Feature

จู๊ด ซุ่นทรัพย์-เบลล์ : ก่อนลงเอยทีมชาติไทย เกิดอะไรกับ "เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยหยุดทำประตู" ? | Main Stand

หากยังจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนที่แฟนบอลชาวไทยรู้ว่า จู๊ด ซุ่นทรัพย์-เบลล์ มีเชื้อสายไทย คอมเมนต์อยากให้เขามาเล่นให้ทีมชาติไทยมากมายจนเป็นเอกฉันท์ 

 


และบ้างก็ว่า "เก่งขนาดนี้เขาคงเลือกทีมชาติอังกฤษก่อน" แต่ที่แน่ ๆ เราหวังว่าถ้าเขามาเล่นทีมชาติไทย คงแก้ปัญหากองหน้าของทีมได้แน่นอน 

อย่างไรก็ตาม ตัดภาพกลับมาตอนนี้ เกิดอะไรขึ้นกับ จู๊ด ที่เลือกเล่นให้ทีมชาติไทย แต่คอมเมนต์แฟนบอลชาวไทยกลับแตกออกเป็น 2 ฝั่ง ?

ช่วงเวลา 5 ปีแห่งความเปลี่ยนแปลง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ? ติดตามกับ Main Stand 

 

ไวรัล จู๊ด เบลล์

ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่อยู่ในอาการ "จู๊ด เบลล์ ฟีเวอร์" ในช่วง 5 ปีก่อน เพราะสิ่งที่กองหน้าเชื้อสายไทย-อังกฤษ คนนี้ทำในช่วงอายุ 16 ปี ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริง ๆ แม้แต่สื่อใหญ่แถวหน้าของอังกฤษก็ยังทำข่าวไม่เว้นแต่ละวันในช่วงที่เขาเป็นดาวรุ่งของ เชลซี 

ปี 2020 The Athletic ถึงกับต้องลงพื้นที่สัมภาษณ์และเขียนคอลัมน์ใหญ่ถึงเขา โดยใช้ชื่อพาดหัวว่า "ไอ้หนุ่มจาก เชลซี ผู้ไม่สามารถหยุดยิงประตูได้" (Jude Soonsup-Bell, the Chelsea kid who can't stop scoring) 

ย้อนความจำกันสักหน่อยดีกว่า ... ในบทความนั้นมีการพูดถึง จู๊ด เบลล์ และประเมินเขาไว้สูงถึงขั้นกลายเป็นกองหน้าทีมชาติอังกฤษในอนาคต เพราะความเก่งของเขาในช่วงวัยทีนเอจนั้นเป็นที่เลื่องลือถึงขนาดที่ว่า ในช่วงที่เขาลงเล่นในระดับรุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี เจ้าตัวถูกห้ามใช้เท้าขวาเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ต้องใช้เท้าซ้ายข้างไม่ถนัดเท่านั้น เพื่อให้ทีมอื่น ๆ สามารถต่อกรได้ 

ในประวัติศาสตร์ทีมชาติอังกฤษชุด ยู 16 จู๊ด เบลล์ ถือเป็นนักเตะที่ยิงประตูในนามทีมชาติได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 (อัน 1 คือ เจดอน ซานโช่) และหลายสำนักข่าวก็มีการเปรียบเทียบเขากับดาวรุ่งรุ่นพี่อย่าง จามาล มูเซียล่า ที่ทาง เชลซี พลาดท่า โดน บาเยิร์น มิวนิค ฉกตัวไปในช่วงอายุไล่เลี่ยกัน 

ขณะที่ ไมค์ พ่อของเขาก็บอกว่า ลูกชายของเขาบ้าฟุตบอลและทุ่มเทให้กับการเป็นนักเตะอาชีพตั้งแต่จำความได้ โดยเจ้าตัวมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นไอดอล ซึ่งดูจากคลิปและลีลาท่าทางในการยิงประตู ก็ถือว่ามีความคับคล้ายคับคลา เพราะยิงได้หนัก และคมจนทุกคนต้องยอมรับในรุ่นอายุขนาดนั้น 

ไม่ใช่แค่สไตล์เท่านั้นที่เขาพยายามเลียนแบบ CR7 แต่ จู๊ด เบลล์ ทุ่มเทกับการซ้อมมากถึงขนาดตั้งกฎกับตัวเองว่า หากวันไหนที่เขาไม่สามารถเดาะบอลได้ถึง 2,000 ครั้งในการซ้อม เขาจะไม่ยอมกลับบ้าน ซึ่งท้ายที่สุดความพยายามนั้นก็ทำให้เขากลายเป็นดาวรุ่งแถวหน้าของอังกฤษ และเป็นนักเตะที่ยิงประตูในระดับเยาวชนให้ เชลซี ได้มากกว่ารุ่นพี่อย่าง แทมมี่ อับราฮัม และ โดมินิก โซลันกี้ ที่ปลายทางต่างก็เคยติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่กันทั้งคู่ 

ดังนั้นแฟนบอลชาวไทยจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร เมื่อได้รู้ว่าเขามีพรสวรรค์มากขนาดนั้น ? ในวันที่เขาเป็น "วันเดอร์คิด" เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนยังหวังให้เขาเลือกทีมชาติไทยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ... แต่โลกของฟุตบอล ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเสมอ นักเตะบางคนสามารถเจอจุดเปลี่ยนบางอย่างที่กระชากพวกเขาลงมาจากโลกแห่งความฝัน ลงมากระแทกใส่พื้นดินที่เปรียบเสมือนโลกแห่งความจริงได้อย่างรวดเร็ว 

และดูเหมือนว่า จู๊ด เบลล์ ในวัย 21 ปี ณ ปี 2025 อาจจะเป็นหนึ่งในคลื่นลูกใหม่ ที่กลายเป็นคลื่นลูกเก่าภายในช่วงเวลาแค่พริบตา โดยที่เขา ต้นสังกัด และแฟนบอลชาวไทยไม่ทันได้ตั้งตัว 

 

0.012% 

จากเดิมที่ เชลซี คอยประคบประหงม จู๊ด เบลล์ มาเป็นอย่างดี และพยายามโปรโมตเขาในช่องทางต่าง ๆ ของสโมสร ไม่นานนักความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อนักเตะหมดสัญญากับ เชลซี ในปี 2023 เขาก็เลือกย้ายไปเล่นให้กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 

คำถามคือ ทำไม เชลซี จึงยอมปล่อยนักเตะที่พวกเขาบอกว่า "จะไม่ให้ซ้ำรอยกับเคส มูเซียล่า" ให้กับคู่แข่งร่วมเมืองไป ?

หากเราจะวิเคราะห์ตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ เพราะทุกอย่างค่อนข้างออกมาเป็นเอกฉันท์แล้วว่า จู๊ด เบลล์ มีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้เขายังไม่สามารถก้าวขึ้นมาป็นนักเตะระดับพรีเมียร์ลีกได้ แม้ว่าในระดับเยาวชนจะโหดจะห้าวแค่ไหน แต่ระดับของทีมชุดใหญ่เป็นอะไรที่ยากจะหยั่งถึง และว่ากันว่ามีนักเตะเยาวชนจากทั่วประเทศอังกฤษแค่ 0.012% เท่านั้น ที่สามารถไปถึงจุดที่เป็น "ตัวหลักในพรีเมียร์ลีก" เหมือนที่ ฟิล โฟเดน หรือ บูกาโย่ ซาก้า ทำได้ในตอนนี้ 

กลับมาที่เรื่อง จู๊ด เบลล์ อีกครั้ง เชลซี ไม่ต่อสัญญาและปล่อยเขามาที่ สเปอร์ส ซึ่งว่ากันตามตรง เป็นทีมที่สามารถสอดแทรกขึ้นชุดใหญ่ได้ง่ายกว่า เพราะกองหน้าของ สเปอร์ส ในชุดใหญ่ ณ ตอนนั้นมีแค่ แฮร์รี่ เคน เพียงแค่คนเดียว และ จู๊ด เบลล์ ก็ทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในช่วงแรกตอนเล่นให้ สเปอร์ส ชุด ยู 21 (เทียบเท่าชุดสำรองที่ลงเล่นในรายการพรีเมียร์ลีก 2) เขายิงไปถึง 14 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ จาก 35 เกม ... คำถามคือ แค่นี้ยังไม่พอที่จะทำให้ สเปอร์ส เก็บเขาไว้ ? และทำไมการย้ายทีมครั้งต่อไปของเขา คือการไปเล่นให้กับ กอร์โดบา ทีมในระดับลีกรองของ สเปน ? 

ถ้าตอบแบบไม่เกรงใจกัน ก็อาจจะเป็นเพราะเขายังดีไม่พอที่จะเล่นในระดับพรีเมียร์ลีก ขณะที่กลุ่ม Fansite ของสเปอร์ส ก็มีการอธิบายว่า ไม่ใช่ว่าเขาแย่จนต้องปล่อยออกจากทีม แต่เป็นเพราะนักเตะอายุเริ่มจะมากขึ้น และกำลังจะก้าวพ้นวัยทีนเอจ และสำหรับเด็กในรุ่นอายุเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าการได้อยู่ในทีมใหญ่ ๆ กับลีกระดับแถวหน้า คือการหาโอกาสลงเล่นที่สม่ำเสมอ ซึ่ง จู๊ด เบลล์ จัดอยู่ในหมวดหมู่นั้น ที่ต้องการโอกาสในเกมระดับอาชีพมากขึ้น เพื่อพัฒนาตัวเองไปอีกระดับ ใช่ว่าการย้ายไปเล่นในทีมเล็กหรือลีกเล็ก จะบอกว่าเส้นทางของเขาจบลงแค่ตรงนี้เสียเมื่อไร 

สเปอร์ส เองก็เลือกจะขายให้กับ กอร์โดบา ไปเมื่อซีซั่น 2023-24 แม้จะไม่เปิดเผยราคาค่าตัว แต่ฝั่งไก่เดือบทองก็ยังใส่ออปชั่น " แบ่งกำไร 40% จากการขายครั้งต่อไป" ไว้กับ กอร์โดบา นั่นเป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าหาก จู๊ด เบลล์ ได้ลงเล่นมากขึ้น เขาจะกลายเป็นนักเตะที่มีศักยภาพ และถูกทีมในอังกฤษซื้อตัวด้วยราคาสูงในอนาคต 

 

การก้าวผ่านและดราม่าฟุตบอลไทย 

ตอนที่ จู๊ด เบลล์ ย้ายไปสเปน ก็เป็นช่วงเวลาที่ข่าวคราวของเขาเริ่มติดตามยากขึ้น แต่เมื่อเราย้อนไปอ่านข่าวหรือบทความเกี่ยวกับเขาบนเว็บไซต์ของสเปน เราก็ได้พบว่า จู๊ด เบลล์ มีปัญหาเรื่องการก้าวข้ามกำแพงของเกมระดับอาชีพจริง ๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ 

สื่อท้องถิ่นอย่าง TBR Sport บอกว่า ในเกมแรกของ จู๊ด เบลล์ ที่เจอกับ มาลาก้า ปัญหาของเขาคือ "ขาดพลัง" และยังไม่เข้าใจแนวทางของทีมจนดูเหมือนกับ "หลงทิศหลงทาง" (looked rather lost) 

นี่คือเรื่องที่ทาง กอร์โดบา เองก็ไม่ได้คาดคิด มีการบอกว่าพวกเขาซื้อ จู๊ด เบลล์ เพราะการใช้ Big Data (การประเมิณจากสถิติโดยทีมคัดสรร) เหมือนกับที่ทีมระดับโลกหลายทีมใช้กันตอนนี้ แต่ปัญหาก็คือเมื่อ จู๊ด เบลล์ มาถึงสเปน ยังคงมีปัญหาเรื่องการปรับตัว และเขากับทีมยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถผสมเป็นเนื้อเดียวกันได้ 

โดยสรุปข้อมูลจากสื่อสเปนทั้งหมดได้ความเห็นว่า เขาไม่สามารถปรับตัวกับฟุตบอลสเปนและสภาพแวดล้อมใหม่ รวมถึงเรื่องของภาษาได้ อีกทั้งยังไม่ได้แสดงความโดดเด่นออกมามากนักในตอนที่ได้โอกาส และเมื่อทีมมีความคาดหวังสูง โอกาสของเขาจึงค่อย ๆ น้อยลง เพราะเฮดโค้ชของทีมอย่าง อิบัน อาเนีย เริ่มมองว่าเขาไม่อยู่ในแผนการทำทีม เขาจึงได้ลงเล่นในลีกเซกุนดา สเปน เพียงแค่ 75 นาทีเท่านั้น 

ยิ่งเมื่อบวกกับอาการบาดเจ็บที่รบกวนการเรียกความมั่นใจ สุดท้ายผ่านไป 1 ปี ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ยุติสัญญากันด้วยความยินยอม ก่อนที่ จู๊ด เบลล์ จะกลับไปเล่นในอังกฤษอีกครั้ง โดยต้องไปเริ่มใหม่ในระดับ ลีก ทู กับทีมอย่าง กริมส์บี้ ทาวน์ ซึ่ง ณ ตอนนี้ แม้จะได้กลับมายังประเทศที่เป็นบ้านเกิด เจ้าตัวก็ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไป เพราะยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็น 11 ตัวจริงของทีมได้เลย โดยเจ้าตัวเพิ่งได้ลงสนามครบ 90 นาที ไป 1 นัดเท่านั้น 

 

โอกาสที่รออยู่

จากการประเมิน ณ จุดนี้ มันค่อนข้างชัดว่า โอกาสของเขากับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่จบลง เพราะมีคลื่นลูกหลังที่แรงกว่าก้าวเข้ามา และในขณะที่ประตูทีมชาติอังกฤษปิดลง ประตูของทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็เปิดต้อนรับเขา นำมาสู่การติดทีมชาติไทยครั้งแรกในฟีฟ่าเดย์ เดือนพฤศจิกายนนี้ ... ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก เพราะในฟุตบอลไทยก็มีดราม่าเรื่องการเปลี่ยนโค้ชในจังหวะนี้พอดิบพอดี 

เรื่องดราม่าเราจะขอข้ามไปก่อนไม่พูดถึง เพราะทุกคนต่างมีความเห็นที่แตกต่าง และผลลัพธ์ในอนาคตจะบอกว่าใครถูกหรือผิด ... แต่เรื่องที่เราควรโฟกัสคือ จู๊ด ซุ่นทรัพย์-เบลล์ สมควรและมีดีพอสำหรับการติดทีมชาติไทยหรือไม่ ? 

หากมองกันอย่างเป็นกลาง ตอนนี้เขาอายุแค่ 21 ปี และถึงแม้จะไม่ใช่ตัวหลักของ กริมส์บี้ แต่โอกาสของเขาก็มากขึ้นในช่วงหลัง ซึ่งเมื่อเราเปรียบเทียบกับนักเตะลูกครึ่งทีมชาติไทย ที่เป็นขวัญใจแฟนบอลไทยทั้งในอดีตและตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ชาริล ชัปปุยส์, ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร (ไม่ใช่ลูกครึ่งแต่ได้สัญชาติฝรั่งเศส), โจนาธาร เข็มดี, เบนจามิน เดวิส และ นิโคลัส มิคเกลสัน ก็ต้องบอกว่าด้วยดีกรีก่อนติดทีมชาติ จู๊ด เบลล์ ก็ไม่ได้แย่ไปกว่ารายชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดเลย 

นักเตะที่กล่าวมาทั้งหมดก็แทบไม่มีโอกาสลงเล่นในลีกระดับท็อปและมีประสบการณ์ระดับ "อาชีพ" ในยุโรปมากมายอะไร แต่สิ่งที่เราเห็นจากนักเตะพวกเขานี้คือ พวกเขาสร้างความแตกต่าง และมีสไตล์ที่นักเตะในไทยลีกหลาย ๆ คนไม่สามารถทำได้ ... นี่ไม่ใช่การดูถูก แต่หากยังจำกันได้ แฟนบอลไทยมักจะพูดถึงเรื่อง "คลาสบอล" ของนักเตะที่ได้เล่นในยุโรป ซึ่งเป็นเวทีที่นักเตะไทยได้แต่ฝันถึงว่า เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างออกไป 

ดังนั้นกลับมามองสถานการณ์ของ จู๊ด เบลล์ แทบไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ทดลองและให้โอกาสในการรับใช้ทีมชาติไทยสำหรับเขาเลย นี่คือนักเตะที่อายุแค่ 21 ปี ยังหนุ่มเกินไปที่จะตัดสินว่าเขาล้มเหลว แถมดีกรีที่เขาพกมาดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ยิ่งทำให้ชวนอยากจะเห็นว่า เขาจะทำอะไรได้บ้างเมื่อโอกาสมาถึง 

หลายคนอาจจะบอกว่า จากดราม่าการปลดกุนซือ มาซาทาดะ อิชิอิ จนมีคำพูดว่า "ทีมชาติไทยไม่ใช่สนามที่ใช้ทดลอง" เอามาย้อนถามถึงการติดทีมชาติไทยของ จู๊ด เบลล์ ครั้งนี้ 

แต่คุณเองก็ต้องไม่ลืมว่า ทีมชาติไทยก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนถึงระดับที่ควรปิดประตูให้นักเตะระดับลีกทูของอังกฤษเลย นี่คือการเสี่ยงที่ทีมชาติไทยมีแต่ได้กับได้ เพราะพวกเราต่างรู้กันดีว่า กองหน้าสายจบสกอร์แท้ ๆ สัญชาติไทยนั้นหายากแค่ไหน ในยุคที่โควต้าต่างชาติไทยลีกเปิดกว้างมากขนาดนี้ 

นี่ไม่ใช่การเข้าข้าง หรือตัดสิน จู๊ด เบลล์ เพียงแค่เพราะเขาเคยเป็นอดีตวันเดอร์คิดแถวหน้าของอังกฤษ หรือเป็นนักเตะที่ลงเล่นในลีกยุโรป ... แต่การให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเอง คือสิ่งสำคัญที่เขาควรจะได้รับ ส่วนจะดีไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน หลังเขาได้ลงเล่นให้กับทัพช้างศึกในฟีฟ่าเดย์ครั้งนี้  


 
แหล่งอ้างอิง

https://www.bbc.com/sport/football/articles/cg4xxw0001xo
https://www.reddit.com/r/chelseafc/comments/1lw95s7/simon_johnson_former_chelsea_and_spurs_academy/
https://www.swindonadvertiser.co.uk/sport/25303526.ex-swindon-town-man-jude-soonsup-bell-set-efl-transfer/
https://www.nytimes.com/athletic/2231610/2020/12/01/soonsup-bell-jude-chelsea/
https://as.com/futbol/segunda/un-cercano-bye-jude-n/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ