การผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 2 ของ แคนาดา ต่อจากปี 1986 ได้สร้างความฮือฮาให้แก่คอบอลอยู่ไม่น้อย
นั่นเพราะทีมชาติจากประเทศที่เกมลูกหนังไม่ได้รับความนิยมเป็นเบอร์ต้น ๆ ทำผลงานชนิดหักปากกาเซียน โดยเฉพาะการจบเกมรอบคัดเลือกโซนคอนคาเคฟ ในฐานะทีมอันดับหนึ่ง จนถึงขั้นทะยานอันดับแรงกิ้งโลกถึงที่ 33 ในช่วงคาบเกี่ยวที่ทีมการันตีสิทธิ์ลุย กาตาร์ 2022 มาแล้ว
ส่วนหนึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของทีมชาติจากประเทศที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกนี้ คือการมี 3 สโมสรในประเทศไปโลดแล่นในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ทำให้นักเตะแคนาเดียนได้อานิสงส์จากการสัมผัสลีกฟุตบอลอาชีพไปเต็ม ๆ
ร่วมติดตามโมเดลความสำเร็จนี้ที่พร้อมต่อยอดสู่อนาคตไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
ไปฟุตบอลโลกครั้งแรก ทั้ง ๆ ที่ประเทศยังไม่มี "ลีกอาชีพ"
ก่อนอื่นต้องเริ่มที่เรื่องของ "ความนิยม" ของกีฬาฟุตบอล หรือ ซอคเกอร์ ต่อประชากรในประเทศที่ไม่ได้นิยมกีฬาชนิดนี้เท่า ฮอกกี้น้ำแข็ง, ลาครอส (Lacrosse - กีฬาที่มีไม้แร็กเก็ตตาข่ายและลูกบอลแบบเฉพาะ) ที่เปรียบเสมือนกีฬาประจำชาติ หรือแม้แต่ แคนาเดี้ยนฟุตบอล (Canadian football - ที่คล้ายอเมริกันฟุตบอลแต่กฎกติกาต่างกันเล็กน้อย)
แต่เมื่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ได้เพิ่มโควตาทีมที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกโซนคอนคาเคฟ หรือพื้นที่แถบอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน จากเดิม 1 ทีมเป็น 2 ทีม ในฟุตบอลโลก 1982 ที่สเปนเป็นเจ้าภาพ นั่นทำให้แคนาดาเริ่มมีลุ้นเล็ก ๆ สำหรับการขึ้นมาท้าทายชาติร่วมภูมิภาค
ขณะเดียวกันฟุตบอลแคนาดาในเวลานั้นก็ลงเล่นในเกมลีกอาชีพร่วมกับประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนลีกในประเทศยังไม่ถึงขั้นเป็นลีกอาชีพที่จริงจัง ทำให้ทีมส่วนใหญ่ของประเทศไปโลดแล่นอยู่ใน นอร์ท อเมริกัน ซอคเกอร์ ลีก (North American Soccer League หรือ NASL) ในสหรัฐอเมริกา
นอร์ท อเมริกัน ซอคเกอร์ ลีก เป็นลีกฟุตบอลระดับอาชีพที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยมมหาศาล โดยในช่วงปี 1977 ถึง 1982 NASL เคยมีสถิติผู้ชมสูงถึง 28,000 คนต่อเกม ซึ่งทีมชื่อดังประจำลีกคือ นิวยอร์ก คอสมอส ทีมที่เคยเซ็นสัญญาดาวดังระดับโลกอย่าง เปเล่, คาร์ลอส อัลแบร์โต้ และ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์
ขณะที่นักเตะอย่าง จอร์จ เบสต์, บ็อบบี้ มัวร์ สองตำนานจากลีกสูงสุดอังกฤษ ไปจนถึง โยฮัน ครัฟฟ์ ก็เคยย้ายมาเล่นในลีกนี้มาแล้ว
อย่างไรก็ตามเพราะการทำทีมของแต่ละสโมสรที่เน้นทุ่มคว้าแข้งชื่อดังมาสู่ทีม ทำให้หลายสโมสร
ประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง กลายเป็นว่ารายจ่ายไม่สัมพันธ์กับรายได้ การทุ่มเงินไปกับนักเตะดังก่อให้เกิดภาวะหนี้สิน ทำให้หลายทีมค่อย ๆ ล้มหายตายจากไป โดยฤดูกาลสุดท้ายของศึก NASL ในปี 1984 เหลือทีมชิงชัยแค่ 9 ทีมเท่านั้น ก่อนจะไปต่อไม่ไหวจากปัญหานี้
กอปรกับการที่เม็กซิโกได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1986 แทนที่สหรัฐอเมริกา ที่เคยพยายามสุดตัวกับการได้เป็นเจ้าภาพ นี่เหมือนกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ NASL ยุติการแข่งขันลีกอาชีพลงในช่วง 2 ปีก่อนเวิลด์คัพ ที่เม็กซิกัน เพราะมันเหมือนจะดันต่อไป "ยังไงก็ไลฟ์บอย"
กลับมาที่ทีมชาติแคนาดา แม้ช่วงแรกเริ่มของโอกาสที่น่าลุ้นไปฟุตบอลโลก 1982 ทัพเรดเมเปิ้ลจะพลาดตั๋วรอบสุดท้ายด้วยการจบอันดับ 4 ใน คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนชิพ (CONCACAF Championship) หรือศึกฟุตบอลชิงแชมป์ประจำภูมิภาค ปี 1981 ที่ในเวลานั้นคัดเอาทีมแชมป์และรองแชมป์ไปเล่นฟุตบอลโลก (ต่อมาทัวร์นาเมนต์ชิงเจ้าโซนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น คอนคาเคฟ โกลด์คัพ : CONCACAF Gold Cup)
ทว่าการแข่งขันครั้งถัดมาในศึกคอนคาเคฟ แชมเปี้ยนชิพ 1985 พวกเขาก็ทำได้ ด้วยช่วงคาบเกี่ยวระหว่างที่นักเตะที่เคยผ่านเกมระดับอาชีพมา รวมถึงการใช้นักเตะบางส่วนจากลีกสมัครเล่นตามภูมิภาคของประเทศ และบางส่วนที่ไปโลดแล่นในยุโรป ก็คว้าโอกาสสำคัญตีตั๋วไปเวิลด์ คัพ ที่เม็กซิโก ได้สำเร็จ
นักเตะชุดนั้นนำโดย บรูซ วิลสัน ฟูลแบ็กกัปตันทีมที่เคยลงเล่นให้ นิวยอร์ก คอสมอส, เดล มิตเชลล์ กองหน้าที่ 20 ปีให้หลังจะได้รับโอกาสเป็นกุนซือทีมชาติชุดใหญ่ และ แรนดี้ ซามูเอล หัวใจในเกมรับที่ขณะนั้นเป็นนักเตะของ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ทีมชั้นนำในเนเธอร์แลนด์
เมื่อย่างก้าวสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แคนาดาอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมเสือสิงห์ทั้ง ฝรั่งเศส, ฮังการี และ สหภาพโซเวียต ผลการแข่งขันจึงเป็นไปตามคาด การมาเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขาจบลงด้วยผลพ่ายแพ้ทั้งหมด
แต่หากจะชื่นชมก็ต้องยกให้แมตช์ประเดิมสนาม ในเกมเจอฝรั่งเศส ที่นำทัพโดย มิเชล พลาตินี่ และฌอง ปิแอร์-ปาแปง โดยพวกเขาโดน เลอ เบลอส์ เฉือนชัยไปแค่ 1-0
แม้จะพ่ายรวดแถมยิงประตูไม่ได้ ทว่าชนแคนาเดียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าเส้นทางในเม็กซิกัน เวิลด์คัพ หนนี้เป็นความล้มเหลวแต่อย่างใด
กลับกันนักเตะได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถต่อกรกับทีมชั้นนำได้ ทั้ง ๆ ที่ขุมกำลังทีมบางส่วนเป็นนักเตะอาชีพ บางส่วนเป็นนักเตะระดับกึ่งอาชีพเท่านั้น
เมื่อทิศทางในทีมชาติเริ่มมีแววดี แถมอายุเฉลี่ยของนักเตะทีมชาติชุดเวิลด์คัพ 1986 อยู่ที่ 25 ปี อีกทั้งบางคนยังโลดแล่นในลีกฟุตบอลยุโรป เรียกได้ว่าแคนาดามีลุ้นต่อยอดเส้นทางความสำเร็จจนกลายเป็นทีมชั้นนำประจำโซนได้
การเกิดขึ้นของลีกอาชีพในประเทศ แต่ยังไปไม่สุด
อันที่จริงก่อนหน้าที่แคนาดาจะได้ไปฟุตบอลโลก ทางฝ่ายจัดการแข่งขันฟุตบอลในประเทศเคยริเริ่มลีกอาชีพมาแล้วครั้งหนึ่ง ในปี 1983 ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่ลีก NASL ประสบปัญหาหนัก
แต่ด้วยการทำให้เป็นมืออาชีพในทันทีทันใด บวกกับการที่แคนาเดียน ซอคเกอร์ ลีก ไปดึงทีมเป็นแฟรนไชส์จากลีกกึ่งอาชีพระดับภูมิภาคของประเทศมาเข้าร่วม ลีกที่ก่อตั้งมาได้ไม่ถึงปีก็ต้องล้มเลิกไปก่อน
ทว่าหลังนอร์ท อเมริกัน ซอคเกอร์ ลีก ล่มสลายไป ทางสมาคมฟุตบอลแคนาดาพยายามจะทำให้ฟุตบอลลีกในประเทศเป็นลีกอาชีพ เพื่อต่อยอดจากการลิ่วไปฟุตบอลโลกสมัยแรกของพวกเขา ด้วยแนวคิดสำคัญ "นำผู้เล่นของเรากลับบ้าน" และก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างครั้งแรกในนาม แคนาเดียน ซอคเกอร์ ลีก (Canadian Soccer League) ในปี 1987
โดยฤดูกาลแรกของ แคนาเดียน ซอคเกอร์ ลีก มีผู้เล่นชาวแคนาดาแตะหลักร้อยคนเข้าร่วม แน่นอนว่าเหล่าแข้งชูโรงที่เป็นหน้าเป็นตาให้ลีกส่วนใหญ่ก็คือนักเตะชุดไปฟุตบอลโลก 1986
อย่างไรก็แล้วแต่ด้วยสถานะทางการเงินที่เปราะบางของทีมแฟรนไชส์ แน่นอนว่าการเปลี่ยนจากลีกกึ่งอาชีพสู่ลีกอาชีพทำให้หลายทีมไปต่อไม่ไหว ในปี 1992 จึงกลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของศึก CSL ที่เหลือทีมชิงชัยแค่ 6 ทีมเท่านั้น
โมเดลส่งทีมแข่งต่างลีกในยุคใหม่ จนได้ไปฟุตบอลโลก
ผลจากความไม่แน่ไม่นอนนี้ กอปรกับลักษณะของลีกกึ่งอาชีพ ทำให้บุคลากรฟุตบอลแคนาดาจำเป็นต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วอายุคนในการออกไปโลดแล่นในต่างแดน
แม้ข้อดีอย่างหนึ่งคือบุคลากรเหล่านี้ไม่ว่าจะนักฟุตบอล โค้ช ตลอดจนส่วนงานอื่น ๆ ได้ประสบการณ์ระดับมืออาชีพกลับมาพัฒนาลีกภายในประเทศ
แต่คงจะดีกว่าหากสโมสรในประเทศมีลีกอาชีพไว้ลงบู๊ มีนักเตะป้อนสู่ทีมชาติ ได้พัฒนาอคาเดมี ไปจนถึงการจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กระทั่งปี 2007 สหรัฐอเมริกา อีกหนึ่งชาติที่เรียกฟุตบอลว่า ซอคเกอร์ ใช้ระบบแฟรนไชส์เชื้อเชิญให้สโมสรอาชีพจากแคนาดาเข้ามาร่วมเล่นเกมลูกหนัง "อาชีพ" ครั้งแรก นำมาซึ่งการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบลีกแดนลุงแซมอย่าง เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ เริ่มจาก โทรอนโต ในปีนั้น (2007) ต่อด้วย แวนคูเวอร์ และ มอนทรีออล ในปี 2011 และ 2012 ตามลำดับ ปัจจุบันก็คือสโมสร โทรอนโต เอฟซี, แวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ และ ซีเอฟ มอนทรีออล
แน่นอนว่าทั้งสามสโมสรมีการจัดการในระดับทีมฟุตบอลอาชีพ และมีระบบอคาเดมีปั้นดาวรุ่งป้อนสู่ทีมชุดใหญ่ ไปจนถึงทีมชาติรุ่นเยาวชน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ทีมชาติก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำของภูมิภาค ต่อยอดสู่เวทีระดับนานาชาติ ก็คือการ "ปั้นเยาวชน"
4 ปีหลังจากที่ โทรอนโต เอฟซี โลดแล่นในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ พวกเขาปลุกปั้น อาชตอน มอร์แกน ดาวรุ่งผลผลิตอคาเดมีของทีมขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
และเหมือนว่าโมเดลส่งทีมแข่งนอกลีกครั้งนี้จะสำเร็จอย่างยิ่งยวด แคนาดาสร้างนักเตะขึ้นมาติดทีมชาติ จนหลายคนยกระดับตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ทีมลิ่วเข้าสู่เวิลด์คัพ รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
อย่าง แซม อเดกุกเบ้ แบ็กซ้ายวัย 27 ปี อดีตเด็กสร้าง แวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ ก็ได้โอกาสเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่ตอนเล่นอยู่ในเมเจอร์ลีก ปัจจุบันเขาค้าแข้งอยู่ในยุโรปกับ ฮาเตย์สปอร์ ในซูเปอร์ลีก ตุรกี โดยหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของแซมในปีนี้คือผลงาน 1 ประตูในเกมคัดฟุตบอลโลกที่ แคนาดา เอาชนะ สหรัฐอเมริกา 2-0
โจนาธาน โอโซริโอ กองกลางตัวหลักของทีมชาติชุดปัจจุบันก็เช่นกัน จากการโอกาสได้ลงซ้อมกับทีมอคาเดมีของโทรอนโต เอฟซี เมื่อราว ๆ 9 ปีที่แล้วก็มีส่วนให้เขากลายเป็นนักเตะของทีมชุดใหญ่ ปัจจุบันในวัยแตะเลขสาม โอโซริโอ เป็นแข้งขาประจำทั้งในทีมโทรอนโตที่ลงเล่นเกิน 300 เกม รวมถึงทีมชาติแคนาดา ในฐานะพี่ใหญ่ของทีม
อีกชื่อหนึ่งที่ทุกคนคุ้นหูคือ อัลฟอนโซ่ เดวีส์ แบ็กซ้ายอนาคตไกลวัย 22 ปีที่เล่นอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่ในทีมชาติเล่นตำแหน่งปีกซ้าย ก็เป็นอดีตเด็กสร้างจากอคาเดมีของแวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ ที่เติบโตจนได้ไปเล่นให้ทีมชั้นนำของโลก ทั้งยังเป็นไอคอนลูกหนังของประเทศไปแล้ว
สู่ยุคใหม่ของลีกอาชีพในประเทศ
ขณะเดียวกันหากมองไปที่ฟุตบอลลีกอาชีพภายในประเทศแคนาดาเอง ลีกที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง 3 ทีมข้างต้น นั่นคือ แคนาเดียน พรีเมียร์ลีก (Canadian Premier League - CPL) โดยสมาคมฟุตบอลแคนาดา ที่พร้อมเป็นพื้นที่ให้คนลูกหนังในประเทศมีโอกาสได้พัฒนาฝีเท้า เรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังอย่างมืออาชีพ ดังที่มาและวัตถุประสงค์ของลีกที่เน้นย้ำเรื่อง "การทำเพื่อชาวแคนาดา"
"การทำงานเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อลีกของพวกเราเอง; ลีกที่แฟนบอล นักเตะ โค้ช สโมสร และทุก ๆ หน่วยงาน รวมตัวกันด้วยแพชชั่นเพื่อแคนาดา และแพชชั่นต่อเกมการแข่งขัน" ข้อความบางส่วนจากเว็บไซต์ แคนาเดียน พรีเมียร์ลีก ระบุ
ปัจจุบัน แคนาเดียน พรีเมียร์ลีก ได้ก่อตั้งสู่การเป็นลีกอาชีพมาได้ 5 ปีแล้ว (ริเริ่มปี 2017 จัดแข่งขันครั้งแรก 2019) ประกอบไปด้วย 9 สโมสรฟุตบอลอาชีพ แน่นอนว่าทุก ๆ การจัดการเป็นไปในลักษณะของความเป็นมืออาชีพ
ไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้า หากปณิธานสู่ความยั่งยืนได้รับการสานต่อ ทีมชาติแคนาดาก็อาจจะมีนักเตะจากลีกอาชีพแท้ ๆ ของพวกเขาเองเป็นแกนสำคัญให้กับทีมชาติ
เหมือนกับที่พวกเขาเคยมีนักเตะทีมชาติจาก 3 สโมสรอาชีพที่โลดแล่นในเมเจอร์ลีกมาแล้ว
แหล่งอ้างอิง
https://theathletic.com/3107306/2022/02/02/the-evolution-of-the-canada-mens-team-from-national-embarrassment-to-the-envy-of-concacaf/
https://thestandard.co/canadas-first-return-to-the-world-cup-in-36-years/
https://www.blockdit.com/posts/5ff4802a38d9941b8a8b4fbd
https://en.wikipedia.org/wiki/Canada_men%27s_national_soccer_team
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11292655/World-Cup-Canada-rise-ahead-tournament-36-years.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Canadian_Soccer_League_(1987%E2%80%931992)
https://canpl.ca/about-us/