิมทะเล จะอยู่เส้นทางลูกหนังในบทบาทไหนต้องติดตามกันต่อไป

 

อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=02uXZQOkoys&t=1077s

 

Author

ศุภฤกษ์ สีทองเขียว

หนุ่มแดนหมอแคน ผู้คลั่งไคล้ในฟุตบอล