ประชาชนชาวโมร็อกโกจำนวนมากต่างพากันออกมาโบกธง จุดดอกไม้ไฟสีแดง ตีกลอง แล้วโห่ร้องเพลง "ole, ole, ole, ole, Maghreb, Maghreb" ซึ่งเป็นภาษาอาหรับให้กับโมร็อกโกจนเนืองแน่นเมืองราบัต เมืองหลวงของประเทศ เพื่อต้อนรับนักเตะชุดประวัติศาสตร์ พลพรรค "สิงโตแห่งแอตลาส" ทีมชาติโมร็อกโก
สำหรับทีมชาติโมร็อกโกชุดนี้ พวกเขาได้สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนบอลทั่วโลกด้วยการเป็นทีมแรกจากทวีปแอฟริกาที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2022 ได้สำเร็จ ชัยชนะครั้งนี้เป็นมากกว่าความภาคภูมิใจของชาวแอฟริกาทั้งทวีป หากแต่ยังเปรียบได้กับการประกาศศักดาว่าทีมจากกาฬทวีปทีมนี้ก็มีดีไม่แพ้ยอดทีมจากฝั่งยุโรป
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่พวกเขาสามารถทะลวงคู่แข่งที่เหนือกว่าย่อมเกิดจากการวางแผนมาอย่างชาญฉลาดของเฮดโค้ชนามว่า วาลิด เรกรากี ด้วยรูปแบบการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ การต่อบอลจากเท้าสู่เท้าที่แม่นยำ ผสมเข้ากับความยอดเยี่ยมของตัวผู้เล่นในทุกตำแหน่ง เหล่านี้คืออาวุธสำคัญที่เรกรากีใช้สยบยักษ์ใหญ่ระดับโลกมานัดต่อนัด
เราจึงขอพาท่านไปเจาะลึกปรัชญาการทำทีมของยอดกุนซือผู้นี้ อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้โมร็อกโกประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกหนนี้ ติดตามได้ที่ Main Stand
จิตวิทยารวมใจโดยใช้สายสัมพันธ์ทางครอบครัว
วาลิด เรกรากี ถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทน วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช กุนซือชาวบอสเนียที่พาทีมเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหนนี้ได้สำเร็จ และถูกปลดฟ้าผ่าด้วยเหตุที่ว่ามีความคิดไม่ตรงกันกับสมาคมฟุตบอลแห่งชาติโมร็อกโก
ช่วงเวลาความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น เรกรากีมีเวลาไม่ถึง 100 วันเพื่อปรับจูนทีมให้มีความพร้อมก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น แม้เขาจะได้รับสมญานามว่า "เป๊ป กวาร์ดิโอลา แห่งโมร็อกโก" ด้วยบุคลิกที่มีความเข้มงวดในเรื่องของแทคติกการเล่น รวมถึงวิธีบริหารจัดการลูกทีมก็ยอดเยี่ยมชนิดหาตัวจับยาก แต่ภาระนี้ดูจะหนักอึ้งเกินไปสำหรับกุนซือหนุ่มผู้ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมในฟุตบอลโลกมาก่อน
ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด กุนซือหนุ่มวัย 47 ปีครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะผสมผสานนักเตะทั้ง 26 คนให้สามารถร่วมเล่นกันเป็นทีมได้อย่างไร
แม้เรกรากีจะเกิดที่ฝรั่งเศส แต่เขาก็เหมือนกับลูกทีมคนอื่น ๆ คือมีสายเลือดชาวโมร็อกโกอยู่ในทุกอณูของร่างกาย เขาหยั่งรู้ถึงความคิดของนักเตะทุกคนได้ว่า การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ระดับโลกเช่นนี้ ผู้เล่นต้องแบกรับความหวังของคนทั้งชาติมากเพียงใด การห่างไกลจากครอบครัวอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักเตะเกิดภาวะความเครียดทางอารมณ์ได้สูง ซึ่งจะมีผลกับการแข่งขันโดยตรง
ด้วยโมร็อกโกเป็นประเทศมุสลิม ซึ่งมีปรัชญาเน้นหนักเกี่ยวกับสายใยความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอันดับแรก ฉะนั้นการมีคนในครอบครัวมาคอยให้กำลังใจอยู่ใกล้ ๆ ย่อมทำให้เกิดความผ่อนคลายทางอารมณ์ได้มากขึ้น และนักเตะจะมีหัวใจที่ฮึดสู้อย่างไม่เกรงกลัวต่อทีมคู่แข่งที่เหนือกว่าได้อีกด้วย
เมื่อรู้ดังนั้นเรกรากีจึงไม่รอช้า เขาอนุญาตให้นักเตะทุกคนสามารถพาครอบครัวเดินทางมาเชียร์ที่กาตาร์พร้อมกับทีมอย่างไม่มีเงื่อนไข
"ความสำเร็จของพวกเราไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากปราศจากความรักของคนในครอบครัว" เรกรากี ย้ำชัดถึงแนวคิดดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้โรงแรมที่พักซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโดฮาของทีมชาติโมร็อกโกจึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัว อันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ จากนักเตะและสมาชิกครอบครัวทุกคน
สิ่งเหล่านี้คือความแน่นแฟ้นที่เรกรากีต้องการ เขาอยากให้ทุกคนคิดว่านี่คือครอบครัวเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่ถูกสื่อเข้ามาสัมภาษณ์ พวกเขาจะพูดด้วยความภูมิใจว่า "นี่คือครอบครัวของฉัน"
เราจึงได้เห็น อัชราฟ ฮาคิมี่ หอมแก้มคุณแม่ทุกครั้งหลังจบการแข่งขัน ได้เห็น โซฟียาน บูฟาล โอบกอดและชวนคุณแม่ไปฉลองในสนามร่วมกัน ไม่เว้นแม้แต่ วาลิด เรกรากี กุนซือเจ้าระเบียบก็ซบไหล่คุณแม่ทุกครั้งเมื่อเกมจบลง รวมถึงนักเตะของโมร็อกโกอีกหลายคนที่เลือกปฏิบัติเช่นนี้ พวกเขาสามารถแสดงความรักต่อครอบครัวและเพื่อนร่วมทีมได้อย่างไม่เคอะเขิน
ผลที่ได้กลับดีเกินคาด เพราะนักเตะจะมีสมาธิกับการฝึกซ้อมมากขึ้น พวกเขาสามารถเข้าใจแทคติกการเล่นที่เรกรากีวางไว้ให้เป็นอย่างดี ทุกคนรู้ว่าควรวิ่งไปทางไหนหรือขยับตัวอย่างไรถึงจะเป็นไปตามกลยุทธ์ที่โค้ชของเขาต้องการ
จากการต่อสู้ที่หนักหน่วง พวกเขากลายเป็นชาติจากแอฟริกาทีมแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในเวิลด์คัพได้ นอกจากต้องใช้ความทุ่มเทอย่างหนักแล้ว การเล่นเพื่อคนในครอบครัวคือพลังยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้พวกเขามายืนตรงจุดนี้ได้ มันคือหนึ่งในกลยุทธ์ชั้นยอดที่ วาลิด เรกรากี นำมาใช้เพื่อรวมใจลูกทีมของเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างงดงาม
เก่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้ทีม
"ผมบอกกับลูกทีมของผมว่าเราต้องมีความฝันที่จะเข้ารอบ" วาลิด เรกรากี ให้สัมภาษณ์กับสื่อ
ความเชื่อมั่นในทีมคือจุดแข็งอย่างหนึ่งที่ทำให้เรกรากีได้รับความไว้วางใจจากลูกทีมของเขาเป็นอย่างสูง
เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถของทีม และไม่เคยออกมาตำหนินักเตะคนใดผ่านสื่อหรือพูดในเชิงลบเกี่ยวกับความผิดพลาดของลูกทีมในการให้สัมภาษณ์สักครั้งเดียว
"ผมคิดว่าเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ ไม่ใช่แค่ในฐานะโค้ชแต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณมีปัญหา เราซึ่งเป็นนักเตะสามารถเข้าไปหาเขาได้ทันที เขาเปรียบเหมือนพ่อหรือพี่ใหญ่ของเราไม่ใช่แค่โค้ช" อิเลียส แชร์ กองกลางคนสำคัญของทีมกล่าว
ความเชื่อมั่นเหล่านี้เปรียบเสมือนกาวใจชั้นดีที่ช่วยผสานใจและทำให้บรรยากาศในทีมมีความคึกคักระหว่างฝึกซ่อม และส่งผลไปถึงรูปแบบการเล่นของทีมโดยตรง
หนึ่งในเหตุการณ์ที่เน้นย้ำได้ถึงความเก่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้ทีมของเรกรากี คือการโน้มน้าวให้ ฮาคิม ซีเย็ค จากเชลซี และ นูสแซร์ มาซราอุย จาก บาเยิร์น มิวนิค ที่ประกาศหยุดเล่นทีมชาติไปก่อนหน้านั้นหันกลับมาเล่นให้กับทีมชาติอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองต่างเป็นคีย์แมนคนสำคัญของโมร็อกโกที่ขาดไปไม่ได้
โมร็อกโกจึงมี ฮาคิม ซีเย็ค ดาวเด่นจอมลากเลื่อยจากเชลซี, อัชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กสายบุกจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ผู้ได้รับสมญานามว่า "เบ็คแฮมแห่งโมร็อคโก", นูสแซร์ มาซราอุย จากบาเยิร์น มิวนิค รวมถึงนักเตะดาวดังคนอื่น ๆ ที่ค้าแข้งในลีกใหญ่ยุโรปเกือบจะครึ่งค่อนทีม
แม้พวกเขาจะมาจากหลายที่ เเต่ด้วยมีเลือดเนื้อและต้นตระกูลเป็นชาวโมร็อกโกเช่นเดียวกัน มันได้กลายมาเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เข้าใจความรู้สึกของกันและกัน และพร้อมมุ่งทะยานไปสู่เป้าหมายด้วยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ
"สิ่งที่ผมบอกกับทีมคือเรามีนักเตะชั้นยอด เรามีผู้เล่นในสโมสรระดับท็อปของโลก และเรามีทีมที่สามารถคว้าชัยชนะในฟุตบอลโลกได้ และนั่นคือสิ่งที่ผมพยายามบอกกับลูกทีมของผมเสมอ เราต้องเชื่อมั่นและสู้อย่างทุ่มเท พวกเขาเชื่อผม เราไม่ได้มาฟุตบอลโลกเพื่อเล่นเพียง 3 เกม"
ข้อความนี้ทำให้โมร็อกโกสามารถเอาชนะทีมอย่าง เบลเยียม, สเปน และ โปรตุเกส ซึ่งล้วนอยู่ใน 10 อันดับแรกของฟีฟ่าแรงกิ้งในหนึ่งเดือนได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นการจะชนะทีมเหล่านี้ได้ดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ซึ่งความเชื่อมั่นเหล่านี้ทำให้นักเตะทุกคนกล้าเล่นตามแนวทางที่ตนเองถนัดอย่างไม่ต้องระเเวดระวังซึ่งกันและกัน เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใดก็จะมีเพื่อนร่วมทีมที่พร้อมซัปพอร์ตและให้กำลังใจซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
เราจึงได้เห็น ยาสซีน บูนู นายด่านจอมหนึบจากเซบีย่า ทำผลงานเชฟอุตลุดจนทีมคู่แข่งร้องขอชีวิต หรือแม้แต่ โซฟียาน อัมราบัต กองกลางจอมเทคนิคที่ทำผลงานได้ดีจนบรรดาทีมใหญ่ในลีกยุโรปต้องแย่งตัวไปเซ็นสัญญาไม่เว้นวัน
"ตามที่โค้ชพูด เราต้องกำจัดความรู้สึกต่ำต้อยที่เรามี ผู้เล่นโมร็อกโกสามารถเผชิญหน้ากับใครก็ได้ในโลกนี้ เราได้เปลี่ยนมันให้เป็นพลัง และคนรุ่นหลังก็รู้ว่าตอนนี้พวกเราชาวโมร็อกโกสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้" ยาสซีน บูนู กล่าว
ปรัชญาและแผนการเล่นชัดเจน
"เราพยายามเล่นเกมรับ ผมเองไม่มีเวทมนตร์ให้ทีมทำแบบนั้นได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือต้องปิดเส้นทางการจ่ายบอลของคู่แข่งให้มากที่สุด" วาลิด เรกรากี บอกถึงแผนการเล่นของเขา
คำพูดดังกล่าวสื่อความหมายได้อย่างดีว่าโมร็อกโกประเมินตัวเองมาเป็นอย่างดีแล้วว่าพวกเขาชัดเจนในแนวทางการเล่นเพียงใด
เกมรับ เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในโลกฟุตบอลที่ทีมเล็กมักใช้ต่อสู้กับทีมใหญ่ อย่างไรก็ดีมันมักใช้ได้ผลเมื่อทีมต้องการผลการแข่งขันที่แน่นอน
โมร็อกโกใช้เกมรับที่รัดกุมเพื่อบังคับคู่ต่อสู้ให้เล่นในแดนกลางมากที่สุด พวกเขาเล่นตามแทคติกที่โค้ชวางไว้ได้อย่างมีระเบียบวินัยและความอดทนเป็นอย่างสูง ด้วยระบบ 4-3-3 หรือ 4-1-4-1 แบบยืนต่ำที่พยายามปิดพื้นที่ของคู่ต่อสู้ให้มากที่สุด จนแดนกลางคู่แข่งแคบและเกิดความยากลำบากในการเข้าทำ
จะเห็นได้ว่าพวกเขารับต่ำอย่างเป็นระบบ แต่สิ่งที่ควรชื่นชมที่สุดคือไม่ว่ารูปแบบเกมจะตกเป็นรองเพียงใด พวกเขาก็จะมีสมาธิที่แน่วแน่ ไม่ไขว้เขวไปตามสถานการณ์ที่กดดันเลยแม้แต่น้อย
เกมรับของโมร็อกโกจึงเปรียบได้กับปราการด่านสำคัญที่ทีมคู่แข่งไม่อาจพังทลายได้อย่างง่ายดาย พวกเขามี อัชราฟ ฮาคิมี่ เป็นศูนย์กลางในแนวรับ ซึ่งหากมีจังหวะพวกเขาก็พร้อมใช้ความว่องไวจากการต่อบอลที่แม่นยำเพื่อทำเกมสวนกลับทันทีเมื่อมีโอกาส และด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ ฮาคิม ซีเย็ค ปีกตัวจี๊ดที่พร้อมกระชากลากเลื่อยเข้าหาคู่แข่งด้วยทักษะฟุตบอลระดับสูงก็ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจบุกเข้าใส่โมร็อกโกได้เต็มกำลังมากนัก เนื่องจากต้องคอยเป็นกังวลกับเกมสวนกลับที่น่ากลัวของทัพสิงโตแห่งแอตลาสนั่นเอง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โมร็อกโกจะสามารถทะยานผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้ด้วยการเสียเพียง 1 ประตู ซึ่งหนึ่งประตูที่เสียไปนั้นเกิดจากการทำเข้าประตูของตัวเองในเกมที่เอาชนะ แคนาดา 2-1 ในรอบแบ่งกลุ่ม และยิงได้ถึง 5 ประตู โดยยิงใส่ เบลเยียม 2 ลูก แคนาดา 2 ลูก และ โปรตุเกส อีก 1 ลูก
เขี้ยวเล็บจากสิงโตแห่งแอตลาสในฟุตบอลโลกหนนี้จึงแทบไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะความสำเร็จเป็นสิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนทั่วโลกอยู่แล้ว พวกเขากลายเป็นทีมที่รักของผู้คนอย่างรวดเร็ว ด้วยนิสัยถ่อมตน ไม่หลงระเริงไปกับชัยชนะที่ได้รับ และประเมินตนได้ดีเสมอในทุกเกมการแข่งขัน จึงทำให้มีผลงานออกมายอดเยี่ยมชนิดหักปากกาเซียนได้ทุกสำนัก
คล้ายกับคำพูดของ วาลิด เรกรากี ที่เคยกล่าวไว้ว่า "ชาวยุโรปจำนวนมากวิจารณ์สไตล์การเล่นของเรา แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ชอบเห็นทีมจากแอฟริกาเล่นอย่างชาญฉลาด พวกเขาเคยชินกับการเห็นทีมจากแอฟริกามาเพื่อตกรอบ แต่วันเหล่านั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ชัยชนะไม่ได้มีแค่หนทางเดียว"
ก่อนจะทิ้งท้ายว่า "ทีมจากแอฟริกาไม่เคยได้แชมป์โลกมาก่อน แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป ในอีก 20 หรือ 30 ปีข้างหน้าบางทีโมร็อกโก ... เซเนกัล หรือทีมจากแอฟริกาสักทีมอาจคว้าแชมป์โลก และเมื่อวันนั้นมาถึง พวกคุณจะย้อนกลับมามองแล้วพูดว่า ผมเคยพูดแบบนั้น"
แหล่งอ้างอิง
www.fifa.com .(2022). How Morocco coach Regragui’s tactics can change the course of African football. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.fifa.com/fifaplus/en/articles/how-morocco-coach-regraguis-tactics-can-change-the-course-of-african-football
Dan Bernstein.(2022). Who is Morocco manager Walid Regragui? The mastermind & tactics behind African side's shock World Cup success. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.goal.com/en/news/who-is-morocco-manager-walid-regragui-world-cup-tactics/blt4426a1ec0d181b78
Ben Miller.(2022). Who is Morocco coach Walid Regragui? How French-born manager is making history with Atlas Lions. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.sportingnews.com/in/soccer/news/walid-regragui-morocco-manager-world-cup/zsahjx1yvtyxinvztbvt7lig
thenationalnews.com.(2022). Thousands flock to streets of Rabat to welcome Morocco's returning World Cup heroes. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.thenationalnews.com/fifa-world-cup-2022/2022/12/20/thousands-flock-to-streets-of-rabat-to-welcome-moroccos-returning-world-cup-heroes/
ไซนับ หะยีเจ๊ะดอเลาะ .(2559). จิตรกรรมสื่อผสม : ความผูกพันและวิถีครอบครัวในทัศนะอิสลาม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/handle/123456789/15611/MA_Sainab_Hayeejehdolah.pdf?sequence=1&isAllowed=y