เพราะ "ความทรงจำที่ฝังใจ" ของแฟนบอลไม่ได้เกิดจากผลการแข่งขันอย่างเดียว แต่มันเชื่อมโยงกับความรู้สึก ความภาคภูมิใจ และความเป็นอัตลักษณ์ของสโมสร
นั่นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมบรรดาแฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา เมื่อใครพูดถึงเกมที่พวกเขาแพ้ ลิเวอร์พูล 0-7 เมื่อปี 2023
ว่ากันว่าฟุตบอลคือเรื่องของปัจจุบัน ... แต่ทำไมเรื่องนี้จึงดูเหมือนเป็นแผลสดที่สะกิดทีไรก็จี๊ดทุกครั้งไม่หายสักที ? ติดตามกับ Mainstand
"ลบ" ความจำที่ฝังใจ
หากเราจะอธิบายในบรรทัดเดียวของสิ่งเกิดขึ้นกับสกอร์ 7-0 ในมุมมองของแฟน ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด มันคือ "ความทรงจำฝังใจ นานเท่าไหร่ก็ไม่ลืม"
เหมือนโดนหมากัดตั้งแต่ 4 ขวบ แต่โตจนอายุ 40 ก็ยังไม่หายระแวงเวลาต้องเดินผ่านหรือหมาเข้ามาใกล้ ๆ ... เพราะความเจ็บนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่ร่างกาย แต่มันฝังใจ ซึ่งเป็นแผลที่หายยากกว่าแผลอื่น ๆ หลายเท่า
แต่อย่างน้อยในเรื่องความทรงจำร้าย ๆ ก็ยังมีจดหมายที่เหมือนข่าวดีซ่อนอยู่ใต้แผล และข่าวดีคือ "ความทรงจำนั้นเบาบางลงได้" เพียงแต่ไม่ใช่ด้วยการลืม แต่ด้วย "บริบทใหม่" ที่มีพลังมากพอจะกลบเสียงของอดีตพูดกันตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมก็คือ "มันต้องมีความสำเร็จใหม่มาแทนที่"
แน่นอนว่าแผลจาก 7-0 มันจะไม่หายไปอย่างง่าย ๆ แต่หาก แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาอยู่ในช่วงเวลาดี ๆ ที่สามารถเต็มไปด้วยขุมกำลังนักเตะคุณภาพ โค้ชที่เหมาะสม โครงสร้างหลังบ้านที่แข็งแกร่ง อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปจนถึงสนามแข่งต่าง ๆ ถูกพัฒนาให้ทัดเทียมกับทีมระดับท็อป 5 ของโลก ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะสร้างทีมที่ยอดเยี่ยม
และในขณะเดียวกัน ใครจะไปรู้ว่าช่วงเวลาที่พวกเขาขาขึ้น อาจจะกลายเป็นช่วงขาลงของ ลิเวอร์พูล ก็ได้ เพราะฟุตบอลมันมักมีวัฏจักรแบบนี้เสมอ นาน ๆ ทีที่เราจะได้เห็น 2 ทีมนี้ยืนในระดับเดียวกัน เป็นมวยรุ่นเดียวกันที่ต่างฝ่ายต่างแพ้ชนะกันได้ด้วยความต่างไม่กี่องศา
สิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องทำ คือต้องสร้างผลการแข่งขันที่ดี ชนะ ลิเวอร์พูล ในเกมสำคัญ ๆ เกมที่เป็นเหมือนเกมชี้วัดความยิ่งใหญ่และคุณภาพทั้งสโมสร เพื่อให้ชัยชนะเหล่านั้นเป็นเหมือนยาทาแผลเป็นที่ต้องอาศัยทาบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้แผลเป็นที่ชัด จางหายไป
ไม่ใช่แค่ผลการแพ้-ชนะ อย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวช่วยบรรเทาความทรงจำนี้ เพราะอีกหนึ่งอย่างที่ลืมไม่ได้และต้องมีไปควบคู่กันผลการแข่งขันที่ดีก็คือ "ตัวตนใหม่" ที่ทำให้แฟนรู้สึกเชื่อมั่นอีกครั้ง
คาแร็คเตอร์ต้องมา
หลายครั้งที่แฟนบอลไม่ว่าจะทีมไหน ๆ รู้สึกเจ็บจากความพ่ายแพ้ มันไม่ใช่แค่เพราะสกอร์เท่านั้น แต่เพราะรู้สึกว่า "ทีมไม่สู้" หรือ "ไม่มีทิศทาง"
ความเจ็บปวดจากเกมนั้นมันฝังลึกเพราะมันไม่ได้เป็นแค่ความพ่ายแพ้ธรรมดา แต่มันคือความ Humiliation (การโดนทำให้อับอาย) การโดนคู่ปรับตลอดกาลไล่ยิงแบบไม่ไว้หน้า สิ่งที่จะทำให้แฟนบอลเริ่มลืมและ "ยอมรับได้" มากขึ้น ไม่ใช่เพียงการเอาชนะในเกมรีแมตช์เท่านั้น แต่ทีมก็ต้องมีคาแร็กเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้นด้วย
เมื่อแฟนบอลเห็นว่านักเตะเล่นด้วยความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ วิ่งสู้ ฟัด ไม่หายจากเกมแม้สถานการณ์เป็นรอง ความรู้สึกว่า "ทีมเรามีหัวใจนักสู้" จะค่อย ๆ กลบความทรงจำแย่ ๆ ได้ เพราะต่อให้แพ้เราก็ยังได้เห็นความพยายามของนักเตะที่ทำให้เราพูดได้ว่า "แพ้ก็ยังต้องเชียร์ทีมนี้" ได้อย่างเต็มปาก ใครจะล้ออะไรก็เจ็บหนัก หรืออาจจะถึงขั้นที่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้ (บ้าง)
แม้กระทั่งเกม ๆ นั้นก็เช่นกัน ถ้าทีมมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น เล่นด้วยความภาคภูมิใจในตราสโมสร มันจะเปลี่ยนบรรยากาศของความรู้สึกแฟนบอลทันที
นั่นก็เพราะแฟน ๆ ยูไนเต็ด ส่วนใหญ่ เติบโตมากับความรู้สึกว่า "ทีมนี้ต้องสู้เพื่อชัยชนะเสมอ" การได้เห็นทีมมีความกระหาย เล่นด้วยทัศนคติของทีมระดับท็อปอีกครั้ง จะช่วยสร้างความมั่นใจใหม่ แม้ไม่ต้องเอาชนะลิเวอร์พูลทันที แต่การกลับไปยืนอยู่ในตำแหน่งลุ้นแชมป์ หรือติดท็อปโฟร์แบบแข็งแรง ก็เป็นการลบภาพจำความเจ็บปวดไปโดยปริยาย
ถ้าทีมมีคาแร็คเตอร์นักสู้ มีคุณภาพมากขึ้นในระดับที่แฟนบอลภาคภูมิใจได้ มันคือสัญญาณบอกว่าโอกาสและเวลาของทีม ๆ นี้กำลังจะมาถึงในไม่ช้าหากยังพัฒนาต่อไป ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าการรอคอยครั้งนี้จะมาถึงเมื่อไหร่
"เวลา" และ "ตลกร้าย" ก็ช่วยได้
นอกจากชัยชนะ และคาแร็คเตอร์แล้ว สิ่งที่แฟนบอลบางกลุ่มมักทำคู่กันไปคือการ "รับมือ" กับความเจ็บปวดด้วยการเปลี่ยนมันเป็น "มีม" หรือ "ตลกร้าย" ทำให้พลังเชิงลบกลายเป็นพลังที่เบากว่าเดิม
เรื่องแบบนี้ทีมไหน ๆ ก็เจอทั้งนั้นไม่ใช่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเดียว ทุก ๆ ทีมล้วนมี "ปีศาจ" ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดถึงมันขึ้นมาก็ยังมีความรู้สึกหวิว ๆ หลอน ๆ ขึ้นมา เช่น บราซิล ชาติที่หายใจเป็นฟุตบอลก็หลอนกับการแพ้ เยอรมนu 1-7 จนพวกเขากำลังพัฒนาทีมชุดปัจจุบันเพื่อก้าวขึ้นมาแสดงความราชาโลกฟุตบอลอีกครั้ง, บาร์เซโลน่า กับการแพ้ บาเยิร์น มิวนิค 2-8 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2020, ลิเวอร์พูล กับการแพ้ เรอัล มาดริด ในเกมชิงดำ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้ง 2 ครา, เชลซี กับการโดน อาร์เซน่อล ถล่ม 0-5 ในปี 2024 ... และทีมอื่น ๆ อีกมากมาย
หลายทีมแก้ได้แล้ว ขณะที่หลายทีมแม้ยังแก้ทางปีศาจในใจตัวเองเหล่านี้ไม่ได้ แต่ความหลอนและความเจ็บก็ไม่เหมือนเดิม มันสามารถทุเลาได้ด้วยเวลา มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า "แม้จะยังสู้ไม่ได้ แต่วันข้างหน้าโอกาสต้องมาถึง" เพราะความจริงก็คือ ระหว่างที่รอให้ชัยชนะกลับมาเป็นฝั่งของเรา การทำใจยอมรับ และอยู่กับมันอย่างเขาใจก็เป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุด พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกที่เคยรุนแรงจะถูกเจือจางลงโดยธรรมชาติ
ในบางครั้งเมื่อเวลาได้ผ่านไป 7-0 อาจกลายเป็นเพียงประโยคติดตลกที่พูดว่า "ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว" ด้วยความรู้สึกที่เบาสบายต่างจากตอนเกิดเหตุใหม่ ๆ ที่ทุกอย่างยังเจ็บเพราะเป็นแผลสด แต่ตอนนี้จาก "บาดแผล" มันจะกลายเป็น "รอยแผลเป็น" เท่านั้น แม้ยังอยู่ … แต่ไม่เจ็บเหมือนวันแรกแล้ว
การถูกพูดถึงซ้ำในมุมขำ ๆ จิกกัดแบบมีศิลปะ หรือแม้กระทั่งแซวตัวเองได้ นั่นแสดงว่าพลังของความเจ็บนั้นเริ่มลดลงเรื่อย ๆ แล้ว ... เหมือนที่ตอนนี้แฟนบอล ยูไนเต็ด กล้าแชร์โพสต์ที่เพจสโมสร ลิเวอร์พูล เอาเรื่องสกอร์ 7-0 กลับมาพูดอีกครั้งหลังผ่านไป 2 ปี (โพสต์วันที่ 14 ตุลาคม) เชื่อเหลือเกินว่าแฟนผีแทบทุกคนที่แชร์โพสต์นี้กดแชร์ด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างออกไป จากวันที่เสียงนกหวีดยาวจบลง ณ แอนฟิลด์ เมื่อปี 2023 แน่นอน
สำหรับแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด ในอนาคต 0-7 อาจกลายเป็นเพียงประโยคติดตลกที่พูดว่า "ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว"
ความรู้สึก "แค้น โกรธ เจ็บ" จากแมตช์นี้จะค่อย ๆ จางลงได้ เมื่อเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น
แม้จะให้มองเรื่องนี้ในกรณีที่ร้ายที่สุดก็ยังสามารถพูดได้ว่า ความทรงจำนี้จะไม่ถูกลืม … แต่มันจะ "ไม่สำคัญเท่าเดิม" อีกต่อไป
และต่อให้การรอคอยครั้งนี้จะนานก็ไม่เป็นไร เพราะความสำเร็จที่ยิ่งคอยมานาน รสชาติมันยิ่งหอมหวานจนหาอะไรมาเทียบไม่ไ่ด้
แหล่งอ้างอิง
เขียนเองทั้งหมด