Feature

สูตรโบราณที่เกิดใหม่ : ทำไมทีมพรีเมียร์ลีกกลับมาทุ่มไกลและโยนยาวในยุคโมเดิร์นฟุตบอล ? | Main Stand

ทุ่มไกล โยนยาว ตั้งเตะ ... เราเคยคิดว่าแท็คติกเหล่านี้คงหมดสมัยไปแล้ว ในเมื่อฟุตบอลเข้าสู่ยุคที่เราเรียกกันว่า "โมเดิร์นฟุตบอล" 

 

การต่อบอลเท้าสู่เท้าที่ไปนำไปสู่การเข้าทำอย่างแม่นยำและกลายเป็นประตูในบั้นปลาย เป็นสูตรสำเร็จของทีมระดับหัวแถวของโลกที่ทีมไหน ๆ ก็อยากจะทำตามให้ได้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของฟุตบอลสมัยใหม่

แต่แล้วฟุตบอลโบราณก็กลับขึ้นมามีอิทธิพลอีกครั้งบนเวทีพรีเมียร์ลีก และในทุกสัปดาห์เราจะได้เห็นประตูจากแท็คติกเหล่านี้มากขึ้น 

เหมือนจะตกแพทช์ แต่กลับกลายเป็นเมต้าใหม่ของยุค ... อะไรทำให้แท็คติกของทีมเล็ก ๆ ในอดีตถูกปัดฝุ่นกลับมาใช้อีกครั้ง ติดตามกับ Main Stand 

 

หล่อแต่กินไม่ได้ 

แท็คติกบอลเท้าสู่เท้าจนกลายเป็นชื่อเฉพาะอย่าง ติกิ-ตากะ เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 2000s โดย บาร์เซโลน่า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และนำไปสู่ยุคที่ฟุตบอลสเปนครองโลก 

การครอบครองบอลที่เหนียวแน่น การเคลื่อนที่อย่างเข้าขารู้ใจ และการต่อบอลด้วยความอดทนจนสบโอกาส ถือเป็นสิ่งที่ ณ เวลานั้นไม่มีทีมไหนกล้าปฏิเสธ แม้แต่ทีมเล็ก ๆ หลายทีม ก็เลือกที่จะลองเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเล่นฟุตบอลในสไตล์นี้มากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่สโมสรในลีกที่เล่นฟุตบอลไดเร็กต์เป็นหลักอย่างพรีเมียร์ลีก ยกตัวอย่างเช่น สวอนซี ที่เคยได้ฉายาแบบแซว ๆ กันว่า "สวอนซีโลน่า"   

แต่นั่นก็แค่ช่วงประเดี๋ยวประด๋าว เพราะความจริงก็คือไม่ใช่ทุกทีมจะสามารถทำได้แบบนั้น ... มันมีช่องว่างที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเต็ม ทำให้แท็คติกที่พยายามเลียนแบบนั้นไม่สามารถทาบชั้นความ "สมบูรณ์แบบ" ของต้นตำรับได้  

สาเหตุที่ไม่เคยมีทีมไหนทำฟุตบอลแบบ ติกิ-ตากะ ได้ดีเท่าสเปน และ บาร์เซโลน่า ในเวลานั้นก็คือเรื่องคุณภาพของนักเตะเป็นหลัก ย้อนกลับไปในตอนนั้น ทั้ง 2 ทีมที่กล่าวมามีนักเตะ 11 ตัวจริงที่อยู่ในระดับเวิลด์คลาสทั้งหมด ดังนั้นเรื่องทักษะ ความเข้าใจเกม เซ้นส์บอล ทุกคนทันกัน เข้ากันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย มันทำให้พวกเขาครองบอลเหนียวแน่น ส่งบอลแม่นยำ บางเกมพวกเขาครองบอลถึง 70-80% เลยก็มี 

หลังจากพ้นยุคนั้นมา แม้แท็คติกการต่อบอลด้วยเท้าสู่เท้าจะยังเป็นแท็คติกยอดนิยม แต่หลายครั้งทีมที่พยายามทำตามก็ต้องเจอกับความผิดพลาดเพราะไม่ได้มีนักเตะที่เก่งระดับโลกและมี DNA ฟุตบอลแบบนั้นติดตัวมาตั้งแต่ต้น 

เรื่องนี้แม้แต่ "หมองู" อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้คิดค้นรูปแบบการเล่นนี้ขึ้นมาเองก็ยังต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลังจากเขาพบปัญหาว่า การต่อบอลมีความเสี่ยงที่จะเสียบอลตลอดเวลา และหลายครั้งการเสียบอลในเกมฟุตบอลยุคนี้ที่คู่แข้งเน้นวิธีการ "ทรานซิชั่น" (เปลี่ยนจากรับเป็นรุก) ตัดบอลได้แล้วใช้บอลเร็วย้อนศรกลับมาทำร้ายพวกเขาเอง 

"สไตล์การเล่นของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เขาเป็นคนสร้างฟุตบอลที่บิลด์อัพจากประตู ให้นายทวารขึ้นมามีส่วนร่วมในการต่อเกม แต่ตอนนี้ด้วยขุมกำลังที่มี เขากำลังเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง" 

"เขาเลิก All In กับการที่ทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายครองบอลอย่างเดียว และเริ่มทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ นั่นคือการเล่นบอลยาวที่มากขึ้น และฝากความหวังไว้ที่การเล่นโต้กลับ" บทความใน BBC หัวข้อ "ทำไม อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ จึงนำบอลยาวกลับมาอีกครั้ง" ยืนยันว่า ณ ตอนนี้ แม้แต่ทีมหัวแถวก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ที่บีบให้ทุกคนต้อง "ปรับตัว"   

 

ทำไมบอลยาวจึงกลับมา ?

ก่อนที่จะเคลมกันว่า "บอลยาวกลับมาแล้ว" เรามีสถิติที่ช่วยยืนยันถึงเทรนด์ที่เปลี่ยนไปของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกยุคนี้ ที่บอกว่าหลายทีมเลิกบิลด์อัพจากแดนหลังเพราะมัน "เสี่ยงเกินไป" พวกเขาเลือกที่จะโยนยาวเมื่อมีโอกาส พร้อมทั้งปรับจูนเกมรุกให้พร้อมกับบอลไดเร็กต์ที่น้อยจังหวะลงในเวลานี้ 

ดาบิด รายา นายทวารของ อาร์เซน่อล เลือกที่จะเตะยาวจากแดนหลังทั้งจังหวะโอเพ่นเพลย์และลูกตั้งเตะเพิ่มขึ้น 42.1% ในซีซั่นที่ผ่านมา ขณะที่ในซีซั่น 2025-26 สถิติการต่อบอลสั้นโดยเฉลี่ยต่อเกมลดลงเหลือ 849.1 ครั้งต่อเกม น้อยที่สุดในรอบหลายปี อีกทั้งมีสถิติการโยนจากระยะ 20 เมตรขึ้นไปเข้าเขตโทษเฉลี่ย 3.44 ครั้งต่อเกม ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี

นอกจากตัวเลขแล้ว เราก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในสนามด้วย แมนฯ ซิตี้ ปล่อยประตูที่ใช้เท้าดีอย่าง เอแดร์ซอน และซื้อความแน่นอนจาก จานลุยจิ ดอนนารุมม่า, แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมแพ้กับ อองเดร โอนาน่า และเลือกผู้รักษาประตูที่เตะยาวได้ทั้ง 2 เท้าอย่าง เซนเน่อ ลัมเมนส์ ... นี่คือตัวอย่างคร่าว ๆ ของสัญญาณที่บอกว่า "บอลยาว" อาจจะเป็นคำตอบ หากทีมของคุณไม่ได้เก่งกาจเป็นเจ้าโลกเหมือน บาร์เซโลน่า เมื่อครั้งอดีต

สาเหตุที่การใช้บอลสั้นลดลงเกิดจากหลายปัจจัย แน่นอนว่าบอลสั้น ๆ เท้าสู่เท้าทำให้คุณครองบอลและสร้างเกมรุกได้ดีกว่าบอลโด่งที่ทีมเล็ก ๆ ชอบใช้กันแน่นอน แต่ฟุตบอลในปัจจุบัน คุณภาพของทีมเล็ก ๆ ถูกยกระดับให้สูงขึ้นมากโดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกที่มีการพัฒนาทั้งคุณภาพนักเตะ รวมถึงกลยุทธ์ต่าง ๆ ด้วย 

แทบทุกทีมในปัจจุบันมีการเตรียมพร้อมเรื่องการเพรสซิ่งเป็นอย่างดี และตามรายงานของ Opta ก็ยืนยันว่าทุกทีม "แย่งบอลเก่งขึ้น" ด้วยสถิติที่บอกว่า 7 ทีมแรกที่มีสถิติการต่อบอลสั้นมากที่สุดในซีซั่น 2024-25 ต่างก็เคยสร้างความผิดพลาดเสียบอล จนนำไปสู่การเสียประตูให้ฝ่ายตรงข้ามรวมกันถึง 30 ลูก

เพื่อลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้น บอลยาวจึงถูกนับมาปัดฝุ่นและใช้อีกครั้ง แม้การโยนบอลยาวจะทำให้ทีมมีโอกาสเสียบอลมากกว่า แต่กุนซือสมองเพรชในยุคนี้หลายคนก็เตรียมพร้อมที่เสียบอลในแดนคู่แข่งอยู่แล้ว และเลือกใช้วิธี "รุมแย่ง" ด้วยการเพรสซิ่งใส่คู่แข่งจากจังหวะบอลที่ 2 ทันที 

จุดนี้เป็นเหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ... คุณลดโอกาสเสียบอลในพื้นที่อันตรายของตัวเองไปด้วย และในทางเดียวกัน คุณก็โยนความเสี่ยงในการเสียบอลให้แดนตัวเองให้กับคู่แข่งแทน 

 

สมดุลที่ต้องหาให้เจอ

แม้จะบอกว่าเล่นฟุตบอลโด่งมากขึ้น แต่มันเป็นการเตะโด่งในแบบโมเดิร์นฟุตบอล มากกว่าการโยนยาวแบบ Hit & Hope ในฟุตบอลโบราณ 

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น นั่นคือแต่ละทีมไม่ได้มองว่าการโยนยาวคือการโยนมั่วซั่ว แต่พวกเขามีการเตรียมกลยุทธ์เอาไว้หลังจากลูกโยนยาวออกจากเท้าของแนวรับในแดนตัวเอง สิ่งที่เห็นกับตาก็คือการแย่งบอลจังหวะที่สอง และเอามาสร้างเกมรุกต่อ ยกตัวอย่างเช่น แท็คติกที่ รูเบน อโมริม สั่งให้ทีมต่อบอลน้อยลง เล่นบอลยาวมากขึ้นในเกมแดงเดือดที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 

เหนือสิ่งอื่นใด คือไม่ใช่แค่การเตรียมแย่งบอลจังหวะสองเท่านั้น การเตะสาดจากแนวรับขึ้นมา ยังถูกพัฒนาใหม่ด้วยการวางแท็คติกที่พร้อมจะเล่นเกมบุกต่อทันที ถึงตอนนี้คุณน่าจะเห็นกองหน้าตัวใหญ่ระดับส่วนสูง 190 เซนติเมตรของทีมต่าง ๆ มากขึ้น อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์, วิคตอร์ เยอเคเรส, เบนยามิน เชชโก้, อูโก้ เอกิติเก้, ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า และอีกหลาย ๆ คน

นักเตะกลุ่มนี้เป็นกองหน้าเบอร์ 9 ที่พยายามจะชิงเล่นบอลโด่งจังหวะแรกให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการโหม่งเช็ด, ส่งต่อ หรือไม่ก็ปะทะกับคู่แข่งโดยตรงและเก็บบอลเอาไว้ให้ได้ จากนั้นก็เป็นเรื่องของการสร้างรูปแบบการเข้าทำแบบที่ทีมต่าง ๆ เอาจุดแข็งของตัวเองออกมาทีเด็ดในการสอยตาข่ายฝั่งตรงข้าม 

ดังนั้นการกลับมาของบอลยาวจะเรียกว่ามันเป็น "วัฏจักรของวงการฟุตบอล" ก็ได้ เหมือนที่มีใครเคยบอกไว้ว่าไม่มีแท็คติกไหนที่ตกยุค แต่มันขึ้นอยู่กับว่าแท็คติกนั้นจะถูกงัดออกมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่เท่านั้นเอง 

ตอนนี้ต้องเรียกให้ถูกว่าเป็นยุคของ "เกมเร็ว" ที่มีการโยนยาวมากขึ้นจากประสิทธิภาพและรูปแบบของคู่แข่งที่เข้มข้นมากขึ้น และเมื่อยิงประตูได้ยากขึ้น ก็นำมาสู่วิธีการเก่า ๆ ที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพและรูปแบบมากขึ้นเช่น ลูกฟรีคิก ลูกเตะมุม และการทุ่มไกล เพื่อเอาบอลเข้ากรอบเขตโทษให้เร็วที่สุด ... นี่คือเหตุผลของทั้งหมดที่ว่า อะไรทำให้แท็คติกโบราณกลับมาเป็นกระแสในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ?

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.premierleague.com/en/news/4407434/analysis-four-tactical-trends-redefining-the-premier-league
https://www.givemesport.com/long-balls-every-premier-league-team-football-soccer/
https://www.premierleague.com/en/news/4426039/opta-analyst-on-long-balls-long-throws-key-tactical-trends-spotted-in-2025-26-season
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cvg00wx7j42o

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ