หากเรามองในภาพใหญ่ของฟุตบอลทีมชาติในช่วง 30-40 ปีหลังมา จะเห็นว่าในหลายทวีป มี "ขาประจำ" ที่ผูกขาดตั๋วไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกอยู่
เอเชีย มี ญี่ปุ่น กับ เกาหลีใต้, ยุโรป มี เยอรมนี กับ สเปน, อเมริกาใต้ มี บราซิล กับ อาร์เจนตินา, คอนคาเคฟ มี สหรัฐอเมริกา กับ เม็กซิโก
มีเพียงทวีปเดียว ที่ตั๋วไปฟุตบอลโลกเปลี่ยนมือมากที่สุด นั่นคือ แอฟริกา
เล่นฟุตบอลเหมือนกัน พัฒนาไปข้างหน้าตามเวลาเหมือนกัน แต่ทำไมทวีปแอฟริกาจึงไม่มีทีมไหนผูกขาดความยิ่งใหญ่เหมือนทวีปอื่น ? ติดตามกับ Main Stand
หัวใจคือทรัพยากรมนุษย์
สิ่งแรกที่เราควรพูดถึงเลย คือเรื่องของความใกล้เคียงและคุณภาพของแต่ละชาติในแอฟริกาที่มีความใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะช่วง 20 ปีหลังสุด เราอาจต้องพูดถึงทีมในระดับท็อป 10 หรือท็อป 20 เลยด้วยซ้ำ หรือเข้าใจได้ง่าย ๆ ในทันทีว่า ช่องว่างระหว่างทีมอันดับ 1-20 ของทวีปไม่ห่างกันมากนัก
เมื่อมีถึง 20 ทีมที่สามารถแพ้-ชนะ กันได้ แต่โควต้าการไปเล่นฟุตบอลโลกกลับมีแค่ 5 ทีม (เพิ่งเพิ่มเป็น 9 ทีม ในปี 2026) เราจึงได้เห็นการสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย บางครั้งทีมรองบ่อนที่เราไม่เคยได้ยินชื่อก็สามารถคว่ำทีมระดับหัวแถวได้ เช่นในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 เบนิน เอาชนะทีมอย่าง ไนจีเรีย, รวันดา เอาชนะ แอฟริกาใต้ หรือแม้กระทั่ง โคโมรอส ก็เอาชนะ กานา ที่มีนักเตะระดับพรีเมียร์ลีกครึ่งค่อนทีม
สิ่งที่เราควรจะหาคำตอบคือ ความใกล้เคียงในเชิงคุณภาพนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เรื่องนี้มันคงหนีไม่พ้นเรื่องสรีระร่างกายแบบแอฟริกันที่ถือว่าเป็นชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่ง มีกล้ามเนื้อและยีนที่เหมาะกับการเป็นนักกีฬาอยู่แล้วในส่วนของคนผิวดำ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นโซนอาหรับอยู่ใกลักับทางภูมิภาคตะวันออกกลางของทวีปเอเชียอย่าง อียิปต์ หรือ โมร็อกโก นั้น แมัจะไม่แข็งแกร่งเท่าแต่ก็ได้เรื่องของเทคนิคเข้ามาเสริม ซึ่งเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้คร่าว ๆ ว่า "ทรัพยากรมนุษย์" คือสิ่งล้ำค่าสำหรับฟุตบอลของแอฟริกาอย่างแท้จริง
แอฟริกาเป็นทวีปที่ "มีพรสวรรค์ แต่ขาดระบบ" นี่คือประโยคที่นักวิเคราะห์ฟุตบอลหลายคนพูดตรงกัน
ประเทศในแอฟริกาส่วนใหญ่มีโครงสร้างฟุตบอลที่ยังไม่มั่นคงเท่าทวีปยุโรปหรืออเมริกาใต้ ทั้งเรื่องลีกอาชีพที่ไม่ต่อเนื่อง, งบประมาณสมาคมฟุตบอลที่จำกัด, และปัญหาการบริหารจัดการระดับชาติที่มักเปลี่ยนแปลงบ่อยตามการเมืองภายในประเทศ
ตัวอย่างเช่น ทีมอย่างไนจีเรีย, กานา หรือ แคเมอรูน ที่บางยุคเต็มไปด้วยดาวรุ่งพรสวรรค์จากยุโรป แต่กลับไม่มีความต่อเนื่องในระบบทีมชาติ เพราะปัญหาการจ่ายโบนัส, การเลือกนักเตะที่ไม่โปร่งใส หรือการเปลี่ยนโค้ชบ่อยจนแนวทางไม่ชัดเจน
ขณะเดียวกัน "ความสูสี" ก็เกิดจากธรรมชาติของภูมิภาคเอง ทีมใหญ่กับทีมเล็กในแอฟริกามักต่างกันไม่มาก เพราะหลายชาติใช้ผู้เล่นที่ค้าแข้งในยุโรปเหมือนกันหมด ตัวอย่างเช่น แอฟริกาใต้ (ทีมเจ้าภาพปี 2010) สามารถยันเสมอหรือชนะทีมแกร่งอย่างอียิปต์ได้ในบางปี ทั้งที่อันดับฟีฟ่าต่างกันเกิน 40 อันดับ
ความสูสีในระดับภูมิภาคทำให้ไม่มีทีมใดสร้าง "อาณาจักร" ของตัวเองในทวีปได้ เมื่อไม่มีโครงสร้างฟุตบอลที่ต่อเนื่องพอจะสร้างรากฐานความสำเร็จ ความเก่งจึงขึ้นอยู่กับรุ่นนักเตะและจังหวะเวลา มากกว่าจะเป็นระบบระยะยาวแบบที่ยุโรปมีทีมอย่าง เยอรมนี ผู้ไม่เคยพลาดฟุตบอลโลกเลยตลอด 60 ปีที่ผ่านมาเป็นต้น
โกลเด้น เจเนอเรชั่น ... ของขวัญจากศูนย์ฝึกยุโรป
หากเราดูทีมชาติจากแอฟริกาที่เฉิดฉายในฟุตบอลโลก เช่น ไอวอรีโคสต์ (ปี 2006 ยุค ดิดิเยร์ ดร็อกบา, โคโล ตูเร่, ยาย่า ตูเร่, ซาโลมง กาลู) กานา (ยุค 2006-2010 นำโดย ไมเคิล เอสเซียง, ซุลเลย์ มุนตารี่ และ อซาโมอาห์ กียาน) เซเนกัล (รุ่น 2002 ที่ชนะฝรั่งเศสในนัดเปิดสนาม) โมร็อกโก (ที่ทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ ปี 2022) ... จะพบว่า "จุดร่วม" ของพวกเขาคือ "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" ที่เกิดจากการลงทุนของยุโรปในช่วงหนึ่ง
ยุค 1990s-2000s มีศูนย์ฝึกจำนวนมากจากฝรั่งเศสและเบลเยียมที่ไปตั้งในแอฟริกา เช่น JMG Academy (ก่อตั้งโดย ฌอง-มาร์ก กียูเลอ) ซึ่งปั้นนักเตะอย่าง ยาย่า ตูเร่ และนักเตะอีกหลายคนจากประเทศมาลีและไอวอรีโคสต์ ขณะที่ในช่วงปี 2010 ขึ้นมา ก็มีทีมในฝรังเศสอย่าง เม็ตซ์ ที่ลงทุนใน เซเนกัล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนักเตะอย่าง ซาดิโอ มาเน่ และ อิสไมล่า ซาร์
ศูนย์ฝึกเหล่านี้ไม่ได้เป็นของสมาคมฟุตบอลท้องถิ่น แต่เป็นของเอกชนหรือเครือข่ายสโมสรยุโรป ทำให้ทวีปแอฟริกา "ผลิตนักเตะเก่ง แต่ไม่สามารถใช้พวกเขาได้อย่างต่อเนื่อง" เพราะนักเตะส่วนใหญ่โตในระบบฟุตบอลยุโรป มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมฟุตบอลและความคิดแบบยุโรปมากกว่าระบบทีมชาติบ้านเกิด
ดังนั้น "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" ของแต่ละชาติในแอฟริกา จึงมักเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ตามการเปิด-ปิดของศูนย์ฝึกหรือการลงทุนจากต่างชาติ มากกว่าการสร้างต่อเนื่องในประเทศตนเอง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการพึ่งโค้ชชาวต่างชาติในระยะสั้น โดยไม่มีการต่อยอดให้โค้ชชาวแอฟริกันพัฒนาต่อ จึงทำให้ความเก่งกาจมาเป็นช่วง ๆ ไม่ได้อยู่กันยาวด้วยระบบและรากฐานที่มั่นคง
เรียกได้ว่าของแบบนี้เป็นช่วงเวลาแบบทีใคร ทีมัน ทีมชาติไหนมีนักเตะเก่ง ๆ เกิดขึ้นพร้อมกันแบบยกชุด ก็จะสามารถยึดตำแหน่งหัวแถวของทวีปได้ จากนั้นก็วนกันไปตามแต่ที่ศูนย์ฝึกที่ลงทุนโดยสโมสรจากยุโรปลงเงิน ลงแรง
ระบบคัดเลือกที่โหดที่สุดในโลก
เมื่อความไม่แน่นอนและขาดความแข็งแกร่งของลีกท้องถิ่นที่ทำให้เกิด "การไหลออกของแข้งพรสวรรค์" และแม้นักเตะจะพัฒนาในยุโรป แต่ทักษะและวินัยเหล่านั้นไม่ถูกส่งกลับมาในระดับระบบของประเทศต้นทาง ขุมกำลัง และฟอร์มทีมชาติจึงไม่สมดุลและยากต่อการสร้างต่อเนื่อง ... สิ่งที่หลายคนนึกไม่ถึงและเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงกันก็คือ "แอฟริกันสไตล์" อีกหนึ่งอย่างได้แก่ "ระบบคัดเลือกที่โหดที่สุดในโลก"
ในทวีปยุโรป ทีมใหญ่อย่าง อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส มักอยู่คนละกลุ่มตามค่าสัมประสิทธิ์ มีโอกาสสูงที่จะผ่านเข้ารอบ เพราะมีโควตาถึง 13 ทีม แต่ในแอฟริกา ทั้งทวีปมี 54 ชาติ แต่ได้โควตาเพียง 5 ทีมเท่านั้น (ก่อนจะขยายในปี 2026) โดยการแข่งขันรอบคัดเลือกของโซนแอฟริกา มีถึง 3 รอบด้วยกัน ซึ่งเราจะยกตัวอย่างของฟุตบอลโลก 2022 มาให้ดู
รอบแรก : 28 ทีม (ทีมในแรงกิ้ง 27-54) แข่งขันแบบเหย้า-เยือน2 นัด ทีมผู้ชนะ 14 ทีมจะผ่านเข้าสู่รอบสอง
รอบที่ 2 : 40 ทีม (ทีมในแรงกิ้ง 1-26 และอีก 14 ทีมที่ผ่านรอบแรก) แบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม แข่งขันแบบพบกันหมด เหย้า-เยือน ผู้ชนะทั้ง 10 กลุ่มจะได้ผ่านเข้าสู่รอบสาม
รอบ 3 : ทีมผู้ชนะรอบ 2 จำนวน 10 ทีมจะลงเล่นแบบเหย้า-เยือนสองนัด โดยทีมที่ชนะ 5 ทีมจะได้ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก
คัดแล้ว คัดอีก กรองแล้ว กรองอีก ถ้าหากเปรียบเทียบกับโซนเอเชีย ก็เหมือนกับการคัดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จนหาทีมที่ดีทีสุดมาดวลกันในรอบสุดท้าย ที่ ญี่ปุ่น อาจจะต้องชิงตั๋วกับ เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย อาจจะต้องดวล กับ อิหร่าน ... นั่นจึงทำให้ทีมที่แข็งแกร่งต้องมาตัดกันเอง จนทำให้บางครั้งแม้แต่ทีมระดับหัวแถวท็อป 5 ก็มีสิทธิ์พลาดได้จากระบบการคัดเลือกที่โหดสุด ๆ ของโซนแอฟริกานี้
ที่สุดแล้วบทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ แม้แอฟริกาเป็นทวีปแห่งความสามารถที่โลกยอมรับ แต่การจะสร้าง "ทีมชาติขาประจำฟุตบอลโลก" ต้องการมากกว่าพรสวรรค์ มันต้องการ โครงสร้างฟุตบอลที่มั่นคงและต่อเนื่อง ระบบพัฒนาเยาวชนภายในประเทศ และการเพิ่มโควต้า (ซึ่งปี 2026 เพิ่มแล้ว) ... ต่อจากนี้เราคงได้เห็นทีมขาประจำจากทวีปแอฟริกาในฟุตบอลโลกบ่อยขึ้น และรู้แน่ชัดว่าในทวีปแห่งพรสวรรค์เช่นนี้ ชาติใดเป็นหมายเลข 1 กันแน่
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/2022_FIFA_World_Cup_qualification_(CAF)
https://www.researchgate.net/publication/282249846_THE_PROBLEM_WITH_AFRICAN_FOOTBALL_CORRUPTION_AND_THE_UNDERDEVELOPMENT_OF_THE_GAME_ON_THE_CONTINENT
https://www.sportbible.com/football/football-news/fifa-world-cup/qualifiers-cancelled-game-820708-20251009
https://newlinesmag.com/spotlight/africa-may-be-on-the-cusp-of-a-soccer-golden-age/
https://www.reddit.com/r/football/comments/14ec9tq/unpopular_opinion_african_football_teams_suck/?rdt=41102