Feature

ราชา Old School : ความดื้อ และทัศนคติที่ไม่เคยหายไปของ เดวิด มอยส์ | Main Stand

เอาเข้าจริง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงงานเดียวเท่านั้นที่สามารถพูดได้ว่า เดวิด มอยส์ ทำงานล้มเหลว นั่นคือตอนคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2013 ซึ่งตกงานภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี

 

เพราะเมื่อเราเหลือบมองงานที่ผ่าน ๆ มาของเขา เขาล้วนเป็นที่รักของแฟน ๆ แทบทุกสโมสรที่เขาไป และที่ เอฟเวอร์ตัน ก็เช่นกัน 

มอยส์ คือคนที่ใช่ที่สุดของ เอฟเวอร์ตัน ในรอบ 10 กว่าปี นับตั้งแต่ตอนที่เขาอำลาทีมออกมารับงานใหญ่

เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ยังคงไม่เปลี่ยน ... ทำไมฟุตบอลของ เดวิด มอยส์ จึงทนทายาท จนได้รับคำกล่าวว่า "You never kill David Moyes."  

หาคำตอบกับ Main Stand 

 

นักซ่อมมืออาชีพ

ถ้าแยกประเภทกุนซือเจ๋ง ๆ ในโลกฟุตบอลให้เห็นภาพชัด ๆ คงมีกุนซืออยู่ 3 แบบ ได้แก่

1. กุนซือนักสร้าง ว่าด้วยการสร้างทีมจาก 0 หรือการค่อย ๆ ประกอบทีมขึ้นมาจนเริ่มแข็งแกร่ง มีคาแร็คเตอร์ และสไตล์การเล่นชัดเจน อาทิ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่เป็น "หัวแถว" ของกุนซือประเภทนี้

2. กุนซือผู้ต่อยอด คือกุนซือที่พร้อมจับงานเพื่อวิ่งชนความสำเร็จทันที เป็นกุนซือที่คุณสามารถมั่นใจได้ว่า ถ้าทีมของคุณมีนักเตะที่มีคุณภาพมากพอ และต้องการใครสักคนพาทีมชุดนี้ไปให้ถึงแชมป์ คุณสามารถเชื่อใจโค้ชคนนั้นได้ อาทิ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ในอดีต 

3. กุนซือนักซ่อม กล่าวคือในวันที่ทีมของคุณเดินผิดทาง ทีมเริ่มเสียขวัญ มีแววแตกกระเจิง โค้ชคนเก่าโดนไล่ออก นักเตะในทีมฟอร์มไม่ดี ต้องการใครสักคนกลับมารวมทีมให้เป็นหนึ่ง และฟื้นจากจุดเดิมโดยเร็วที่สุด ... ตัวอย่างที่ชัดที่สุดในกุนซือกลุ่มนี้ก็คือ เดวิด มอยส์  

มอยส์ คือหนึ่งในตำนานกุนซือของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่อาจจะไม่เคยได้แชมป์ลีก ทว่าเส้นทางของเขาที่ผ่านมา ได้สะท้อนตัวตนและแนวคิดการทำทีมฟุตบอลของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน เขารู้ว่าด้วยนักเตะที่มี เขาควรวางรูปแบบการเล่นแบบไหนออกมา 

มอยส์ คือ 1 ใน "โค้ชยุคเก่า" ในโลกของ "โมเดิร์นฟุตบอล" งานส่วนใหญ่ที่เขาได้รับจึงไม่ใช่งานคุมทีมระดับท็อป แต่มักจะเป็นงานประเภทเข้าไปซ่อมในทีมที่กำลังต้องการเริ่มต้นใหม่กับอะไรสักอย่าง เป็นทีมที่ไม่ได้ตั้งความหวังสูงมาก ขอแค่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนค่อย ๆ เดินหน้าได้อย่างมั่นคง ... หลายครั้งเขาทำตามเป้าหมายนั้นได้ เพราะว่าเขามีหนึ่งในสูตรสำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาตกผลึกจากการทำงานในระดับสูงมากว่า 20 ปี  

สิ่งที่นักเตะที่เคยร่วมงานกับ มอยส์ พูดตรงกันถึงสูตรสำเร็จนั้นก็คือ วิธีการทำงานในแบบโค้ชยุค "โอลด์สคูล" ไม่ได้เน้นเรื่องแท็คติกที่ซ้ำซ้อน รูปแบบการซ้อมที่ล้ำหน้า หรือสีสันการให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ฉูดฉาด แต่มันคือการซ่อมทัศนคติหลังบ้านให้กับนักเตะทุกคน งานของ มอยส์ คือเมื่อเขาเข้ามาทำงานแล้ว นักเตะของเขาต้องเริ่มยอมรับความจริงว่า ทีมของพวกเขาไม่ใช่ยอดทีม และเริ่มส่องกระจกมองตัวเองอีกครั้งว่า ที่ผ่านมา พวกเขาได้ทุ่มเทถึงที่สุดแล้วหรือยัง ? 

คุณจะเห็นได้ในทุก ๆ ทีมที่ มอยส์ ไป ทีมของเขามักไม่ใช่ทีมที่มีเชิงบอลสูง แต่มีนักเตะคาแร็คเตอร์ชัด ๆ ห้าว ๆ เตะเป็นเตะ หวดเป็นหวด ยิ่งเมื่อคาแร็คเตอร์แบบนี้ไปอยู่กับนักเตะที่ตัวใหญ่ ๆ แข็งแรง ๆ ทีมของเขาจึงเป็นทีมล้มยักษ์ได้บ่อย ๆ 

ดีแคลน ไรซ์ หนึ่งในนักเตะที่กลายเป็นกองกลางระดับโลกในปัจจุบัน เคยร่วมงานกับ มอยส์ ที่ เวสต์แฮม ตั้งแต่การเข้ามาซ่อมทีมต่อจาก มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือดีกรีแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งการมาของ มอยส์ ได้ซ่อมเรื่องทัศนคติ กับวินัยให้นักเตะ จนเป็นจุดเริ่มต้นของการพาทีมขุนค้อนคว้าแชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ในฤดูกาล 2022-23 ... และสำหรับ ไรซ์ เขาบอกว่า มอยส์ คือกุนซือที่ดีที่สุดตลอดกาลของ เวสต์แฮม เลยทีเดียว

"มอยส์ เป็นโค้ชที่เชื่อเรื่องการทำงานหนัก มีวินัย และเรียกร้องสิ่งที่ดีที่สุดจากนักเตะเสมอ สำหรับผม เขาเข้ามาและค่อย ๆ เริ่มแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ในทีมได้อย่างถูกต้อง เขาเริ่มบอกพวกเราว่า ทีมของเราวิ่งไม่เยอะพอ ทำงานหนักน้อยเกินไป และเราเอ้อระเหยจนปล่อยให้มาตรฐานของทั้งทีมต่ำลง นั่นละคือสิ่งที่เราเป็น และเขาอยู่กับเราตั้งแต่วันแรก" ไรซ์ กล่าวหลังทีมเถลิงแชมป์ยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ภายใต้ปรัชญาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังของ มอยส์ ที่ว่าด้วยการ "ลงมือทำและทำงานหนัก โดยไม่หวังคำชมเชย"

 

เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจขีดจำกัด 

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น มอยส์ ไม่ใช่โค้ชรุ่นใหม่สายแท็คติกจ๋า แต่งานของเขาเน้นเรื่องทัศนคติ ความทุ่มเท และสร้างคาแร็คเตอร์ก่อนเป็นหลัก หรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาเข้าใจว่านักเตะที่เขามีสามารถทำอะไรได้มากแค่ไหน ดังนั้นเขาจะไม่เรียกร้องอะไรที่เกินตัว แต่ขอให้ทุกคนได้แสดงสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา เราจึงได้เห็นนักเตะบางคนเก่งกาจมาก ๆ ในมือของเขา เหตุผลก็เพราะ มอยส์ ดึงจุดแข็งของแต่ละคนมาใช้ได้อย่างถูกต้อง

นักเตะหลายคนเข้าเกณฑ์นี้ มารูยาน เฟลไลนี่ กองกลางตัวรับที่เชื่องช้า กลายเป็นเจ้าเวหาที่พร้อมเล่นงานทุกทีม ในขุมกำลัง เอฟเวอร์ตัน ภาคแรกของเขา ขณะที่กับ เอฟเวอร์ตัน ภาค 2 เมื่อปลายซีซั่น 2024-25 มอยส์ ก็ปลุกผีด้วยการเปลี่ยน เบโต้ กองหน้าที่ยิงได้แค่ 3 ลูกในปี ใน 30 เกมลีกก่อนหน้านี้ ให้กลายเป็นเบอร์ 9 แบบบอลโบราณที่แข็งแกร่ง และยิงประตูจนพาทีมรอดตกชั้นได้สบาย ๆ 

"เขาไม่ได้แก้ที่แท็คติกเป็นอย่างแรก แต่เขาเริ่มแก้ที่ความมั่นใจให้กับนักเตะก่อน" เบโต้ กล่าวกับ BBC ในช่วงปลายซีซั่น 2024-25 ถึงสาเหตุที่เขากลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งในยุค มอยส์ 

"มอยส์ คุยกับผมตรง ๆ ถึงสิ่งที่เขาอยากจะได้จากผม จากนั้นเขาส่งให้ผมไปซ้อมพิเศษกับทีมงานโค้ชชุดใหม่ ผมเริ่มแก้ไขเรื่องการครองบอล การจบสกอร์ ให้ดีขึ้น เขาไม่ได้กดดันอะไรมากมาย แค่บอกผมว่า 'เล่นเกมของนายไป เล่นให้เป็นระบบ นายจะช่วยเราได้เยอะ' เขาชอบให้ผมเล่นเกมของตัวเอง วิ่งสอดมาจากแดนหลัง คือส่วนสำคัญในเกมของผม"  

จะเห็นได้ว่า มอยส์ ไม่ได้บอกให้ เบโต้ ต้องเล่นแบบ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ หรือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แต่เขาแค่ต้องการให้ เบโต้ เอาจุดแข็งออกมาใช้ และกลับมาเล่นด้วยความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเตะไม่เคยทำได้มาก่อนหลังย้ายมาจาก อูดิเนเซ่ ด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร เมื่อปี 2023 ... ต่อให้ไม่ได้เป็นคนซื้อ แต่จุดแข็งของ มอยส์ คือการมีคู่มือสำหรับใช้งานนักเตะในทีมได้เป็นอย่างดี 

เรื่องนี้ แม้แต่เว็บไซต์ทางการของพรีเมียร์ลีก ก็ยืนยันความเก่งในการหาจุดแข็งนักเตะของ มอยส์ ว่า "หลังจาก มอยส์ มา เบโต้ ยิงไป 5 ประตูจาก 4 เกม และเป็นลูกยิงประเภทรับบอลแนวลึก ทะลุช่องมาจากแดนกลางถึง 4 ลูก ค่อนข้างแตกต่างกับตอนที่ ฌอน ไดซ์ คุมทีม ที่เน้นวางบอลยาวให้กับเขา" 

"เพราะถึงแม้ เบโต้ จะเป็นนักเตะตัวใหญ่และสูงถึง 190 เซนติเมตร แต่เขาไม่ใช่กองหน้าที่ชอบดวลลูกกลางอากาศและเล่นเกมรับตลอดเวลา เขาเป็นกองหน้าฉลาดที่เล่นได้ดีเมื่อต้องเจอกับกองหลังตัวสุดท้าย มอยส์ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว" 

ไม่ใช่แค่ เบโต้ เท่านั้นที่พูดถึง มอยส์ ในแง่ของการหาวิธีการเล่นที่สอดคล้องกับความถนัดให้กับเขา นักเตะรุ่นปัจจุบันอีกคนที่เป็นผู้เล่นระดับคีย์แมน อย่าง อิลลิมาน เอ็นดิอาย ก็พูดตรงกันแทบจะทุกคำ เขาบอกว่า มอยส์ รู้ว่าทีม เอฟเวอร์ตัน ชุดนี้ไม่ใช่ทีมชุดที่เต็มไปด้วยนักเตะที่มีพรสวรรค์ด้านความคิดสร้างสรรค์ หรือเต็มไปด้วยจินตนาการด้านฟุตบอล ดังนั้นเขาจึงให้อิสระในเกมรุกกับ เอ็นดิอาย กับการเป็นตัวหลักในการขึ้นเกมจังหวะสวนกลับ และเมื่อ เบโต้ คืนฟอร์ม ทั้งคู่ก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย  

คอมโบเกมสวนกลับ หรือการเล่นเกมรุกโดยนักเตะไม่กี่คน เป็นสิ่งที่ มอยส์ ทำสำเร็จมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ทิม เคฮิลล์ กับ มารูยาน เฟลไลนี่, จาร์ร็อด โบเว่น กับ มิคาอิล อันโตนิโอ และล่าสุด เอ็นดิอาย กับ เบโต้ เห็นได้ชัดว่านี่คืออีกหนึ่งสูตรสำเร็จของเขา การมีนักเตะเกมรุกที่เข้าใจหน้าที่ ทำให้แท็คติกตีหัวเข้าบ้าน เกมรับเหนียว ๆ กับบอลไดเร็กต์ไม่กี่จังหวะของเขา พร้อมแผลงฤทธิ์จนเป็นตัวแสบกับคู่ต่อสู้ทุก ๆ ทีมได้เสมอ 

 

เข้าใจแฟนบอล 

ฟุตบอลของ เดวิด มอยส์ แม้จะเป็นบอลโบราณสายโอลด์สคูล แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ได้เหมือนกับกับบอลโบราณในสไตล์ของ ฌอน ไดซ์ เสียทีเดียว 

บอลของ มอยส์ จะรับเต็มรูปแบบ ก็ต่อเมื่อเจอทีมที่แข็งแกร่งกว่า ต่อบอลดีกว่า และคุณภาพนักเตะเหนือกว่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นของ มอยส์ ก็คือ เมื่อต้องให้เล่นเอาใจแฟนบอล หรือกล่าวคือ เมื่อถึงจังหวะจำเป็นต้องห้าว ต้องเล่นเกมรุกแบบขึ้นไปกดหัวคู่แข่ง เขาก็ทำได้เช่นกัน 

แม้หลายครั้งจะดูเหมือนการดื้อ ทำในสิ่งที่เกินตัว แต่ มอยส์ ก็มีวิธีของเขา และวิธีนั้นคือการคาดการณ์จากสิ่งรอบตัว 

ว่าง่าย ๆ ก็คือ มอยส์ จะทำแบบนั้นก็ต่อเมื่อเขารู้สึกว่าสถานการณ์เป็นใจ และมีกระแสของแฟน ๆ บนอัฒจันทร์หนุนหลังทีมของเขาเต็มที่แล้วเท่านั้น 

ลีออน ออสมาน ศิษย์คู่บุญของ มอยส์ อีกคน พูดถึงประเด็นนี้ว่า ความเก่งของ มอยส์ อีกอย่างคือการเข้าใจธรรมชาติของแฟนบอลทีมตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ทีมได้เล่นในบ้าน มอยส์ จะเริ่มกล้าเสี่ยงมากขึ้น เพราะเขารู้ว่ามันจำเป็นที่ทีมจะต้องเปิดเกมบุกบ้าง เล่นให้ดุดัน เข้าบอลหนัก ๆ วิ่งบีบ เพรสซิ่งคู่แข่ง เพราะนี่คือสิ่งที่แฟนบอลใน กูดิสัน พาร์ค หรือแม้กระทั่งในสนามใหม่อย่าง ฮิลล์ ดิกคินสัน สเตเดียม ต้องการ 

แฟนบอล เอฟเวอร์ตัน แม้จะเป็นแฟนบอลที่มักเจียมตัว แต่ก็ชอบให้ทีมรับบทผู้บดขยี้ พวกเขาชอบการเล่นแบบนี้มาก เวลาที่ มอยส์ เริ่มสั่งนักเตะไล่บี้ แฟนบอลในสนามจะเริ่มส่งเสียงเชียร์ดังขึ้น เสียงเคาะเหล็ก และเสียงตะโกนดังจากทั่วทุกสารทิศ เสียงพวกนี้ยิ่งทำให้นักฟุตบอลของ มอยส์ มีแรง และเล่นตอบสนองแฟนบอลได้ดีขึ้น 

"ผมลงเล่นพรีเมียร์ลีกมากกว่า 200 นัดภายใต้การคุมทีมของ มอยส์ สไตล์การเล่นของเขาอาจจะดูสนุก แต่ก็เป็นสไตล์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเช่นกัน" ออสมัน เริ่มเล่า

"ตอนนี้เขาอายุมากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตอนที่เขาเข้ามาคุมทีมครั้งแรกในปี 2002 แต่ความกระตือรือร้นของเขายังคงอยู่ชัดเจน เขาเก่งมากที่ทำให้เราลุกขึ้นมาพร้อมแข่งขันด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าคู่แข่งจะเป็นใครก็ตาม เขาจะคอยแจ้งข้อมูลทางยุทธวิธี คอยกดดันเรา แล้วก็ส่งเราออกรบ พอพวกเราจะอยู่ในอุโมงค์แล้วตะโกนว่า 'ไปกันเถอะ' นั่นแหละ มันเป็นความรู้สึกที่มันชะมัดเลย" 

"เขาเคยคุมทีมลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกมากกว่าผู้จัดการทีม เอฟเวอร์ตัน ทุกคน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าฝูงชนในสนามเป็นอย่างไร พวกเขาคาดหวังอะไร และทีมจะตอบสนองแฟนบอลพวกนี้ได้ยังไง บางทีผมคิดว่าเขารู้ด้วยว่า ในช่วงเวลาใด ที่เสียงของกองเชียร์สามารถช่วยทีมได้ดีที่สุด"

หากคุณเป็นสโมสรที่ต้องการใครสักคนเข้ามาทำอะไรสักอย่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงจากจุดที่ย่ำแย่ที่สุด ให้เริ่มเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่นักเตะของเขาได้กล่าวถึง เดวิด มอยส์ จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไมโค้ชคนนี้จึงเป็นคนที่ทีมระดับกลาง หรือกลางค่อนล่างต้องการตัวเสมอ 

ชายผู้เรียกร้องสิ่งที่ดีที่สุดจากนักเตะ และเมื่อพบแล้ว เขาจะหาวิธีใช้มันอย่างเหมาะสม ปกครองทีมด้วยความตรงไปตรงมา ไม่ตึงเกินไป และมีไม้นวมไว้คอยสอนนักเตะที่อาจจะด้อยเรื่องคุณภาพให้เข้าใจวิธีการเล่นของทีมมากขึ้น ปิดท้ายด้วยการรู้ว่า นักเตะและแฟนบอลจะเสริมส่งกันอย่างไร

นี่คือวิธีการทำงานของ เดวิด มอยส์ หนึ่งในโค้ชผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีก แม้ว่าเขาจะไม่เคยคว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกมาครองได้เลยสักสมัยก็ตาม แต่วิธีการทำงานของเขาก็ตอบเราหมดแล้วว่า ทำไมเขาจึงถูกยกให้เป็น "ปูชนียบุคล" ของฟุตบอลอังกฤษ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://lastwordonsports.com/football/2025/03/01/david-moyes-beto-everton/
https://www.premierleague.com/en/news/4249917
https://www.theguardian.com/sport/2003/apr/06/football.newsstory
https://www.theguardian.com/football/2023/jun/08/declan-rice-claims-david-moyes-is-the-best-manager-west-ham-have-ever-had
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c2031qg8py4o

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ