ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาชีพที่ทำให้ได้ขยับชนชั้นทางสังคมและได้รับเงินจำนวนมหาศาล รวมไปถึงมีงานและอาชีพ นั่นคือการประกอบอาชีพ "นักฟุตบอล" อย่างไม่ต้องสงสัย
กระนั้นรายได้ที่ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมความไม่มั่นคงที่ใหญ่ยิ่ง เพราะอาชีพนี้ถือได้ว่ามีอายุสั้นแทบจะที่สุดในบรรดาอาชีพที่มีอยู่บนโลก นับตั้งแต่ช่วงพ้นเยาวชนจนถึงวัยแขวนสตั๊ด บางครั้งอาจมีเวลาไม่ถึง 10 ปีเสียด้วยซ้ำในการกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าหากเป็นบรรดาพ่อค้าแข้งที่มีชื่อเสียงย่อมถือว่าไม่ตกอับ เพราะสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นนักวิจารณ์ นักข่าว นักบริหาร รวมถึงการเป็นโค้ช แต่ผู้คนที่ไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์แล้วต้องจบชีวิตการค้าแข้งลงซึ่งมีจำนวนมากกว่าเป็นกอง กลับเลือนหายไปจากสารบบฟุตบอลตามกาลเวลา โดยที่ไม่รู้สารทุกข์สุขดิบหรือเป็นตายร้ายดีเลยด้วยซ้ำ
หนึ่งในนั้นคือ เรนาโต ชิเวลลี (Renato Civelli) อดีตกองหลังสายแทงก์ประจำ ลีก เอิง ชาวอาร์เจนตินา ที่ทั้งชีวิตการค้าแข้งได้รับการจดจำเพียงประปราย หากแต่เขาค้นพบความสุขใหม่ภายหลังแขวนสตั๊ดจากการทำร้านเบเกอรี่แฟรนไชส์ในบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
ร่วมติดตามชีวิตที่ติดหวานแทนที่การติดกีฬาไปพร้อมกับ Main Stand
กองหลังสายดุดัน
เรนาโต ชิเวลลี เกิดที่อำเภอเปฆัวโฆ (Pehuajó) จังหวัดบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ห่างจากบัวโนสไอเรส เมืองหลวงประมาณ 370 กิโลเมตร ขับรถประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นเหมือนนักเตะแดนละตินทั่ว ๆ ไปที่ลืมตาดูโลกขึ้นมาก็ได้รับการซึมซับบรรยากาศในการติดหนึบกับกีฬาฟุตบอลไปโดยปริยาย
โดยเขาและ ลูเซียโน น้องชายที่เด็กกว่าเขา 3 ปี วิ่งไล่ควบลูกหนังกลม ๆ มีรูให้สูบลมมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย แน่นอนว่าพวกเขาเติบโตมาแบบอด ๆ อยาก ๆ เช่นเดียวกับสตอรี่ของนักฟุตบอลทั่ว ๆ ไปที่ต้องปากกัดตีนถีบเร่หาสโมสรเพื่อคัดตัวเข้าอคาเดมีฟุตบอล เขาเดินทางไกลหลายกิโลเมตรเพื่อฝึกซ้อมเพื่อเข้ามาค้าแข้งยังเมืองหลวง เรียกได้ว่าเป็น "ความธรรมดาชาชิน" ของคนที่เสพเรื่องทางฟุตบอลมาทั้งก็ชีวิตย่อมได้
บานฟิลด์ (Club Atlético Banfield) สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมรา ดิวิชิออง อาร์เจนตินา คือที่ที่เห็นความสามารถของเขาและน้องชาย แต่แน่นอนว่าเขาโดดเด่นในระดับหนึ่งในการลงสนามเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เพราะมีรูปร่างที่สูงใหญ่กว่า 193 เซนติเมตร ทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งและเข้าปะทะดุดันอย่างมาก
กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับดาวดังแบบรุ่นพี่ของเขาอย่าง ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ที่ในภายหลังเป็นตำนานของ อินเตอร์ มิลาน หรือแม้กระทั่ง เมาโร คาโมราเนซี ปีกขวาดีกรีแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 กับทีมชาติอิตาลี
อย่างไรก็ตาม ในปี 2003 เขาได้รับการผลักดันให้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ โดยในช่วงแรกยังคงนั่งอยู่ข้างสนาม หากแต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งฤดูกาลเขาก็เติบโตเต็มที่ พร้อมลงรับใช้พลพรรค "นักเจาะ" ในแดนหลังให้อุ่นใจ
แม้ผลงานของทีมจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ โบคา จูเนียร์ส, ริเวอร์เพลต, ราซิ่ง, อินดิเพนเดนเต, ซาน โรเลนโซ หรือ เบเลซ ซาร์สฟิลด์ แต่ผลงานส่วนบุคคลของชิเวลลีกลับไปสะดุดตาแมวมองของ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ยอดทีมแห่งลีกเอิง ฝรั่งเศส เข้าอย่างจัง
3 ปีคือรายละเอียดของสัญญาที่ตัวแทนจาก "โอแอ็ม" มอบให้ เพื่อกระชากตัวกองหลังพลังหนุ่มจากปริมณฑลบัวโนสไอเรสเข้าสู่ทีม แน่นอนว่าสำหรับนักเตะอย่างเขา นี่ถือว่าเป็นความโชคดียิ่งกว่าการถูกหวยรางวัลที่ 1 เสียอีก เขาจึงไม่รีรอที่จะจรดปากกาเซ็นสัญญาทันที พร้อม ๆ กับที่ได้รับข่าวดีว่า ลูเซียโน น้องชายสุดที่รักก็ได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในตำแหน่งตัวรุกริมเส้น
แต่ใช่ว่านักเตะที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลจะเป็นเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ฉีกซอง เทน้ำร้อน ก็สามารถรับประทานได้เลย ยิ่งไม่ได้ข้ามทวีปมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ ยิ่งแล้วใหญ่ ชิเวลลีเป็นหนึ่งในนั้นที่ประสบปัญหาอย่างหนัก
ในที่สุดเขาก็ต้องกลับอาร์เจนตินาไปซบอก จิมนาเซีย (Club de Gimnasia y Esgrima La Plata) เพื่อเรียกความมั่นใจ และการอยู่กับพลพรรค "หมาป่าที่ราบลุ่ม" นี้เอง ทำให้เขาได้ลงสนามสม่ำเสมอและพร้อมกลับไปยังมาร์กเซย์ในที่สุด
คำกล่าวที่ว่า "ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร" เห็นทีว่าจะไม่เกิดขึ้นกับชิเวลลี จนแล้วจนรอดโค้ชมาร์กเซย์ไม่ว่ากี่คนต่อกี่คนก็ยังคงหมางเมินเขาในท้ายที่สุด เขาจึงยกธงขาวกลับมาเลียแผลใจที่ ซาน ลอเรนโซ (San Lorenzo de Almagro) สวนทางกับน้องชายที่กำลังมีอนาคตสดใส (ณ ตอนนั้น) กับ อิปสวิช ทาวน์ ที่ลีกแชมเปี้ยนชิพ ประเทศอังกฤษ
คำกล่าวของนักกอล์ฟอาวุโสท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "หากไปไม่ถึงดวงจันทร์ ก็จะอยู่ท่ามกลางดวงดาว" กรณีของชิเวลลีก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งเคยลอยเท้งเต้งอยู่กับหมู่ดาว อย่างไรประเดี๋ยวก็มีคนมาควานหาเจอจนได้ ซึ่ง นีซ (OGC Nice) ที่ขณะนั้นเป็นทีมระดับหนีตกชั้นของลีกเอิง ได้เข้ามาเสนอสัญญาให้แก่เขา และแน่นอนว่าประตูในการกลับสู่ดวงดาวก็มาถึง ใครหน้าไหนก็ย่อมอดใจที่จะจรดปากกาไม่ได้เป็นแน่
ใครเลยจะรู้ว่า การร่วมงานกับพลพรรค "อินทรีแดง-ดำ" จะเป็นการอยู่ยาว ๆ ครั้งสุดท้ายในอาชีพค้าแข้งของเขา
พระบิดาแห่งการมูฟ (ไม่มีออน)
เมื่อเก็บข้าวของย้ายเข้ามายังดินแดนชายทะเลตากอากาศเมดิเตอร์เรเนียน เขากลับยืนระยะและปักหลักเป็นปราการหลังที่แข็งแกร่ง ดุดัน ถึงลูกถึงคน และสร้างสภาวะผู้นำขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากจะสกัดกั้นการทำประตูจากแนวรุกคู่ต่อสู้ วันไหนเทพเจ้าจุติในร่างก็มักเติมขึ้นไปทำประตูได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะหากวันใดโคจรมาพบกับ มาร์กเซย์ คู่ปรับร่วมแดนใต้ของฝรั่งเศส เขาจะฟอร์มดีเป็นพิเศษ ไม่แน่ใจว่าเคียดแค้นเป็นทุนหรือได้บัฟพิเศษในฐานะ "กฎการเล่นกับทีมเก่า" ก็เป็นได้ สังเกตได้จากการปลุกใจลูกทีมของเขาเมื่อปี 2013 ที่ว่า
"สุดสัปดาห์นี้เราต้องปะทะกับเขา (มาร์กเซย์) โคตรสำคัญสำหรับพวกเรา (และเขา) เลยนะเว้ยเฮ้ย! เราจะขยี้เขาให้แหลกในบ้านของเรา และโชว์ให้เขากลัวขี้หดตดหายไปเลยพวก"
และนอกจากความทุ่มเทใจเกินร้อยแล้ว เขายังถือได้ว่าจงรักภักดีกับพลพรรค "เดอะ ยิม" อย่างมาก ชนิดที่ว่า "ไล่ก็ไม่ไป" เห็นได้จากครั้งหนึ่งนีซพยายามที่จะสร้างสนาม สตาด เดอ นีซ (Stade de Nice) หรือ อัลลิอานซ์ ริเวรา (Allianz Riviera) ในปัจจุบันให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย โดยทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไปกับสนามเสียหมด รวมถึงพยายามขายนักเตะออกไปเพื่อทำรายได้มาเติมในส่วนที่ขาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากทีมที่รับเซ้งต่อก็คือ มาร์กเซย์ ทีมบ้านเรือนเคียงกัน
แต่ชิเวลลีไม่เป็นไปตามนั้น เขาขออยู่ต่อ ขนาดว่าผู้หลักผู้ใหญ่ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดไม่ขยายสัญญาของเขาเหมือนที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้า แต่เขาก็ยังดึงดันปล่อยให้สัญญาหมดไปได้ แต่จะไม่ยอมให้เงินเข้ามามีเอี่ยวเด็ดขาด เรื่องนี้ถึงขนาดมีคนเขียนอวยลงใน Get Football สื่อสมัครเล่นของฝรั่งเศสเลยทีเดียว ความว่า
"เขา (ชิเวลลี) ทำลายล้างทุกกฎแห่งโลกฟุตบอลที่มักโดนเหมารวมว่ามีแต่พวกหน้าเงิน แต่เขาเลือกที่จะก้าวคนละก้าวไปพร้อมกับนีซ น่าประทับใจสุด ๆ พวกเขา (นีซ) สู้ได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยแทคติกสุดชาญฉลาดของโค้ช (โคลด ปูแอล) ล้วน ๆ ความใจสู้แบบมีแต่ตัวนี้เองคือสิ่งที่ทำให้นีซบินสูง (ณ ตอนนั้น) กว่าทีมอื่น ๆ ที่พวกโลภมากย้ายไป"
แต่ไม่แน่ใจว่าความไม่โลภเป็นลาภอันประเสริฐจริงหรือไม่ เพราะหลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ตนเองหมดสัญญาจริง ๆ และโดนเฉดหัวทิ้งจริง ๆ จากเพื่อนพึ่งพายามยากของนีซ ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่เคว้ง ก่อนจะย้ายหนีลีกเอิงไปซบ บูร์ซาสปอร์ (Bursaspor Kulübü Derneği) ทีมระดับกลางตารางซูเปอร์ลีก ตุรกี
และเขาก็ค่อย ๆ ลดระดับลงไปเรื่อย ๆ ด้วยวัยที่มากขึ้น เขาเริ่มไปนั่งบนม้านั่งสำรองแม้จะลงเล่นในทีมระดับต่ำ กลับมาที่ลีลล์ (LOSC Lille) แม้จะได้ลงสนามบ่อยขึ้น แต่หลัง ๆ กลับตกเป็นตัวสำรองของ ฌิบริล ซิดิเบ กองหลังดาวรุ่งของทีม และในที่สุด เขาก็กลับบ้านเก่าที่บานฟิลด์อีกครั้ง
ที่นี่ถือว่าเป็นเซฟโซนของเขา เหมือนเป็นการพักกายพักใจหลังจากเหนื่อยมาทั้งชีวิตค้าแข้ง กระนั้นเหมือนว่าพระเจ้าไม่ค่อยชอบหน้าเขาสักเท่าไรในวัยเกษียณ เพราะเขาถึงขั้นฟ้องร้องสโมสรที่ให้โอกาสทางฟุตบอลแก่เขา เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนัก ฟุตบอลจึงไม่สามารถทำการแข่งขันได้ ทำให้บานฟิลด์ค้างค่าเหนื่อยนักเตะ และสโมสรก็ทำเฉยโดยไม่สะทกสะท้านอะไร
จนในที่สุด เมื่อผ่านพ้นเรื่องนี้ไปเขาก็ได้ย้ายไปแขวนสตั๊ดกับ อูราคาน (Club Atlético Huracán) ทีมระดับกลางตารางในบ้านเกิดแบบเงียบ ๆ ไม่มีสิ่งใดน่าจดจำสำหรับนักเตะที่ไม่ประสบความสำเร็จในโลกฟุตบอลที่หมุนรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนที่เขาจะค้นพบ "โลกอื่น" ที่ทำให้โลกฟุตบอลหันมาชายตาแลเขาอีกครั้ง
หวานละมุนละไมอยู่ในทุกตอน
"ในโลกของฟุตบอลนั้นมีสองสิ่งที่ยากจะคาดคะเนหรือตอบอย่างชัดเจนได้ อย่างแรก คืออาการบาดเจ็บที่จะมาถามหาเมื่อไรก็ไม่รู้ และจะทำให้หายดีอย่างไร อีกเรื่อง อาจจะเรียกว่า 'ครึ่งหลัง' ของชีวิต หลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้วจะเป็นอย่างไร"
คำกล่าวข้างต้นของชิเวลลีปรากฏในบทความ Renato Civelli: the player who exchanged the football field for French patisserie ประจำคอลัมน์ "Career Transition" บนเว็บไซต์ FIFPro ซึ่งเป็นที่ที่ใช้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของบรรดาพ่อค้าแข้งที่เปลี่ยนวิถีของตนเองหรือประสบความสำเร็จในด้านอื่น ๆ หลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว
ชิเวลลีในตอนนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จกับการบริหารร้านเบเกอรี่ "Gontran Cherrier" ซึ่งเป็นร้านระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาวที่ขยายแฟรนไชส์ไปทั่วทุกมุมโลก และแน่นอนว่าเขาได้บุกเบิกมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บัวโนสไอเรส โดยเขาได้เปิดเผยถึงเหตุผลในการพลิกชีวิตครั้งนี้ไว้ว่า
"ผมเริ่มคิดถึงเรื่องนี้เมื่อ 6 ปีก่อน ตอนที่ผมอายุระหว่าง 33-34 ปีตอนยังเล่นที่ลีลล์ ผมและภรรยาซุกหัวนอนอยู่ 3 ช่วงตึกถัดจากแฟรนไชส์ร้านนี้ (Gontran Cherrier) ความคิดในการเริ่มโครงการนี้เริ่มก่อตัวในใจผม มันทำให้ผมมีความกระตือรือร้นที่จะทำอาชีพอื่นนอกจากการเป็นนักฟุตบอล … ในช่วงปีสุดท้ายของอาชีพนักฟุตบอล ผมได้ติดต่อกับ เอ็นริเก พอร์ตนอย ซึ่งทำงานในบริษัทเหล็กชั้นนำของอาร์เจนตินา ผมเริ่มฝึกฝนการเป็นผู้ประกอบการ เอ็นริเกเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจซึ่งมีแนวทางน่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะด้านธุรกิจให้แก่นักฟุตบอลเพื่อใช้ชีวิตหลังเลิกเล่น … สิ้นปี 2019 ผมได้บรรลุข้อตกลงกับแฟรนไชส์ Gontran Cherrier ร้านขนมปังฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยได้รับการจัดอันดับเป็นร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินมาแล้ว"
และแน่นอนว่าจากที่ต้องใช้ความตั้งใจแสดงความดุดันเพื่อปะทะประชันคู่แข่งชนิดถึงเครื่อง เขากลับต้องมาใช้ความหวานละมุนละไม ประณีต พิถีพิถัน และใส่ใจในทุกรายละเอียดชนิดไม่ให้พลาดแม้แต่มิลลิลิตรเดียว ซึ่งการนี้ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่โหดหินพอสมควร
แต่เหมือนว่าการเปลี่ยนตนเองให้ใช้ความหวานนำทางจะดูเข้ากับเขา เพราะร้านของเขาขายดิบขายดีจนต้องเปิด 2 สาขา และมีแผนจะเปิดสาขาที่ 3, 4, 5 และต่อ ๆ ไปเพิ่มอีกในอนาคต
"ผมไม่ได้พิศวาสเบเกอรี่อะไรนี่หรอกนะ แต่ผมรู้สึกถึงความท้าทายทุกครั้งที่ต้องตื่นมาทำงานนี้ ผมชอบมัน! โอเค ผมอาจจะมีหัวหมุนเล็กน้อย มีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายที่ต้องจัดการในแต่ละวัน ตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการดีลกับเด็ก ๆ ในร้าน โคตรแตกต่างจากการเล่นฟุตบอลเลยครับ" ชิเวลลี กล่าวถึงความมานะอุตสาหะของตน
ทั้งนี้เขายังได้ให้แง่คิดแก่บรรดาน้อง ๆ ที่กำลังจะเข้าสู่วัยโรยราในกีฬาลูกหนังไว้ว่า
"ไม่ว่าเราจะเคยทำเงินได้มากแค่ไหนในอาชีพของเราก็ตาม แต่เราก็ต้องจบอาชีพนักฟุตบอลในขณะที่อายุยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับอาชีพอื่น ๆ ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และเรามีเวลามากมายในการค้นหาสิ่งที่เราต้องการจะทำกับชีวิตของเรา มีพื้นที่นอกสนามฟุตบอลที่คุณสามารถสนุกกับมันได้มากมายหากคุณเตรียมตัวให้พร้อม … มีสิ่งสำคัญ 2 ประการสำหรับเหล่านักฟุตบอลอาชีพที่จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าและมองเห็นเส้นขอบฟ้าว่าชีวิตหลังเลิกเล่นของเราจะเป็นอย่างไร ประการแรกที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่ต้องการทำ ไม่ว่าจะตั้งเป้าเป็นโค้ชหรือเข้าสู่โลกแห่งธุรกิจ ตราบใดที่เรามีโอกาส เราต้องเปิดหน้าต่างนั้นและรับรู้ว่ายังมีโลกอื่นให้พวกเราสำรวจอยู่ ประการที่สองคือการตระหนักรู้ว่าเมื่อถึงเวลาสิ้นสุดอาชีพ เวลานั้น ๆ อาจไม่สามารถทำอะไรก็ตามในระดับที่เคยทำได้อีกต่อไป เราต้องเริ่มมองไปข้างหน้าและมองหาสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"
ชีวิตคนเราไม่มีความแน่นอน วันนี้อยู่พรุ่งนี้ตายคล้ายความฝัน อดีตผ่านมาแล้วก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป ขอแค่ปัจจุบันเจอสิ่งที่ชอบสิ่งที่ใช่และเหมาะสมกับเวลาและสถานที่ เมื่อท่องเอาไว้ในใจว่าจะไปต่อให้สุดทางแล้วก็ย่อมไม่มีคำว่าเสียใจ เหมือนอย่างวิถีของชิเวลลีในวัย 40 ต้น ๆ ที่ได้ตระหนักแล้วว่า บางครั้งรสหวานในขนมก็เหมาะสมกับชีวิตกว่าความดุดันในสนาม
แหล่งอ้างอิง
https://fifpro.org/en/supporting-players/development-beyond-football/career-transition/renato-civelli-the-player-who-exchanged-the-football-field-for-french-patisserie/
https://www.getfootballnewsfrance.com/2013/renato-civelli-how-one-man-can-set-an-example-to-the-football-world/
https://www.eldiariosur.com/lomas-de-zamora/deportes/2020/6/19/banfield-renato-civelli-demando-al-club-fue-cuestionado-40623.html