Feature

ธีราทร บุญมาทัน : จาก 2 ใบแดง ใน 5 วัน สู่แบ็คซ้ายระดับเอเชีย | Main Stand

ไม่มีนักเตะไทยคนใดที่ประสบความสำเร็จมากเท่า ธีราทร บุญมาทัน อีกเเล้ว ไม่ว่าจะวัดจากมุมไหนก็ตาม 

 


เขาอยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์ไร้พ่ายในไทยลีกกับ 2 สโมสร อยู่ในทีมชาติไทยชุดที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และร่วมคว้าเเชมป์ เจ ลีก ลีกสูงสุดของญี่ปุ่นในฐานะ "นักเตะคนสำคัญ" ของทีม โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ... นี่คือเกียรติประวัติส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น 

นี่คือเรื่องราวของการตอบโต้และทวงความเป็น “ยอดนักเตะไทย” ของ ธีราทร บุญมาทัน จากจุดเริ่มต้นของนักเตะที่โดนทัวร์ลงหนักที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค สู่แบ็คซ้ายที่กลายเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า “ใครคือแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย” 

ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ ติดตามได้ที่ MainStand 

 

3 วัน 2 ใบเเดง 

ย้อนกลับไป 10 ปีก่อนวงการฟุตบอลไทยในส่วนของฟุตบอลลีกเริ่มตื่นตัว นักเตะหลายคนกลายเป็นที่รู้จักของแฟนบอล พวกเขาเริ่มมีสถานะของสตาร์ขึ้นมาบ้างหลังผ่านยุคเตะกันเองดูกันเองเมื่อครั้งในอดีต 

อย่างไรก็ตามในนามของทีมชาติไทย ช่วงเวลาสักปี 2011 มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายกับทัพช้างศึก และส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เป็นไปในแง่ลบ หลายสิ่งประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน แฟนบอลเริ่มบ่นและเกิดทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมามากมายจากความผิดหวังซ้ำซาก การบริหารที่ย่ำแย่, กุนซือเลือกเด็กเส้น และ นักเตะขี้แอค ทั้งหมดนี้จริงหรือไม่ ... ไม่มีใครสนใจ แต่เป็นเพราะผลงานที่จับต้องไม่ได้กระแสแง่ลบต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นในทุกวัน 

เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อไปกันหมด นักเตะทีมชาติไทยยุคนั้นต้องแบกความกดดันมากมาย เพราะความผิดหวังซ้ำซากเปลี่ยนให้แฟนบอลดูบอลกันแบบ "หาเรื่องจับผิด" ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับแฟนบอลทุกชาติอยู่เเล้ว เมื่อเริ่มเกมทุกคนออกสตาร์ทด้วยการเชียร์ทีมชาติไทย แต่พอเริ่มโดนยิงประตู รูปเกมเริ่มไม่สวย อาการ "ขัดคีย์บอร์ด" ก็เริ่มขึ้น นักเตะคนไหนที่พลาดแบบเห็นตำตา บอกได้คำเดียวเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ซวยหนัก" เพราะทัวร์จะลงที่พวกเขาแน่นอน 

นักเตะรุ่นก่อน ๆ โดนกันเป็นประจำ หลายคนโดนจนน้อยใจเองแล้วก็หายเองเพราะความเคยชิน อาทิ ดัสกร ทองเหลา หรือ ธีรเทพ วิโนทัย ... ทว่าหลังจากที่ทั้งสองเริ่มห่างหายจากการเป็นตัวหลักของทีมชาติ ผู้มารับไม้ต่อเเต่เพียงผู้เดียวในช่วงเวลานั้นคือ ธีราทร บุญมาทัน นั่นเอง ... ทำไมถึงต้องเป็นเขา ?

เหตุผลที่อะไร ๆ ก็ ธีราทร นั้นมีหลายข้อ ประการแรกนักเตะอย่าง ธีราทร คือนักเตะประเภทที่มีสไตล์การเล่นในสนามที่แน่นอนเอาตัวรอดเก่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดแอ็กชันในสนามของเขานั้นร้อนแรงกว่ามาก แววตาฉาบไปด้วยความมุ่งมั่น มีวิธีแสดงออกที่ค่อนข้างเกรี้ยวกราด พร้อมมีปากเสียงและชนกับทุกคนแบบไม่กลัวใคร 

ไม่ใช่แค่กับคู่แข่งในสนามเท่านั้น กับกองเชียร์ก็ด้วย เรามักจะเคยได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าเป็นนักฟุตบอลอย่าใส่ใจเสียงด่าของแฟนบอลในสนามหรือในยามไปเล่นเกมเยือนเพราะจะทำให้เสียสมาธิ นักเตะคนอื่น ๆ อาจจะทำแบบนั้น แต่ไม่ใช่กับ ธีราทร แน่นอน เขาจะเล็งหาจังหวะตอบโต้กลับด้วยสไตล์ที่ยียวนแบบแรงมาเเรงไป เรียกได้ว่าถ้าเป็นเกมจิตวิทยา ธีราทร ก็ชนะขาด ดังนั้นไม่ว่าจะไปสนามไหนในไทย (สมัยที่ยังค้าแข้งในไทยลีก) แฟนบอลคู่แข่งจะมีวลีเด็ดต้อนรับเสมอ "ไอ้***อุ้ม" ซึ่งถ้า ธีราทร ได้ยินคำนี้เมื่อไหร่ เตรียมตัวได้เลยว่าเขาจะหาจังหวะดี ๆ ตอกกลับแบบแสบ ๆ อย่างแน่นอน 

เรียกง่าย ๆ ว่าเขาเป็น "แบดบอย" คนหนึ่งของฟุตบอลไทยดูจะเหมาะสม นักเตะประเภทนี้จะโดนจ้องเล่นงานก่อนเสมอ มันเหมือนกับการที่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบคุณเป็นทุนเดิม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร รู้จริงขนาดไหนไม่สำคัญ พวกเขาพร้อมใจที่จะรอซ้ำเมื่อคุณผิดพลาดขึ้นมาเสมอ 

แม้จะเเข็งแกร่งขนาดไหน โดนแบบนี้บ่อย ๆ ก็อาจจะมีอารมณ์เตลิดไปบ้าง หนึ่งในเหตุการณ์ที่ ธีราทร เล่าว่า "เกือบปิดอาชีพนักฟุตบอล" ของเขานั้น คือเหตุการณ์ที่เขาโดนด่ามากที่สุดและกระหน่ำมาทีเดียวพร้อมกันทั้งประเทศ โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในปี 2011 ในตอนที่ ธีราทร อายุราว 20 ต้น ๆ และสามารถเล่นให้กับทีมชาติไทยได้ทั้งในชุดใหญ่และชุดซีเกมส์ (ต่ำกว่า 23 ปี) 

เรื่องเกิดขึ้นจากการที่ ธีราทร ลงเล่นให้ทีมชาติไทยในเกมคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 กับ ซาอุดีอาระเบีย ในเกมเยือน ซึ่งในเกมนั้น ธีราทร โดนใบเเดงและจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของไทย 0-3 ครั้งนั้นอาจจะมีคนวิจารณ์บ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะไทยเป็นรองเยอะ และหลายครั้งการตัดสินของกรรมการในเกมเยือนตะวันออกกลางของทีมชาติไทยก็มักจะต้องเจอกับอะไรประมาณนี้บ่อย ๆ อยู่เเล้ว 

แต่สิ่งที่ทำให้ ธีราทร ทัวร์ลงหนักที่สุดคือหลังจากนั้น 3 วัน เขาถูกเรียกตัวให้มาลงเล่นกับทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ 2011 ในเกมที่จะพบกับ อินโดนีเซีย ซึ่งตอนนี้ความคาดหวังต่างจากการไปเยือน ซาอุดีอาระเบีย มาก 

สำหรับแฟนบอลไทย เมื่อเป็นเกมระดับอาเซียนยังไงก็ควรต้องชนะทุกนัด บางนัดชนะน้อยก็ยังไม่พ้นกระแสวิจารณ์เลย แต่นัดนี้ทีมชาติไทยกลับแพ้ อินโดนีเซีย แบบหมดรูป ทุกคนชี้เป้าไปที่คนคนนี้ ธีราทร บุญมาทัน ผู้ที่โดนใบเเดงหลังจากลงสนามไปเพียง 10 นาที 

ใบเหลืองแรกเกิดจากการเตะบอลของคู่แข่งทิ้งเพื่อถ่วงเวลา และอีกใบคือการเล่นหนักใส่ผู้เล่นอินโดนีเซีย ตั้งแต่นาทีที่ 12 ของเกม และเมื่อเขาออกจากสนามไป ทีมชาติไทยก็จบเกมด้วยความพ่ายแพ้ 1-3 พร้อมกับตกรอบซีเกมส์สองสมัยติดต่อกันอย่างเป็นทางการ  วันนั้นแหละเป็นวันนี้ที่หลายคนรอให้ ธีราทร ล้ม รวมถึงแฟนบอลที่ไม่พอใจกับการเล่นแบบ "โชว์เก๋า" ที่ออกเสียงด่าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย  

แม้กระทั่งสื่อออนไลน์ที่เป็นสื่อที่เริ่มมีคนใช้กันเพิ่มขึ้นในสมัยนั้น ก็ยังมีการพาดหัวข่าวแรง ๆ เชิงต่อว่าและชี้เป้าใส่ ธีราทร ไม่น้อย ... มันเหมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ อย่าง Pantip หรือ Thailandsusu ต่างก็มีกระทู้ที่ขึ้นต้นด้วยชื่อของ ธีราทร ไหลเหมือนดั่งสายน้ำ นาทีนี้บอกได้คำเดียวว่าจะหานักเตะไทยที่โดนหนักเท่ากับที่ ธีราทร โดนไม่ได้อีกเเล้ว 

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน หรือเป็นปี ตำนานโดนใบเเดง 2 ใบใน 3 วันก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงตลอดมา สิ่งที่เกิดขึ้นบั่นทอนธีราทร โดยที่เจ้าตัวยอมรับเอง เขาแบกความกดดันไปด้วยทุกที่ เล่นฟุตบอลแบบไม่มีความสุข จนถึงขั้นอยากจะขอเลิกเล่นทีมชาติไทยอย่างถาวรตั้งแต่อายุ 20 กว่า ๆ เท่านั้น 

โชคยังดีที่การเป็นแข้งแนวแบดบอยในฟุตบอลไทยไม่ได้มีแต่เเง่ลบอย่างเดียว อย่างน้อยเขาก็เป็นแบดบอยที่เเข็งแกร่งพอที่จะพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดและมองหาวิธีแก้ปัญหาให้ตัวเองไปทีละเปลาะ ว่าทำอย่างไรเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

"ภายในเวลา 3 วัน ทำให้ทุกคนรู้จักผมในฐานะแพะรับบาป ยอมรับว่าเครียดมากถึงขั้นอยากอำลาทีมชาติ แต่พ่อก็เตือนสติว่า จะยอมเหนื่อยมาทั้งชีวิตเพื่อยอมแพ้วันนี้จริงเหรอ ?" ธีราทร กล่าวถึงความรู้สึกในเวลานั้นจากบทสัมภาษณ์กับ Posttoday  

ธีราทร เล่าว่าเขาหนีไปบวชช่วงสั้น ๆ และกลับมาอีกครั้งในบทธีราทรคนเดิมที่ไม่กลัวใครอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาเก๋าหรือยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่เขามีบทเรียนเเล้วว่า อารมณ์ร้อนของเขาส่งผลเสียกับทีมและตัวเองแค่ไหน จากเหตุการณ์ 2 ใบเเดงใน 3 วันครั้งนั้น

"ฟีดแบ็กเรื่องใบแดงยังคงถูกหยิบมาใช้เตือนสติทุกครั้ง จนทุกวันนี้คิดว่าตัวเองปรับปรุงเรื่องอารมณ์ได้ดีขึ้นมาก" ธีราทร ยืนยันว่าความผิดพลาดได้เปลี่ยนเป็นบทเรียนไปแล้ว ใครจะไม่ลืมและจะด่าเขาจากเรื่องนั้นเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปห้าม แต่สิ่งสำคัญคือ จากนี้ ธีราทร คนนี้จะเดินลุยไปข้างเพื่อลบข้อครหาทั้งหมดด้วยความทะเยอทะยานเท่านั้น 

 

แบ็คซ้ายหมายเลข 1 ของไทย ?

เชื่อเถอะว่าอดีตที่โหดร้ายครั้งนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ ธีราทร หลังจากนั้น "อุ้มคนเดิม" เพิ่มเติมคือพัฒนาการ ก็เริ่มฉายแสงให้แฟนฟุตบอลไทยได้เห็น ผ่านลีลาการเล่นแบ็คซ้ายให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ประสบความสำเร็จที่สุดด้วยการเป็นเเชมป์ไร้พ่าย 

สไตล์ของ ธีราทร เหมือนกับมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จากที่เคยเป็นแบ็คที่ยืนชิดเส้น เขาสามารถเพิ่มทักษะการครอบครองบอลในแบบที่นักเตะคนไหนในไทยลีกก็ยากจะแย่งบอลไปจากเท้า

นอกจากนี้จากที่เคยเด่นแค่บอลครอสริมเส้น ธีราทร กลายเป็นนักเตะที่มีบอลสั้นแม่นยำ แกะเพรสซิ่งเก่ง และยังมีลูกโยนข้ามกองหลังแบบทะลุรวดเดียวให้กองหน้าได้ยิงประตูเลยให้เห็นอยู่บ่อย ๆ และเหนือสิ่งอื่นใดคือหน้าที่สำคัญที่สุดของกองหลังนั่นคือ "เกมรับ" จากแบ็คจอมบุก ธีราทร ผ่านการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง และตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเป็นนักเตะที่เก่งขึ้น ซึ่งเขาก็ทำได้จริง ๆ เกมรับแน่น เกมรุกเป๊ะ การอ่านเกมเฉียบขาด และความเข้าใจจังหวะฟุตบอลที่ถือว่ายกระดับไปอีกขั้น 

ธีราทร พา บุรีรัมย์ คว้าแชมป์ไร้พ่าย อีกทั้งยังเข้าถึงรอบ8 ทีมสุดท้ายใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากนั้นไม่นานเขาตอกย้ำความสำเร็จด้วยการย้ายไปอยู่กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และอยู่ในทีมชุดแชมป์ไร้พ่ายสมัยที่ 2 ที่มี ธชตวัน ศรีปาน คุมทีม รวมถึงการเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายใน เเชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง 

“มีหลายครั้งที่รู้สึกท้อ แต่พอหันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง ผมก็กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง ใครอยากเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง การซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม นั่นแหละคือกุญแจไปสู่ความสำเร็จ ตอนนี้ผมพอใจฟอร์มการเล่นตัวเองมากจริง ๆ" ธีราทร กล่าว ณ เวลานั้น 

ว่ากันว่าตอนนั้น ธีราทร เอาจริงเอาจังกับการยกระดับตัวเองมากถึงขั้นที่หลังจากแข่งเสร็จจะมีการค้นสถิติในเกมนั้นของตัวเองมานั่งศึกษาว่า วิ่งไปกี่กิโลเมตร ? สกัดบอลกี่ครั้ง ? สกัดแม่นยำแค่ไหน ? และการส่งบอลแม่นขนาดไหน ? ทุกสิ่งก็เพื่อการจะกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ 

เรียกได้ว่าตอนนั้น ธีราทร เล่นได้ระดับเดียวกับนักเตะต่างชาติที่แบกทีมในไทยลีกได้เเล้ว นอกจากนี้ยังเป็นกัปตันทีมชาติไทยและอยู่ในชุดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบหลายปีด้วย ความเก๋า มาตรฐาน คุณภาพ และการจัดการกับอารมณ์ ทำให้คำติฉินและด่าทอเริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นคำชมและการยอมรับในความสามารถ 

จากกระทู้ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ที่ตั้งแง่เรื่องบอลนักเลง ขี้เก๊ก ขี้แอค ไม่เหมาะกับทีมชาติ หัวข้อของเรื่องก็เปลี่ยนไปเป็นคำถามที่ว่า ธีราทร คือแบ็คซ้ายที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติไทยหรือยัง ? ซึ่งคำตอบนี้ ธีราทร ไม่เคยออกมายอมรับและพูดยกยอตัวเองเลยสักครั้ง เหตุผลเป็นเพราะอะไรน่ะหรือ ? 

 

เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ประเทศไทย

หลังจากประสบความสำเร็จทุกอย่าง ถ้าเป็นวิดีโอเกมส์ก็คงจะเล่นเกมเเบบเคลียร์ Achievement ได้ 100% สำหรับการเล่นในไทยลีก ธีราทร ตามฝันของตัวเองในลำดับต่อไปทันที 

เขาเคยบอกเอาไว้ตอนที่อายุ 23 ปีว่า "อยากโกอินเตอร์เพื่อหาประสบการณ์ โดยอยากเริ่มต้นในระดับเอเชียก่อน เพื่อเก็บเลเวลไปเรื่อย ๆ อาจเริ่มจากญี่ปุ่นหรือเกาหลีอะไรประมาณนี้ ขณะนี้เริ่มมีแมวมองต่างชาติเข้ามาดูฟอร์มเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าทุกอย่างลงตัวก็พร้อมเดินทางไปเก็บชั่วโมงบินต่างแดนทันที"

ซึ่งวันนั้นก็มาถึงจริง ๆ เมื่อสโมสร วิสเซล โกเบ ทีมจากลีกสูงสุดของญี่ปุ่นยื่นข้อเสนอให้กับ เมืองทอง ที่เป็นต้นสังกัด ทางเมืองทองก็ยินดีพร้อมปล่อยนักเตะให้ไปเจอเวทีที่ใหญ่กว่าอยู่แล้ว และ ธีราทร ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล เพราะนี่คือสิ่งที่เขารอคอยมานาน  

ความผิดหวังอาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาอาจจะพบว่าตัวเองนั้นตัวเล็กจ้อยมากเมื่อออกจากประเทศไทยที่หลายคนยกย่องให้เขาเป็นเบอร์ 1 ... แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปรู้ โอกาสแบบนี้ถ้าผ่านเลยไปแล้วจะไม่มีทางกลับมาง่าย ๆ ธีราทร ตัดสินใจย้ายไปญี่ปุ่น และเริ่มต้นด้วยสถานะ "นักเตะไทยที่ไม่มีใครรู้จัก" 

“อยู่เมืองไทยชื่อเสียงผมก็มีในระดับหนึ่ง เงินก็มีในระดับหนึ่ง ไม่ต้องปรับตัวก็ได้ แต่ชีวิตมันไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม มาที่นี่ผมรู้ว่าผมอยู่เพื่อพัฒนาตัวเอง” ธีราทร เผยผ่าน The Cloud  

ขวบปีแรกแห่งการเรียนรู้นั้นยากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย ธีราทร รู้อยู่เเล้วว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างจากสถานะนักเตะซูเปอร์สตาร์ในไทยลีกสู่โนวันในเจลีก เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองกับเพื่อนนักเตะ โค้ช และแฟนบอล ซึ่งมันคือการนับหนึ่งใหม่อีกครั้งที่เขาเต็มใจจะเจออย่างที่สุด

"พูดตามตรงแล้ว ในตอนแรกผมคิดว่าตัวเองน่าจะปรับตัวได้ไม่ยากนัก แต่ในความเป็นจริงนั้นผมกลับรู้สึกตกใจมากที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรในช่วงแรกได้เลย ต่อให้มีชื่อเสียงในเมืองไทยแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไรกับที่นี่ทั้งสิ้น"

"อย่างแรกสุดเลยคือทิ้งศักดิ์ศรีไปก่อนครับ ถึงตอนอยู่ในไทยจะถูกทุกคนปฏิบัติเหมือนกับเป็นซูเปอร์สตาร์ก็ตาม แต่พอมาญี่ปุ่นแล้วแทบไม่มีใครรู้จักชื่อของ "ธีราทร บุญมาทัน" เลยสักคน เพราะฉะนั้นเลยต้องรีเซ็ตตัวเองในแง่ที่ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงเกียรติศักดิ์ใด ๆ ทั้งสิ้นครับ นอกจากนั้นผมยังต้องปรับสไตล์การเล่นของตัวเองให้เข้ากับญี่ปุ่น ผมต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่การฝึกฝน แทคติกและเทคนิคครับ" 

ธีราทร ได้โอกาสในระดับหนึ่งที่ โกเบ แต่ก็เป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่จากการได้เล่นร่วมกับนักเตะระดับเเชมป์โลกอย่าง ลูคัส โพดอลสกี้ และ อันเดรียส อิเนียสต้า เหนือสิ่งอื่นใดคือการได้มาลองกับตัวเองจริง ๆ เสียทีว่าฟุตบอลญี่ปุ่นที่เขาสงสัยมาตลอดว่าต้องฟิตแค่ไหนต้องซ้อมขนาดไหนจึงจะเล่นได้นั้นเป็นอย่างไร 

1 ปีกับโกเบจึงเป็นเหมือนห้องเรียนสำคัญที่ทำให้ ธีราทร ใช้บทเรียนเหล่านี้อีกครั้งในการกลับมาเล่นในเจลีกครั้งที่ 2 กับ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ในปี 2019 

เมื่อมีพื้นฐานการต่อยอดก็ไม่ยากจนเกินไปนัก ที่ มารินอส ตำแหน่ง "อินเวิร์ตฟูลแบ็ค" หรือแบ็คที่สามารถเข้าไปช่วยเชื่อมเกมตรงกลางได้ กลายเป็นหน้าที่หลักของ ธีราทร เขาเรียนรู้ได้ไว ทำงานหน้ก ศึกษาวิธีการเล่นที่แตกต่าง จากนั้น ธีราทร ใช้เวลาไม่นานก็เอาชนะใจ อันเก ปอสเตโคกลู กุนซือของ มารินอส ได้อย่างรวดเร็ว 

"มันยอดเยี่ยมมากสำหรับธีราทร เขาทำงานอย่างหนักเพื่อเราในฤดูกาลนี้ และเรียนรู้ที่จะเล่นในวิธีที่แตกต่างออกไป” 

“ผมพอใจในฝีเท้าของเขา แน่นอนว่าธีราทรเป็นผู้เล่นคนสำคัญของผม เพราะเขารู้ว่าจะต้องหยุดคู่แข่งอย่างไร และเปิดเกมบุกอย่างไร”  กุนซือชาว ออสเตรเลีย กล่าว 

ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงไปมากกว่านี้อีกเเล้ว สิ่งที่ทุกคนพูดถึง ธีราทร ต่างตรงกันหมด การศึกษาวิธีการเล่นของตัวเองและทีม การศึกษาคู่แข่ง การเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ การเป็นตัวของตัวเองไม่ทิ้งสไตล์ต้นตำรับ และท้ายที่สุดคือการทำงานหนักเพราะรู้ว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่ 

ทุกอย่างกลั่นออกมาด้วยการเป็นนักเตะไทยคนแรกที่คว้าเเชมป์ลีกสูงสุดของญี่ปุ่น ดังนั้นคำถามที่เคยถามกันว่า "ธีราทร คือแบ็คซ้ายเบอร์ 1 ของเมืองไทยหรือไม่ ?"  คงไม่ต้องให้เจ้าตัวมาตอบและแจกแจงให้เสียเวลา เพราะสิ่งเขาทำทั้งหมดตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มากพอที่จะใช้อ้างอิงคำตอบของคำถามนี้ได้อย่างแท้จริง 

 

แหล่งที่มา

ธีราทรศึกษา : ถอดวิธีคิดของนักฟุตบอลไทยคนแรกที่คว้าแชมป์เจลีก | MAIN STAND
https://www.posttoday.com/life/healthy/253956
https://www.soccerdigestweb.com/th/news/detail2/id=47518
https://pantip.com/topic/33064454

Author

วิรวิชญ์ เจริญเชื้อ

The handsome boy like Jackson Wang and the best singer of Main Stand.

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น