ไม่ว่าเรื่องใดบนโลกนี้ ว่ากันว่าหากคนเราอยากประสบความสำเร็จก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับรากฐานอีกเเล้ว
สำหรับรากฐานของความสำเร็จในโลกแห่งฟุตบอลคือ "การสร้างเยาวชน" อย่างไม่ต้องสงสัย และนี่คือเรื่องราวการสร้างและให้โอกาสนักเตะเยาวชนไทยได้เข้าไปแข่งขันกับนักเตะระดับโลกอย่าง อันซู ฟาติ, เอริค การ์เซีย, ทาคุมิ มินามิโนะ และตัวท็อปจากทีมดังในยุโรปอีกมากมายหลายคน
โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก รายการที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโลกของแข้งเยาวชนทีมชาติไทย เริ่มต้นได้อย่างไร ? ติดตามได้ที่นี่
เยาวชนคือสิ่งที่ต้องลงทุน
ไม่มีชาติไหนที่ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายโดยที่ไม่พวกเขาไม่ลงทุนลงแรงกับการสร้างเยาวชน ... เพราะโลกฟุตบอลนั้นเดินไปข้างหน้าทุกวัน แม้การตัดสินที่ผลลัพธ์ของการแข่งขันจะยังคงอยู่ แต่วิธีการจะไปถึงจุดหมายนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง หากรากฐานไม่แข็งแกร่งก็ไม่มีทางที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างแน่นอน
ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดที่สุดคือ "ทีมชาติอังกฤษ" แม้ฟุตบอลอังกฤษจะมีลีกอาชีพมาเป็นร้อย ๆ ปี แต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงช่วงยุค 1970s ทีมชาติอังกฤษกลับมีผลงานในระดับนานาชาติที่มักจะโดนเย้ยหยันว่า "หมูสนามจริงสิงห์สนามซ้อม" พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในรายการอย่าง ยูโร หรือ ฟุตบอลโลก ซ้ำร้ายคือในระดับเยาวชนอังกฤษยังโดนชาติอย่าง อิตาลี เยอรมัน หรือ สเปน เชือดแบบสู้ไม่ได้ในหลายรุ่นอายุ
เพราะฉะนั้นแม้เป็นชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องความชาตินิยมและภาคภูมิใจในฟุตบอลของตัวเองก็ต้องยอมเปลี่ยนแปลงเมื่อกระแสของโลกเปลี่ยนไป พวกเขาจึงหันมาให้ความสำคัญในการสร้างเยาวชนเป็นอย่างมาก
สมาคมฟุตบอลอังกฤษอนุมัติงบประมาณก้อนโตกว่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างศูนย์ฝึกขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า เซนต์ จอร์จ พาร์ก คอมเพล็กซ์ และที่นี่ไม่ได้มีแค่สนามซ้อมและพื้นที่สำหรับการฝึกสอนเด็ก ๆ ที่มีแววเท่านั้น แต่ยังมีการสอนหลักสูตรอบรมโค้ชท้องถิ่นให้มีคุณภาพผ่านปรัชญาและวิธีการเล่นในแบบของตัวเอง โดยให้โค้ชเหล่านั้นนำไปสอนเด็ก ๆ ในท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งในโรงเรียนต่อเนื่องกันไป
นอกจากนี้พวกเขายังส่งงบประมาณไปให้กับทุก ๆ สโมสรที่เป็นสมาชิกของเอฟเอ เพื่อให้เป็นงบประมาณสำหรับการพัฒนานักเตะเยาวชนโดยเฉพาะ ซึ่งนั่นเองทำให้ผลงานของทีมฟุตบอลอังกฤษในเวทีระดับนานาชาติชัดเจนมากขึ้น พวกเขาได้เเชมป์โลกชุดยู-17, รองแชมป์โลกรุ่นยู-19 และคว้าเเชมป์โลกยู-20 อีก 1 สมัย และสิ่งที่ตามมาหลังจากทีมเยาวชนแข็งแกร่งก็คือทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ก็จะมีวัตถุดิบดี ๆ ให้เลือกมากมาย นักเตะจากชุดเเชมป์โลกเยาวชนก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกในทีมชาติชุดใหญ่ทั้ง เจดอน ซานโช่, ฟิล โฟเดน, เอมิล สมิธ โรว์, รีซ เจมส์, คอเนอร์ กัลลาเกอร์ และอีกมากมายหลายคน ... ซึ่งผลลัพธ์ก็เริ่มชัดเจนที่ปลายน้ำ อังกฤษคว้าอันดับ 4 ฟุตบอลโลกปี 2018 และคว้ารองแชมป์ยูโร 2020 ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปสัก 20 ปีพวกเขามักตายน้ำตื้นเป็นประจำ
มองอังกฤษแล้วก็หันมามองทีมชาติไทยของเรา ... เส้นทางที่เราจะเดินไปสู่ระดับนานาชาติยังอยู่อีกไกลโข แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามสิ่งที่ทุกคนควรรู้คือ "หนทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มต้นที่ก้าวแรก" เสมอ และตอนนี้เราเองก็มีความหวังในแบบของเราเช่นกัน
โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก
สิ่งที่ทำให้ฟุตบอลไทยยังไปได้ไม่สุดนั้นมีหลายเหตุผล หนึ่งในนั้นคือบางครั้งเรารอการสนับสนุนจากภาครัฐมากเกินไป เพราะในความจริงหากอยากจะให้ฟุตบอลที่เป็นกีฬายอดนิยมอันดับ 1 ของชาติก้าวไปข้างหน้า ฟุตบอลควรเป็นเรื่องของทุกคน และภาคเอกชนก็ต้องให้ความสำคัญและคืนกำไรสู่สังคมด้วย
ซึ่งช่วงหลัง ๆ มาเราได้เห็นรายการฟุตบอลระดับเยาวชนมากมายเกิดขึ้น รวมถึงโครงการต่าง ๆ ที่ทำให้เราได้เห็นภาพว่าแม้เรากำลังอยู่ในช่วงเดินเตาะแตะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มต้นกันไปเเล้ว ... และหนึ่งในโครงการที่ทำหน้าที่ผลิตเยาวชนฟุตบอลอย่างแข็งขันคือ "โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก" ที่จัดโครงการอย่างต่อเนื่องมาตลอด 10 ปีหลังสุด
หลายคนอาจจะเคยเห็นการสนับสนุนของ โตโยต้า ในวงการฟุตบอลไทยที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของฟุตบอลลีก ผ่านชื่อการแข่งขัน "โตโยต้า ไทยลีก" และฟุตบอลถ้วยอย่าง "โตโยต้า ลีก คัพ" ทว่าเรื่องของเยาวชนคือสิ่งที่ โตโยต้า นั้นให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะโครงการอย่าง "โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก"
"โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก" นั้นเป็นโครงการที่มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี ซึ่งช่วงวัยดังกล่าวเป็นช่วงสำคัญสำหรับการเป็นนักฟุตบอลคนหนึ่งอย่างมาก เพราะมันเป็นวัยที่พวกเขาจะได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง พวกเขาจะได้เรียนรู้ว่าฟุตบอลไม่ใช่แค่การแย่งบอลและยิงเข้าประตูอีกต่อไปแล้ว
เมื่อถึงจุดนี้ทักษะ ทัศนคติ และวินัย จะแบ่งพวกเขาเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน เขาจะต้องได้เรียนรู้วิธีการเล่นฟุตบอลที่ถูกต้อง เริ่มเข้าใจคำว่าแทคติกและแบบแผนการเล่นไปจนถึงการถูกสอนให้รู้ถึงเส้นทางที่ยากลำบากกว่าที่พวกเขาจะกลายเป็นนักเตะอาชีพว่าพวกเขาจะต้องผ่านอะไรบ้าง และต้องแลกมาด้วยวินัย ความมุ่งมั่น และความขยันขนาดไหน
"โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก" นั้นจะเป็นโครงการที่ทาง โตโยต้า จัดขึ้นในที่ต่าง ๆ ตามจังหวัดใหญ่ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อคัดและเฟ้นหาเยาวชนที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเข้ามาเรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลในระดับที่สูงขึ้นผ่านโค้ชระดับคุณภาพทั้งไทยและต่างชาติ
เด็ก ๆ กลุ่มนี้เปรียบเสมือนดังหัวกะทิในรุ่นเดียวกัน และจะนำเอาหัวกะทิเหล่านี้มารวมกันให้เป็นหนึ่งเดียวและฝึกซ้อมกันอย่างถูกวิธี ไล่กันตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน แทคติก และเทคนิคต่าง ๆ ในแบบที่หาเรียนในประเทศไทยไม่ได้ง่าย ๆ หัวกะทิเหล่านี้จะถูกกลั่นจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์แบบพรีเมี่ยม โดยท้ายที่สุดโครงการนี้จะได้ผู้เล่นทั้งหมด 24 คนเพื่อไปแข่งขันในนาม "ทีมชาติไทย" ในรายการแข่งขันฟุตบอล “U 12 Junior Soccer World Challenge" ที่จะได้เจอหัวกะทิจากชาติอื่น ๆ ของโลก
เส้นทางสู่ดวงดาว
รายการ U 12 Junior Soccer World Challenge ไม่ใช่แค่รายการที่เอาเด็ก ๆ จากชาติต่าง ๆ มาแข่งขันกันเท่านั้น แต่นี่คือรายการที่แต่ละชาติจะเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก เพราะมันคือการวัดความแข็งแกร่งของระบบอคาเดมี ไม่ว่าจะเป็นทีมจากยุโรปหรือเอเชีย หากได้เอ่ยชื่อมารับรองว่าทุกคนต้องคุ้นหูดี เช่น บาร์เซโลน่า, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล, เอซี มิลาน, บาเยิร์น มิวนิค และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือตัวแทนจากยุโรป ขณะที่จากเอเชียนั้นมีทั้ง นาโกยา แกรมปัส, กัมบะ โอซากา และ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ เป็นต้น
ซึ่งนักเตะที่เคยลงเล่นในรายการนี้ก็มีหลายคนที่ปัจจุบันกลายเป็นนักเตะระดับแถวหน้าของโลกไปเเล้ว เช่น ดาวซัลโวสูงสุดของรายการนี้เมื่อปี 2013 อย่าง เอริค การ์เซีย นักเตะทีมชาติสเปน, อันซู ฟาติ ผู้สวมใส่เสื้อหมายเลข 10 ของบาร์เซโลน่า ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมี ทาคุมิ มินามิโนะ อดีตนักเตะลิเวอร์พูลชุดเเชมป์พรีเมียร์ลีก 2019-20 อีกด้วย
เมื่อคุณได้เห็นคู่แข่งที่เป็นหัวกะทิจากทั่วโลก สิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้ในทันทีคือตัวแทนจากไทยที่ผ่านการคัดตัวจาก โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก จะได้พบกับโอกาสสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิตของพวกเขาก็ได้ คนเราจะหูตาสว่างก็ต่อเมื่อได้เห็นว่าโลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่แค่ไหน การที่ตัวแทนจากไทยที่ผ่านการฝึกอย่างหนักเพื่อไปแข่งกับเด็ก ๆ ระดับโลกนั้น ต่อให้ที่สุดแล้วเด็กของเราอาจจะสู้เด็ก ๆ จากชาติอื่นที่มีมีลีกและวัฒนธรรมฟุตบอลแข็งแกร่งไม่ได้ แต่สิ่งที่เด็ก ๆ ทุกคนจะได้คือพวกเขาจะได้เบิกเนตรครั้งใหญ่ และมันอาจเปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาไปตลอดกาล
กล่าวคือหากพวกเขายังคงได้เล่นแค่ในประเทศไทย พวกเขาที่เป็นหัวกะทิอาจมีความรู้สึกว่า "ข้าคือที่ 1" ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสำหรับเด็กวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ยังต้องพัฒนาตัวเองทุก ๆ วันเช่นนี้ ... เมื่อพวกเขาได้เห็นความเก่งและความแข็งแกร่งของนักเตะอย่าง ฟาติ และ มินามิโนะ พวกเขาจะเข้าใจได้ทันทีว่าโลกฟุตบอลนั้นยังกว้างใหญ่นัก ยังมีนักเตะที่อายุเท่า ๆ กันหรือน้อยกว่าพวกเขาที่มีฝีเท้าจัดจ้านมากกว่าที่พวกเขาคิดมากมาย และเมื่อถึงจุดนี้มันก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติและแนวคิดของแต่ละคนเเล้วว่า หลังจากได้เห็นระดับของ "เด็กเทพจากต่างแดน" พวกเขาพร้อมจะผลักดันและยกระดับตัวเองเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นหรืออย่างน้อยที่สุดคือไปให้ใกล้เคียงเท่าที่จะทำได้หรือไม่
นับตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกในปี 2013 ตัวแทนจากไทยที่มีจุดเริ่มต้นจากโครงการ โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก ได้พัฒนาผลงานมาให้ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในปี 2019 ที่ผ่านมาที่สามารถคว้าอันดับ 3 ด้วยการเอาชนะทีม เยาวชนญี่ปุ่นจากศูนย์ฝึกโอซากา ได้สำเร็จ
แม้จะไม่มีการการันตีได้เลยว่าเด็ก ๆ จากโครงการ โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก จะก้าวขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่และพาทีมชาติไทยไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ นี่คือโครงการนี้ทำให้เด็กไทยกว่า 300 คนได้ไปเปิดหูเปิดตา ได้ไปเจอการแข่งขันระดับโลก และกว่าจะมาถึงจุดนี้ยังมีเด็ก ๆ อีกหลายพันคนที่เข้าร่วมโครงการและได้ฝึกทักษะ วินัย และทัศนคติ ผ่านโค้ชที่มีประสบการณ์ของโครงการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะติดอยู่กับพวกเขาไปจนกว่าจะถึงวันที่เลิกเล่นฟุตบอล ... ส่วนพวกเขาจะเอาไปปรับใช้ได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดและทัศนคติของแต่ละคนเองแล้ว
ที่สุดเเล้วสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราควรทำไม่ใช่การ "ทำให้ดู" หรือการจับมือแล้วให้เด็ก ๆ คอยทำตามอย่างเดียว เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือการปลูกฝังแนวคิด ให้โอกาส และปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้อย่างอิสระเพื่อหาตัวเองให้เจอ สำหรับเรื่องของฟุตบอล โตโยต้า จูเนียร์ ฟุตบอล คลินิก กำลังพยายามมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่อง ... สิ่งเหล่านี้คือก้าวแรก และหากก้าวแรกยิ่งแข็งแรงและมั่นคงขนาดไหน ก้าวต่อไปก็มีโอกาสที่จะเดินไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม และอาจจะได้เห็นอนาคตที่สดใสยิ่งกว่าที่หลายคนคาดคิดก็เป็นได้