Feature

โวลโกกราด อารีน่า : สนามแข่งบอลโลก 2018 ที่ "ธรณีสูบ" เพราะ ช่างชุ่ย และ คอร์รัปชั่น | Main Stand

จากสนามที่ถูกวาดฝันให้เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรุ่งโรจน์ของรัสเซีย สู่ความจริงที่เปลือยเปล่าว่า โวลโกกราด อารีน่า เป็นเพียง "สิ่งผุพัง" ที่เกิดจากการคอรัปชั่นและงานชุ่ย … ทิ้งไว้เพียงคำถามว่าใครต้องรับผิดชอบ? 

 


ติดตามเรื่องราวเหตุการณ์ "น้ำท่วมตอผุด" จนกลายเป็นธรณีสูบ ที่เผยถึงปัญหาโครงสร้างของประเทศกับ Main Stand ฃ

 

ความฝันของรัสเซีย 

ทันทีที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ประกาศว่า รัสเซีย จะได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ก็กางปีกอย่างหยิ่งผยองและให้คำมั่นสัญญาด้วยคำพูดของตัวเองว่า "รัสเซียจะลงทุนมหาศาลเพื่อให้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์"

ปูติน มีบทบาทหลักในการผลักดันให้รัสเซียเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 ร่วมกับสมาคมฟุตบอลรัสเซีย สื่อตะวันตกหลาย ๆ เจ้าบอกว่า เขาได้ใช้พลังทางการเมืองระดับสูงในการล็อบบี้ฟีฟ่าเพื่อให้ได้สิทธิ์นี้มา ดังนั้นเมื่อได้มันมาตามที่ต้องการแล้ว งานนี้ "เสียหน้าไม่ได้" เด็ดขาด 

เมื่อ ปูติน พูดอะไรในลักษณะนี้ มันทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพฟุตบอล 2018 ต้องกระตือรือร้นในทันที หลังจากวันประกาศ รัสเซีย มีเวลาลาถึงราว ๆ 8 ปี เพื่อเตรียมพร้อมทุก ๆ ด้านเพื่อการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขา 

เริ่มจากการคัดเลือกเมืองและสนามที่จะใช้ทำการแข่งขัน ซึ่งทาง รัสเซีย ได้เลือกเมือง โวลโกกราด เป็นเมืองแรก ๆ ที่จะใช้จัดแข่งขัน 

เหตุผลก็เพราะว่าเมือง ๆ นี้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ทางสงคราม และเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีสู่สายตาชาวโลก ทำให้คนได้เห็นว่าประเทศคอมมิวนิสต์ตัวพ่อของโลกอย่างรัสเซียมีศักยภาพแค่ไหน รัฐบาลกลางของพวกเขาจึงอนุมัติงบประมาณไว้ที่ราว ๆ 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อทำให้ทุกอย่างอลังการตามคำสั่งของนายใหญ่ 

พวกเขาตัดสินใจทุบสนามเดิมที่ชื่อว่า Central Stadium (สนามกีฬากลาง) ออก และสร้างสนามใหม่ที่นำเสนอชื่อของเมืองอย่าง โวลโกกราด สเตเดี้ยม เป็นตัวชูโรง 

ว่ากันว่าสาเหตุที่พวกเขาเลือกเมืองนี้ นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์แล้ว อาจจะเป็นเรื่องของการพัฒนาพื้นที่ในคราวเดียว แบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะเดิมที่บริเวณนี้เคยเป็นคลังน้ำมันของกองทัพรัสเซีย อาคารบ้านเรือนและที่ดินในแถบนี้มีราคาต่ำมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่พัฒนา แถมยังมีระเบิดถูกฝังดินไว้กว่า 300 ลูก 

ถ้าหากสนามใหม่ทำได้ดี กลายเป็นแลนด์มาร์ก จะทำให้พื้นที่รอบ ๆ มีราคาที่สูงขึ้น และความเจริญต่าง ๆ อาจจะตามกลิ่นของเงินมาไม่ยาก ... จะว่าไปนี่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะหลักการนี้ ประเทศอย่าง โปแลนด์ ก็เคยใช้มาก่อนในการจัดฟุตบอลยูโร 2012 ที่พวกเขาลงทุนกับเมืองและสนามกีฬาไปพร้อม ๆ กัน จนทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งภาครัฐและเอกชน 

สนามใหม่ถูกออกแบบให้จุได้ราว 45,000 คน มีโครงสร้างเหล็กทรงถ้วยสูงตระหง่าน ภายนอกดูหรูหราอลังการ และถูกโปรโมตว่าเป็น "อัญมณีแห่งโวลโกกราด" เพื่อรองรับการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มและรอบน็อกเอาต์ของบอลโลก ... แต่ก่อนที่อัญมณีจะได้เฉิดฉาย ปัญหามากมายก็ตามมา 

 

คอร์รัปชั่น งบบาน และงานก่อสร้างชุ่ย

ในการสร้างสนามแห่งนี้ ปูติน ไม่ได้ลงไปกำกับรายละเอียดเอง แต่เขาคือผู้เซ็นอนุมัติกรอบงบประมาณระดับชาติ ที่ใช้สร้างและปรับปรุงสนามทั้งหมด

มีรายงานว่าเขาเดินทางไปตรวจความคืบหน้าบางเมือง แต่สำหรับ โวลโกกราด อารีน่า ปูตินไม่ได้ลงไปตรวจเองบ่อยนัก เหตุผลอาจเพราะเขาปล่อยให้เป็นอำนาจการทำงานของรัฐบาลท้องถิ่น, กระทรวงกีฬา และบริษัทผู้รับเหมา อีกทั้งเมืองโวลโกกราด ยังอยู่ห่างจากกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ร่วม 1,000 กิโลเมตร แต่ด้วยระบบการเมืองรัสเซียที่รวมศูนย์อำนาจ ทำให้ทุกโครงการถือเป็น "งานของปูติน" ในสายตาประชาชน และการไม่ลงมาสั่งการหรือจี้ด้วยตัวเองของ ปูติน อาจจะเป็นรอยด่างพร้อยที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวของเขาเอง

การก่อสร้างเริ่มขึ้นจากงบที่อนุมัติก้อนแรกที่ 190 ดอลลาร์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ปัญหาคือ "เท่านี้ไม่จบ" ไม่นานนักหลังจากค่อย ๆ สร้างค่อย ๆ ต่อเติม งบประมาณก็บานปลายไปอยู่ที่เกือบ 343 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

งบบานปลายอาจเป็นเรื่องปกติของการก่อสร้างขนาดใหญ่ลักษณะนี้ แต่เหตุผลที่งบมันบานสำหรับกรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เดากันยากเย็นนัก เมื่อมีเค้กก้อนใหญ่มาวางลงตรงใจกลางเมืองที่หิวโหย ใครบ้างจะไม่อยากได้ส่วนแบ่งจากเค้กก้อนนี้ ? 

มีรายงานว่าผู้รับเหมาหลายรายฮั้วประมูล กินส่วนต่างจากงบประมาณ รวมทั้งใช้แรงงานราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน (แรงงานนำเข้าจากเอเชีย) สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งเรื่องลบ ๆ ที่ค่อย ๆ ตามมาในภายหลัง โดยมีข่าวตั้งแต่ก่อนฟุตบอลโลก2018 จะเริ่มขึ้นว่า มีรอยร้าวในโครงสร้างพื้นสนาม และระบบระบายน้ำไม่ได้มาตรฐาน

ส่วนคนที่ต้องใช้คำว่า "ซวย" ก็คือกลุ่มแรงงานเก่าที่เป็นผู้คนท้องถิ่นของเมืองนี้และทำงานในโรงงานเหล็กที่ทำกันมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องด้วยรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ต้องการให้เกิดความเสี่ยงในระหว่างการก่อสร้าง จึงตอบแทนด้วยการจ่ายค่าชดเชย และให้แรงงานกว่าครึ่งจากทั้งหมด 3,500 คนหยุดทำงาน 

ซึ่งเหตุผลของเรื่องนี้จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะการคอร์รัปชั่น จนมีทีท่าว่าการสนามจะไม่เสร็จก่อนถึงเวลาส่งมอบ จึงให้โรงงานต่าง ๆ ในบริเวณสนามหยุดการทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกของฝ่ายก่อสร้างสนามแห่งนี้ทำงานอย่างเต็มที่ 

อ้างอิงจากหน่วยงานด้านการก่อสร้างของรัสเซียเองก็ยังเคยออกมาเตือนว่า งานบางส่วของสนาม โวลโกกราด อาจเสร็จไม่ทัน แต่เพราะเวลาบังคับ จึงต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด เพื่อให้ทันการส่งมอบที่อาจจะนำมาซึ่งค่าปรับมหาศาลหากเสร็จไม่ทันกำหนด

 

"ผมกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ฝ่ายบริหารกำลังจัดการสถานการณ์นี้แย่มาก" มิคาอิล ปริวาลอฟ ช่างเชื่อมโลหะวัย 38 ปี กล่าวกับสื่ออย่าง ESPN พลางเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากขณะเดินเข้าไปในโรงงานซึ่งตั้งอยู่ใต้เงาของสนามกีฬา โวลโกกราด อารีน่า 

ปัญหาต่าง ๆ ทำให้เกิดผลลัพธ์ก็คือ สนามที่ควรจะเป็น "ความภาคภูมิใจ" ถูกวิจารณ์หนักตั้งแต่ยังไม่เปิดใช้งาน ว่าเป็นตัวอย่างของการบริหารงานที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ... แต่ไม่ว่าอย่างไร หาก ปูติน สั่ง สนามแห่งนี้ก็ต้องเสร็จตามเวลาให้ได้ ซึ่งการส่งมอบสนามก็ตรงเวลาจริง ๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาปิดช่องโหว่อย่างไรให้การส่งงานครั้งนี้ผ่านฉลุยกันแน่ 

แต่ความจริงนั้นเป็นสิ่งไม่ตาย เฉกเช่นเดียวกับการก่อสร้างที่โกงกินจนไม่ได้ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และแรงงานที่เชี่ยวชาญ ไม่นานรอยแผลของการโกงกินนี้จะออกมาเผยโฉมให้ทุกคนได้เห็นแน่นอน และ โวลโกกราด อารีน่า ก็เป็นเช่นนั้นด้วย 

 

ใครต้องรับผิดชอบ ?

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เริ่มต้น และสนามแห่งนี้ถูกใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หลังจากฟุตบอลโลกจบลงนี่แหละ ที่ความจริงหลายข้อได้ปรากฏขึ้น 

ปัญหาข้อแรกคือ รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถหาสโมสรฟุตบอลอื่นที่จะมาเช่าใช้สนามนี้ได้แบบที่ตั้งใจ เนื่องจากทีมประจำเมืองอย่าง โรเตอร์ โวลโกกราด ที่เคยคุ้นหูแฟนบอล เคยเจอยอดทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในถ้วย ยูฟ่าคัพ (ยูโรป้าลีก ปัจจุบัน) ในฤดูกาล 1995-96 ปัจจุบันก็เป็นแค่ทีมเล็ก ๆ ที่เล่นในลีกรองของรัสเซียเท่านั้น แต่สุดท้าย โรเตอร์ โวลโกกราด ก็ต้องใช้สนามนี้เป็นรังเหย้าอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่า สนามโหรงเหรง ยอดผู้ชมเฉลี่ยต่อเกมไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความจุ ที่มีรายงานว่าลดลงเหลือ 43,000 ที่นั่งด้วยซ้ำ

อีกทั้งเมื่อฟุตบอลโลกจบ ความใส่ใจจากภาครัฐก็น้อยลงมาก มีปัญหาตามมามากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะเป็น พื้นสนามหญ้าแห้งตาย ระบบน้ำที่พังไม่สามารถใช้งานได้ บริเวณอัฒจันทร์บางส่วนแตกร้าว และที่เหลือจะเชื่อก็คือหลังจากฟุตบอลโลก 2018 จบลงได้แค่ไม่กี่วัน และฝนตกหนักเพียงแค่ไม่กี่คืน พื้นที่รอบ ๆ สนามแห่งนี้ก็ทรุดตัวลงเป็นหลุมลึกกว่า 30 เมตร 

ชาวท้องถิ่นที่มีปัญหาแต่พูดมากไม่ได้ตั้งแต่ตอนสร้างจนถึงตอนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อในแง่มุมของความผิดหวัง และโทษใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะพวกเขาคิดว่านี่คือการเอาภาษีของประชาชนไปเผาทิ้งเพื่อเรียกคนมาดูกองไฟที่มีอายุแค่ 1 เดือน ตามเวลาแข่งขันฟุตบอลโลกเท่านั้น 

"ผมเสียใจแทนเมืองของเรามาก ๆ  พวกเขาลงทุนไปด้วยเงินจำนวนมากมายมหาศาล แต่แค่ฝนตกเท่านั้น น้ำฝนก็ชะล้างมันไปหมด" วิทาลี โอฟชินนิคอฟ ชาวบ้านวัย 19 ปี กล่าว

ขณะที่ มิคาอิล เนสเตเรนโก วัย 64 ปี ชาวท้องถิ่นอีกคนหนึ่งเสริมว่า "นี่มันโคตรจะไม่ใช่เรื่องปกติ สนามนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหาเงินให้รัฐบาลกลางหรือเปล่า เพื่อโกงกินเงินภาษีที่เราจ่ายให้พวกเขาใช่หรือไม่ ?"

ภายใต้กลิ่นที่เริ่มเหม็นโฉ่ โฆษกของรัฐบาลเมืองโวลโกกราดและ Sport In บริษัทของรัฐที่ควบคุมดูแลการก่อสร้างสนามนี้ ก็ให้เหตุผลที่ไม่ได้ช่วยให้ประชาชนรู้สึกดีขึ้นเลย เขาบอกว่า "มันโชคไม่ดีเลย เหตุการณ์แบบนี้ (ฝนตกหนัก) แทบจะเกิดขึ้ครั้งเดียวในรอบร้อยปี" ส่วนบริษัท Stroytransgaz ซึ่งเป็นผู้สร้างสนามกีฬาแห่งนี้ ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ กับเรื่องนี้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ รัฐบาลกลางที่นำโดย ปูติน ไม่เคยออกมาแถลงตรง ๆ ถึง โวลโกกราด อารีน่า หรือสนามที่มีปัญหาเลย ว่ากันว่ากลยุทธ์คือ "ปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลท้องถิ่น" และให้ผู้ว่าการเมืองหรือหน่วยงานกีฬาท้องถิ่นรับผิดแทน แม้จะมีบางคดีสอบสวนเรื่องการทุจริต แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถแตะถึงระดับผู้ใหญ่หรือเครือข่ายใกล้ชิดรัฐบาลเครมลินได้ 

ผ่านมาจนถึงตอนนี้ คำถามที่ว่า "ใครต้องรับผิดชอบ ?" ก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปพลาง รัฐบาลท้องถิ่นและสมาคมฟุตบอลรัสเซียพยายามหาทางออกด้วยการจัดงานคอนเสิร์ตและกิจกรรมกีฬาอื่น ๆ เพื่อหารายได้พยุง แต่สภาพสนามที่เสื่อมโทรมเร็วทำให้คนใช้น้อยลงเรื่อย ๆ ... และในภาวะสงครามที่ฟุตบอลรัสเซียไม่ได้ไปแข่งนอกประเทศ ทีมต่าง ๆ ก็ยิ่งเงินขาดมือ ทำให้การหาเงินเป็นเรื่องยากคูณ 2 เข้าไปอีก 

ที่สุดแล้ว โวลโกกราด อารีน่า จึงกลายเป็น "ภาพจำ" ของฟุตบอลโลก 2018 ในอีกด้านหนึ่ง ไม่ใช่แค่การโชว์พลังของรัสเซียต่อสายตาชาวโลก แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า ถ้าโครงการใหญ่ระดับชาติถูกบริหารด้วย การคอร์รัปชั่น ทำงานชุ่ย และการเมืองเหนือคุณภาพ สิ่งที่เหลืออยู่ก็อาจไม่ใช่ "ความภาคภูมิใจ" แต่เป็น "ซากปรักหักพัง" ที่ประชาชนต้องรับกรรมไปอีกนาน

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.abc.net.au/news/2018-07-19/world-cup-stadium-volgograd-arena-rain-damaged/10011714
https://www.espn.com/espn/wire?section=soccer&id=23800561
https://en.wikipedia.org/wiki/Volgograd_Arena
https://www.ksl.com/article/46343381
https://www.gq-magazine.co.uk/article/russia-world-cup-2018
https://thehimalayantimes.com/world/russian-official-faces-corruption-charges-world-cup

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ