Feature

บัลลงดอร์ของ "อุสมาน เดมเบเล่" : ล้านคนบอกไม่ แต่ใจตนนั้นไซร้ไม่หมดศรัทธา | Main Stand

ย้อนกลับไปสัก 3-4 ปีก่อน หากใครมาบอกคุณว่า อุสมาน เดมเบเล่ จะกลายเป็นนักเตะที่คว้าบัลลงดอร์ คุณจะรู้สึกอย่างไร ? 

 

หากไม่โกหกความรู้สึกและพูดตรง ๆ คงต้องมีหลุดขำหรือสงสัยกันบ้างกับนักเตะอย่าง เดมเบเล่ ที่ครั้งหนึ่งมีปัญหาแทบจะทุกด้าน ทั้งเรื่องความประพฤตินอกสนาม อาการบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งฟอร์มในสนามที่ดูไปไม่สุดสักทาง

หลายคนคิดเช่นนั้น ... และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมคุณจึงไม่ควรหมดศรัทธาในตัวเองแบบที่ อุสมาน เดมเบเล่ ทำ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่เขาถูกยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ "ดีที่สุดในโลก" 

จากวันนั้น ถึงวันนี้ เรื่องราวของเขาสะท้อนสิ่งใดออกมาในฐานะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ที่ไม่เคยมีใครกล่าวถึง 

 

กับดักของความสุข

เรื่องราวของ อุสมาน เดมเบเล่ เหมือนกับสารคดีชีวิตมนุษย์ทั่วไปบนโลกนี้หากถอดบริบทของนักฟุตบอลออกไป มันคือเรื่องราวของใครสักคนที่กระโดดเข้ามาบนโลกแห่งการแข่งขัน สร้างตัวตนด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมในช่วงเริ่มต้น และได้รับคำชมมากมาย ซึ่งตรงนี้แหละคือจุดตัดสำคัญของแทบทุกคน ทุกอาชีพ ... มันคือบททดสอบหลังจากนี้ว่า คุณจะรับมือกับความสำเร็จที่คว้ามาได้ไหม

สำหรับ เดมเบเล่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำว่า "เหลิง" สามารถใช้กับเขาได้อย่างไม่เคอะเขิน เพราะในวันที่เขาแจ้งเกิดกับ แรนส์ ย้ายมาเล่นและโดดเด่นกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนกระทั่งย้ายไปอยู่ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ เขาทำตัวเหมือนกับชีวิตเขาเดินทางมาสู่จุดสูงสุดของอาชีพแล้ว และไม่คิดจะท้าทายตัวเองไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปจากนี้ 

แม้ เดมเบเล่ จะไม่เคยพูดคำนี้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่สะท้อนตัวตนของเขาในช่วงเวลากับ บาร์เซโลน่า มันค่อนข้างชัด ผลงานในสนามของเขาไม่ดีพอ นั่นก็ยืนยันได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่หลายครั้งเขาก็มีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินข่าวกันมาบ้าง 

เหตุการณ์ที่โดนแฉครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในช่วงปี 2019 เมื่อสื่ออย่าง AS รายงานว่า  เดมเบเล่ได้สังสรรค์กับเพื่อนที่บ้านของเขาในเมืองบาร์เซโลน่า ก่อนลงเอยด้วยการเล่นเกมจนดึกดื่น จนเจ้าตัวพลาดการซ้อมกับทีมในวันถัดมา โดยจากโปรแกรมที่จะเริ่มซ้อมเวลา 11:00 น. กว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถติดต่อเขาได้ก็เป็นเวลา 11:30 น. แล้ว

แม้สโมสรจะออกมาช่วยนักเตะด้วยการบอกว่า ข่าวลือจากสื่ออย่าง AS ที่ถือเป็นสื่อฝั่ง เรอัล มาดริด เป็นอะไรที่เชื่อไม่ได้ แต่ก็ดันมีการจับสังเกตได้ว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ไม่กี่สัปดาห์ เจ้าตัวก็หลุดจากทีมชุดที่จะลงสนามเจอ อินเตอร์ มิลาน ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกจากการมาประชุมทีมไม่ทัน 

และเหตุผลที่เขาใช้อ้างกับสโมสรนั้นเหมือนกันเป๊ะ นั่นคือการบอกว่ามีปัญหาด้านร่างกายเพราะว่า "รู้สึกปวดท้อง"  ไม่ใช่แค่สื่อเท่านั้นที่ออกมาบ่นเขา เรื่องนี้กุนซืออย่าง เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ก็เหนื่อยหน่ายที่จะพูดกับเขาในเรื่องนี้, เอริค อบิดาล อดีตนักเตะของทีมก็พูดไม่ต่างกันว่า "เขาต้องเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะร่างกายที่เปราะบางอยู่แล้ว ยิ่งถูกทำร้ายด้วยการพักผ่อนไม่พอและการกินอยู่ไม่เหมาะสม"

ขณะที่คำพูดที่น่าจะจี๊ดใจ เดมเบเล่ ที่สุด น่าจะเป็นคำพูดของ คริสตอฟ ดูการ์รี่ อดีตนักเตะฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกปี 1998 ที่พูดถึง เดมเบเล่ ว่า "การทำตัวไม่เป็นมืออาชีพกำลังจะทำให้เขาจบเห่ น่าเสียดายจริง ๆ เพราะพรสวรรค์ที่เขามีมันจะกลายเป็นพรสวรรค์ที่สูญเปล่า" ซึ่งคำว่า "จบเห่" และ "พรสวรรค์ที่สูญเปล่า" นี่แหละที่ เดมเบเล่ ได้หยิบยกขึ้นมาพูดในวันที่เขาคว้าบัลลงดอร์ด้วย ซึ่งเป็นการพูดถึงในแง่ของการ "ยอมรับ" ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ และถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาคงจบเห่ในสักวัน    

หากอยากจะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ คำว่า "พอแล้ว" ไม่ควรมีในพจนานุกรม ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะอายุ 20 ต้น ๆ อย่างเขา มันคือทัศนคติที่ผิดเพี้ยนจากความสำเร็จที่มาไวเกินไป เงินทอง ชื่อเสียง และความสำเร็จ เดมเบเล่ ได้ทุกอย่างตั้งแต่อายุน้อย (เจ้าตัวคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 2018 ด้วยวัย 21 ปีในตอนนั้น) การหยุดเพื่อเอ็นจอยกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เขาหรือแม้กระทังหลายคนทำกันโดยที่ไม่รู้ตัว 

แต่ความเผลอไผลเล็ก ๆ นี้เองก็เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของเขาเช่นกัน จากนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์และถูกคาดหวังไว้สูง ก็เริ่มค่อย ๆ เงียบลง ถดถอย และที่สุดแล้ววัฏจักรของโลกฟุตบอลก็เริ่มเล่นงานเขาจากการโดนคลื่นลูกหลังไล่ตาม 

รู้ตัวอีกที จากนักเตะที่เคยถูกคาดหวังว่าอาจจะดีที่สุดในโลก เก่งเท่า ๆ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็กลายเป็นนักเตะที่ผู้คนแทบจะมองข้าม และไม่คิดว่าชื่อของ อุสมาน เดมเบเล่ จะถูกประกาศชื่อในฐานะเจ้าของรางวัลลงดอร์เลยแม้แต่น้อย 

อย่างไรก็ตาม ข้อดีก็คือ การได้เจอบทเรียนตั้งแต่ยังอายุน้อยเช่นกัน ... เขามีชีวิตในฝันแบบที่เด็กผู้ชายทั่วโลกอยากจะมีแล้ว แต่ความเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ยากลำบากก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวของ "ความเป็นมืออาชีพ" และทบทวนอีกครั้งว่า ถ้าอยากจะถูกกล่าวถึงในฐานะนักเตะที่ยิ่งใหญ่ เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ถาโถมเข้ามา และก้าวข้ามมันให้ได้ด้วยวิธีการที่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง 

 

ความพยายามที่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร 

น้อยคนที่จะกลับตัวกลับใจได้แบบที่ เดมเบเล่ ทำ หลังประสบความสำเร็จในขั้นเบื้องต้นและเริ่มเสพความสุขนั้นมากเกินไป โชคดีที่เขารู้สึกว่าเขาเริ่มจะสำลักความสุขเหล่านั้นแล้ว เพราะมันมากเกินไป เขาใช้เวลากับมันเยอะเกิน จนกระทั่งเขาเริ่มรู้ว่ายิ่งเขาทำตามใจตัวเองเท่าไหร่ อาชีพของเขาก็ถูกทำลายลงไปเท่านั้น ซึ่งกว่าจะรู้ก็แทบจะสายเกินไปแล้ว

ในช่วงที่ เดมเบเล่ มีพฤติกรรม ทัศนคติ และผลงานในสนามแย่ ๆ กับ บาร์เซโลน่า ณ ตอนนั้นแทบไม่เหลือแฟนบอลของทีมคนไหนที่สนับสนุนเขาเลย เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของแฟนบอลทุก ๆ ทีมนั่นแหละที่จะตัดสินใจรักหรือเกลียดนักเตะคนไหนสักคน โดยเฉพาะเรื่องของความเกลียดนั้น มันมีหลักการที่ง่ายนิดเดียว นั่นคือ 

"ไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่พยายาม ไม่เห็นความสำคัญของสโมสร คุณคือศัตรูของเรา แม้จะสวมเสื้อสีเดียวกันก็ตาม" 

และแฟนบอล บาร์ซ่า ก็มอง เดมเบเล่ แบบนั้นแบบที่ว่ากันไม่ได้ เพราะเขาก็เป็นคนที่ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นด้วยตัวเองนั่นแหละ 

เดมเบเล่ ตกเป็นเป้า โดนแฟน บาร์ซ่า โห่มาโดยตลอด โชคดีที่เขาไม่ได้ตอบโต้กลับด้วยการประชดผ่านโซเชี่ยลหรือทำท่าทางภาษากายแย่ ๆ ออกมา ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ชาบี เอร์นานเดซ เข้ามาคุมทีม จากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดเมื่อได้เจอเจ้านายที่เขาคิดว่าเข้าใจเขาจริง ๆ 

ชาบี คือคนที่เข้ามาและเห็นในสิ่งที่ เดมเบเล่ เป็น และพร้อมใช้ในสิ่งที่ เดมเบเล่ มี เขารู้ว่าวิธีการเล่นของ เดมเบเล่ สามารถนำพาความแตกต่างมาสู่ทีมได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มด้วยการให้ความเชื่อใจ และคอยเป็นคนที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับ เดมเบเล่ มากกว่าคนที่ชี้นิ้วใส่และบอกว่าเป็นความผิดของเขา ซึ่งสิ่งนั้นเองเป็นสิ่งที่ เดมเบเล่  ค่อย ๆ ออกจากโลกที่มืดมิดและลืมตามองดูสิ่งที่ตัวเองมีอีกครั้ง จนนำมาสู่ทัศนคติที่ถูกต้อง นั่นคือการรู้ว่าตัวเองจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน

"ชาบี เชื่อมั่นในตัวผมเสมอ แม้กระทั่งตอนที่ผมยังไม่ได้ชัดเจนกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคุมทีมผมคงต้องออกจาก บาร์เซโลน่า ตั้งแต่ปี 2022 แล้ว เขาเป็นคนที่ยืนกรานว่าจะเก็บผมไว้" เดมเบเล่ กล่าว

นอกจากนี้ ชาบี ยังเป็นคนที่จับ เดมเบเล่ มาติวกันแบบตัวต่อตัว เพื่อทำให้แน่ใจว่านักเตะอย่าง เดมเบเล่ สามารถทำอะไรได้บ้าง และเขาอยากจะให้ เดมเบเล่ ทำอะไรเมื่ออยู่ในทีมของเขา 

พูดให้เห็นภาพก็คือ ชาบี เป็นเหมือนคุณครูที่พยายามขุดเอาความตั้งใจที่มีอยู่น้อยนิดของ เดมเบเล่ ออกมา เพราะเขารู้ว่าหาก เดมเบเล่ สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกที่มีต่อตัวเขาเอง มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่นำไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบที่ตัวนักเตะไม่เคยเชื่อมั่นมาก่อนได้  

"ชาบีช่วยให้ผมเข้าใจเกมมากขึ้น ทั้งเรื่องตำแหน่ง การยืน และการตัดสินใจในจังหวะสุดท้าย เขาคือคนที่ทำให้ผมกลับมาเล่นฟุตบอลด้วยความสุขอีกครั้ง" คำพูดนี้ของ เดมเบเล่ บอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดีว่า ชาบี คือคนจุดประกายตัวเขาอย่างแท้จริง

เดมเบเล่ ทำผลงานได้ดีมากในยุคของ ชาบี แต่ภาพเก่า ๆ ก็ยังคงไม่ถูกลบไปจากใจของแฟนบอล เสียงโห่ยังคงเกิดขึ้น พร้อมกับนักเตะรุ่นหลังที่โตมาจาก ลา มาเซีย ศูนย์ฝึกสโมสรก้าวขึ้นมาทีละคน ทีละคน ซึ่งนักเตะท้องถิ่นเหล่านี้ แฟนบอลรัก และเชียร์มากกว่า เดมเบเล่ อย่างไม่ต้องสงสัย 

เขามาเล่นดี และคิดได้เมื่อสายเกินไป อย่างน้อยก็สำหรับ บาร์เซโลน่า ประกอบกับสัญญาที่ใกล้จะหมดลงทำให้ไม่เหลือเวลาให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองที่นี่ วัฏจักรฟุตบอลทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน ดาวรุ่งอย่าง ลามีน ยามาล กำลังก้าวขึ้นมา และ เดมเบเล่ ที่ "เคยเป็นดาวรุ่ง" ก็ต้องโดนขายทิ้งเพื่อหาเงินเข้าสโมสร  

ท้ายที่สุดเขาก็ย้ายกลับไปเล่นในลีกเอิงอีกครั้งกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ด้วยราคา 50 ล้านยูโร ... เดมเบเล่ อาจจะออกจาก บาร์เซโลน่า แบบไม่มีอะไรน่าจดจำมากนัก แต่สำหรับเขา ที่นี่สอนให้เขารู้จักชีวิตที่แท้จริงหลาย ๆ ข้อ การมีขึ้น-ลง ของอาชีพนักฟุตบอล การใช้ความพยายามของตัวเองต่อสู้กับโลกแห่งความจริงมากกว่าการหนีปัญหา และท้ายที่สุดที่สำคัญมาก ๆ คือการตัดสินใจเชื่อมั่นในใครสักคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาเช่นกัน มันทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกมากแค่ไหน ซึ่งเขาเอาสิ่งเหล่านั้นมาต่อยอดที่ เปแอสเช ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

สู่วันที่เป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลก 

ตอนออกจาก บาร์เซโลน่า แทบไม่มีแฟนบอลคนไหนเสียดาย เช่นเดียวกันกับตอนที่มาเป็นนักเตะใหม่ของ เปแอสเช ก็มีแฟน ๆ ของทีมน้อยคนที่เชื่อว่านักเตะอย่าง เดมเบเล่ จะทำได้ดีเท่าที่ เอ็มบัปเป้ ที่กำลังจะย้ายไป เรอัล มาดริด ในเร็ววันทำได้ 

แน่นอนว่าการดูแคลนล้วนเกิดขึ้นจากสิ่งที่เขาทำทั้งนั้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า เดมเบเล่ ได้ค้นพบวิถีใหม่แบบเงียบ ๆ ในช่วงปลายที่เขาเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า แล้ว ดังนั้นการย้ายทีมครั้งนี้เป็นอะไรที่แตกต่างออกไป เพราะเขาต้องลบข้อสบประมาทที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เขาสร้างมันขึ้นมาในอดีตให้ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นอีกอย่างในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันระหว่าง บาร์เซโลน่า และ เปแอสเช ที่มีผลต่อความคิดของ เดมเบเล่ ก็คือ การแต่งงานและการมีลูก โดยในช่วงปลาย ๆ กับ บาร์เซโลน่า นั้น เดมเบเล่ ได้แต่งงานกับ ริม่า เอ็ดบูเช่ ในเดือนธันวาคม 2021 โดยงานแต่งของเขา จัดเป็นงานเล็ก ๆ แบบส่วนตัวในวัฒนธรรมโมร็อกโก เชื้อสายของภรรยา และหลังจากนั้นไม่นาน (กันยายน 2022) ทั้งคู่ได้ลูกสาวคนแรก ซึ่งทำให้เดมเบเล่เปลี่ยนมุมมองชีวิตไปมาก ซึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่าการมีลูกทำให้รู้สึกถึง "ความรับผิดชอบที่แท้จริง" 

ดังนั้น เดมเบเล่ กำลังเติบโตในฐานะคนเป็นพ่อในวันที่ย้ายมาเล่นให้กับ เปแอสเช ใหม่ ๆ และหลายสิ่งเปลี่ยนไปในทาางที่ดี เขาเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น สนใจเรื่องครอบครัวและลูกคนแรกมากขึ้น รวมถึงการย้ายมาเล่นที่นี่ก็เป็นหมุดหมายสำคัญมาก ๆ ในชีวิตของเขาด้วย เพราะภรรยาและครอบครัวของเขาอยู่ในฝรั่งเศส ทำให้การกลับไปเล่นในลีกเอิงไม่เพียงเป็นการตัดสินใจด้านฟุตบอล แต่ยังตอบโจทย์ชีวิตส่วนตัวและความสะดวกของครอบครัวด้วย

ยิ่งได้เจอกับโค้ชอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ ยิ่งเป็นอะไรที่ต่อยอดจากการเรียนรู้จาก ชาบี เอร์นานเดซ ได้เป็นอย่างดี เดมเบเล่ พูดถึง เอ็นริเก้ ว่ามีความสำคัญในอาชีพของเขาไม่ต่างกับที่ ชาบี เป็น เพียงแต่ฝั่งของ เอ็นริเก้ จะออกแนวดุดัน และเรียกร้องสิ่งที่ดีกว่าเสมอ ซึ่งมันเป็นจังหวะดีมากที่เขาได้มาเจอโค้ชอย่าง เอ็นริเก้ ในวันที่เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเข้าใจถึงหน้าที่ของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะนักเตะอย่างเขาที่แพงทั้งค่าตัว และแพงทั้งค่าจ้าง ... ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหาเลยในเรื่องของระเบียบวินัย เพราะเขารู้แล้วว่า นี่คือสิ่งจำเป็นที่เขาได้เรียนรู้จากความล้มเหลวครั้งแรกมาแล้ว 

จะบอกว่าการย้ายมา เปแอสเช คือการชุบชีวิตของเขาเลยก็คงไม่เกินไปนัก อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่นี่ เพราะตอนนี้แม้กระทั่งวันหยุด เขาก็ยังคงไปซ้อมและดูแลร่างกายตัวเองอยู่ตลอด 

"ตอนนี้ผมเป็นมืออาชีพมากขึ้น แม้แต่วันหยุด ผมก็ชอบไปศูนย์ฝึกซ้อมของสโมสร ผมไปเพื่อหาวิธีฟื้นร่างกาย และทำงานกับนักกายภาพบำบัดเพื่อให้ได้ร่างกายที่ออกมาดูดีที่สุด" เดมเบเล่ เล่าถึงตัวของเขา ณ ปัจจุบัน 

"แน่นอนว่ามันแตกต่างไปมาก เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะกลับบ้าน เล่น NBA 2K กับดูทีวีทั้งวัน ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กน้อย มันก็เป็นเรื่องปกติที่เรื่องบางเรื่องคุณต้องได้เจอบทเรียนด้วยตัวเอง สุดท้ายแล้ว คุณต้องจ่ายราคาแพงจากพฤติกรรมเหล่านั้น และผมเห็นสิ่งนั้นมาแล้วโดยเฉพาะที่บาร์ซ่า"

ช่วงเวลาหลังจากนั้น เราไม่ต้องพูดอะไรต่อ เมื่ออยู่กับโค้ชที่ถูกทีม กับทีมที่มีความเป็นนักสู้เท่า ๆ กัน และเหนือสิ่งอื่นใด คือการยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เป็นคนที่ดีขึ้นในทุกมิติทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งเหล่านี้ผลักดัน อุสมาน เดมเบเล่ ไปข้างหน้าแบบแทบจะไร้ขีดจำกัด รู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นอาวุธสำคัญในเกมรุกที่พาทีมพิชิตแชมป์ยุโรปที่รอคอยได้สำเร็จ

และอย่างที่เรารู้กัน บัลลงดอร์ 2025 ตกเป็นของเขา ... พรสวรรค์ที่เขามีถูกเติมเต็มด้วยการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งร่างกายและความคิด ชีวิตของเขาได้เจอมาครบแล้วทั้งการประสบความสำเร็จในฐานะดาวรุ่ง การก้าวเดินที่ผิดพลาดเพราะเสพติดความสุขมากเกินไป การได้เจอใครสักคนฉุดมือให้ลุกมาสู้อีกครั้ง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ 

ไม่สำคัญว่าคุณจะเริ่มต้นได้ดีแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญคือคุณเรียนรู้อะไรบ้างในทุกวัน ๆ อุสมาน เดมเบเล่ ลองทั้งสิ่งที่ผิดจนรู้ซึ้ง จนกระทั่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนไปสู่การเดินที่ถูกเส้นทาง ตอนนี้ภาพของเด็กติดเกมไม่เอาไหนถูกลบไปหมดจากสิ่งที่เขาทำ

และเหนือสิ่งอื่นใด เขาบันทึกชื่อตัวเองในฐานะตำนานของโลกลูกหนังเรียบร้อยแล้ว 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.bbc.com/sport/football/articles/crmexzp11x3o
https://www.nytimes.com/athletic/6648802/2025/09/22/ousmane-dembele-ballon-dor-background/
https://www.aljazeera.com/sports/2025/9/23/tearful-dembele-beats-yamal-to-ballon-dor-while-bonmati-achieves-hattrick
https://edition.cnn.com/2025/09/22/sport/soccer-ballon-dor-ousmane-dembele-aitana-bonmati
https://www.reddit.com/r/Barca/comments/1lbwumy/ousmane_demb%C3%A9l%C3%A9_i_am_a_bit_more_professional_now/?tl=th&rdt=51274
https://www.espn.com/soccer/story/_/id/37625747/ousmane-dembele-exemplary-professional

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ