Feature

มาร์ก มาร์เกซ : หัวใจที่แข็งแกร่ง สู่การคัมแบ็กแชมป์โลก MotoGP อย่างยิ่งใหญ่ | Main Stand

แฟนมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP ต่างมีภาพจำ มาร์ก มาร์เกซ ตั้งแต่ตอนที่ขึ้นมาบิดในรุ่นใหญ่สุดเมื่อปี 2013 จนถึงปี 2019 ว่า "ไร้เทียมทาน" 

 


เพราะใน 7 ซีซั่นดังกล่าว เขาคว้าแชมป์โลกรุ่นใหญ่ MotoGP ถึง 6 สมัย รวมกับรุ่นเล็ก 125cc (Moto3 ปัจจุบัน) และ Moto2 รุ่นกลาง อีกรุ่นละ 1 สมัย เท่ากับว่าตั้งแต่ขึ้นสู่เวทีชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2008 ถึงปี 2019 เจ้าตัวคว้าแชมป์โลกถึง 8 สมัย จาก 12 ปีที่ลงแข่ง

ใครหลายต่อหลายคนต่างก็คาดว่า เขาจะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 9 เทียบเท่า "เดอะ ด็อกเตอร์" วาเลนติโน่ รอสซี่ ได้ในอีกไม่กี่ปี และอาจทำลายสถิติอีกมากมาย แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมรสุมถาโถมเข้าใส่ จนเจ้าตัวแทบถอดใจ

และนี่คือเรื่องราวของ มาร์ก มาร์เกซ จากจุดสูงสุด สู่จุดต่ำสุด และกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดกับการคว้าแชมป์โลกอีกครั้ง

 

สัญญาฉบับสุดท้ายกับ Honda

หากนิยาม มาร์ก มาร์เกซ ใน MotoGP เมื่อฤดูกาล 2019 ไม่แปลกที่เราจะได้ยินคำว่า "สุดยอด" หรือ "ฟอร์มขั้นเทพ" เพราะจาก 19 สนาม มาร์เกซ คว้าแชมป์ไปถึง 12 สนาม จบอันดับ 2 อีก 6 สนาม มีแค่สนามเดียวเท่านั้นที่ไม่จบการแข่งขัน (ซึ่งก็มาจากการพลาดเองตอนที่ขึ้นนำ) แถมยังเพิ่มฐานแฟนคลับชาวไทยอีกเป็นกระบุง จากการคว้าชัยชนะที่ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ปิดจ๊อบแชมป์โลกสมัย 8 ที่ประเทศไทย

ผลงานดีเป็นหน้าเป็นตาเช่นนี้ ทำให้ในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2020 มาร์เกซ ตัดสินใจจรดปากกาเซ็นสัญญาฉบับประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการตกลงที่จะอยู่กับทีม Honda ต้นสังกัดเดียวที่เขาอยู่มาตั้งแต่ขึ้นสู่รุ่น MotoGP ต่อไปอีกเป็นระยะเวลาถึง 4 ปี จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2024 ด้วยมูลค่าสัญญาที่คาดกันว่าสูงถึงระดับ 100 ล้านยูโร มันดูเหมือนว่าความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ มาร์เกซ และ Honda จะไม่มีวันสิ้นสุดลง

แม้ว่า Honda RC213V รถแข่งของค่ายปีกนกจะเริ่มขี่ยากขึ้นเรื่อยๆ และนักบิดส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนอย่างหนัก แต่ มาร์เกซ ก็ยังสามารถครองความยิ่งใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ จนหลายคนบอกว่า "มอเตอร์ไซค์ Honda ทำมาเพื่อให้ มาร์ก มาร์เกซ ขี่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น"

 

วันที่เปลี่ยนแปลง MotoGP ไปตลอดกาล

เราสามารถย้อนกลับไปได้ถึงวันนั้น ... อีกหนึ่งวันธรรมดาที่เปลี่ยนแปลง MotoGP ไปตลอดกาล ... 19 กันยายน 2020 กับ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ การแข่งขันสนามแรกของฤดูกาล 2020 ที่ล่าช้าออกไปเพราะการระบาดของ COVID-19 ที่ เฆเรซ ประเทศสเปน มาร์เกซ พลาดล้มอย่างรุนแรงจนกระดูกต้นแขนข้างขวาหัก ซึ่งอุบัติเหตุครั้งนั้นได้ขัดขวางการคัมแบ็กที่อาจจะดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลังจากที่เขาเพิ่งจะไล่จากท้ายแถวเพราะล้ม กลับขึ้นมาสู่กลุ่มโพเดียมได้สำเร็จ

เพื่อเป้าหมายป้องกันแชมป์โลก ในซีซั่นที่โปรแกรมแข่งน้อยกว่าปกติ (เพราะมีเพียง 14 สนาม) ทำให้ มาร์เกซ ตัดสินใจที่จะเสี่ยงด้วยการผ่าตัด โดยให้ ดร.ซาเวียร์ เมียร์ หมอเทวดาประจำกริด MotoGP ติดแผ่นไทเทเนียม 2 แผ่นประกบรอยแตก และยึดด้วยสกรู 10 ตัว โดยแบ่งเป็นเหนือรอยหัก 5 ตัว และใต้รอยหัก 5 ตัว ซึ่งช่วยให้จุดที่ทำการรักษามีความแข็งแรงและมั่นคง ในการยึดตรึงกระดูก เนื่องจากต้องยึดกระดูกทั้งหมดเข้าด้วยกัน

หลังจากที่เข้ารับการผ่าตัด นักบิดชาวสเปนตัดสินใจที่จะ พยายามกลับมาลงแข่งขันอีกครั้งในอีกเพียงแค่ 4 วันให้หลัง ในรายการ อันดาลูเซีย กรังด์ปรีซ์ ที่สนามเดียวกันนั้น แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกที่แขนของเขาจะทำให้เขาต้องถอนตัวไป แต่เขาคงไม่คาดคิดเลยว่าตนเองเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูไปสู่ "สถานที่ที่มืดมนที่สุด" เท่าที่เขาเคยเจอมา

แผ่นไทเทเนียมที่ยึดกระดูกของเขาไว้ ไม่สามารถทนทานต่อแรงเค้นที่เกิดขึ้นได้ และได้ หักออกตอนที่เขากำลังเปิดประตูบ้านพาสุนัขคู่ใจออกไปเดินเล่น และนั่นคือฝันร้ายที่สุดเท่าที่ชีวิตนักแข่งคนนึงจะได้พบเจอ เหตุการณ์ในวันนั้น มาร์เกซ ต้องตัดใจปิดเทอมทั้งฤดูกาล 2020 เพื่อรักษาตัวให้มีสภาพที่พร้อมกว่านี้

 

จางหายไปไม่ใช่คนเดิม

มาร์ก มาร์เกซ กลับมาลงแข่งขันอีกครั้งในฤดูกาล 2021 หลังจากที่ต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บรุนแรงไปตลอดทั้งปี 2020 และหลังจากที่ต้องพลาดการลงแข่งขันในช่วงสองสนามแรกที่ประเทศกาตาร์ เขาก็ได้ประกาศการกลับมาของเขาในสนามที่ 3 ของซีซั่นที่ ปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเขาก็สามารถจบการแข่งขันได้ในอันดับที่ 7 อย่างน่าประทับใจ

แต่เส้นทางการกลับมาของเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หลังจากที่จบในอันดับที่ 9 ที่ เฆเรซ เขาก็ต้องเผชิญกับฝันร้ายด้วยการ ไม่จบการแข่งขันถึง 3 สนามติดต่อกัน รวมถึงที่ เลอ มองส์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขึ้นเป็นผู้นำกลางสายฝน ก่อนจะพลาดล้มไปอย่างน่าเสียดาย

จนกระทั่งมาถึงการแข่งขัน เยอรมัน กรังด์ปรีซ์ ที่ ซัคเซ่นริง สนามโปรดของเจ้าตัว มาร์เกซ ซึ่งควอลิฟายมาในแถวที่สอง ขึ้นเป็นผู้นำได้ตั้งแต่ในช่วงแรกของการแข่งขันและรักษามันไว้ได้จนจบ คว้าชัยชนะครั้งแรกในรอบ 581 วัน มาครองได้สำเร็จ และยังเป็นการคว้าชัยชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่ 11 ของเขาที่สนามแห่งนี้อีกด้วย

มันคือ "การหยุดพักจากความเจ็บปวดอันแสนยาวนาน" แม้ว่าจะยังคงต้องลงแข่งขันด้วยข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของแขนข้างขวา หลังจากนั้น มาร์เกซ ก็ได้สานต่อฟอร์มที่ยอดเยี่ยมด้วยการคว้าอันดับ 2 ที่ อรากอน ประเทศสเปน และที่น่าทึ่งที่สุดคือการคว้า ชัยชนะสองสนามติดต่อกัน ที่สนามโปรดของเขาอย่าง เซอร์กิต ออฟ ดิ อเมริกา หรือ COTA เมืองออสติน ประเทศสหรัฐอเมริกา และ มิซาโน่ ประเทศอิตาลี

แม้จะคว้าชัยไปได้ถึง 3 เรซ แต่เขาหลุดออกจากวงโคจรการลุ้นแชมป์โลกไปก่อนหน้านั้นแล้ว และได้ตัดสินใจที่จะไม่ลงทำการแข่งขันในสองสนามสุดท้ายของฤดูกาล ที่ ปอร์ติเมา (รอบสอง) และ บาเลนเซีย ประเทศสเปน หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการ มองเห็นภาพซ้อน (Diplopia) จากอุบัติเหตุในการฝึกซ้อม 

ตลอดฤดูกาล 2021 เขามีสถิติการล้มไปถึง 22 ครั้ง จากการลงแข่งขันเพียง 14 จาก 18 สนาม ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาต้องเค้นและขี่เกินขีดจำกัดมากเพียงใf แต่ถึงจะมีข้อจำกัดทางร่างกาย มาร์เกซก็ยังคงกำลังพิสูจน์ให้เห็นถึงคลาสของเขา ทว่าปัญหาต่างๆ ที่เขากำลังจะต้องเผชิญกับทีม Honda ในอนาคต ก็ยังไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็น …

 

การผ่าตัดครั้งสำคัญ

ฤดูกาล 2022 คือหนึ่งในปีที่ท้าทายและเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในอาชีพของ มาร์ก มาร์เกซ ซึ่งเป็นปีที่ถูกนิยามด้วยการตัดสินใจครั้งสำคัญที่อาจจะช่วยรักษาเส้นทางอาชีพนักแข่งของเขาไว้ได้

มาร์เกซ เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการจบในอันดับที่ 5 ที่ประเทศกาตาร์ แต่แล้วฝันร้ายก็กลับมาเยือนอีกครั้งในการแข่งขันสนามสองของซีซั่นที่ประเทศอินโดนีเซีย เขาประสบอุบัติเหตุล้มถึง 4 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเป็นการ "ไฮไซด์" รถสะบัดล้มอย่างรุนแรงในรอบวอร์มอัพ ทำให้แพทย์ไม่อนุมัติให้ลงแข่งขัน และหลังจากที่ได้กลับไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่สเปน เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่า อาการ "มองเห็นภาพซ้อน" ซึ่งเป็นอาการเก่าได้กลับมาอีกครั้ง จนพลาดแข่งขันไปอีก 1 สนามที่ประเทศอาร์เจนตินา

และหลังจากที่ทนขี่ด้วยข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของแขนข้างขวามานาน ที่สุดแล้ว มาร์เกซ ก็ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการเลือกที่จะหยุดพักการแข่งขันกลางคัน เดินทางไปยัง Mayo Clinic ที่รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 2 มิถุนายน 2022 เพื่อเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่สี่

การผ่าตัดครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทีมแพทย์ได้หักแขน เพื่อทำการแก้ไขกระดูกต้นแขนที่หมุนผิดตำแหน่งไปมากกว่า 30 องศา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถขี่รถคู่ใจในท่าทางที่เป็นธรรมชาติได้

การผ่าตัดประสบความสำเร็จด้วยดี และหลังจากที่ต้องพลาดการลงแข่งขันไปถึง 6 สนาม นักบิดชาวสเปน ก็ได้กลับมาลงสนามอีกครั้งที่ อรากอน โดยได้ใช้ช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาลนั้นเป็นเหมือน การเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับฤดูกาลต่อไป

มาร์เกซ สามารถคว้าตำแหน่งโพลมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ในการแข่งขัน เจแปนีส กรังด์ปรีซ์ ที่ โมเตกิ ท่ามกลางสายฝน ก่อนคว้าตำแหน่งบนโพเดียมครั้งที่ 100 ในรุ่นใหญ่สุดมาครองได้สำเร็จด้วยการจบในอันดับที่ 2 ในการแข่งขัน ออสเตราเลียน กรังด์ปรีซ์ ที่ ฟิลิป ไอส์แลนด์ หลังจากที่ต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดทั้งการแข่งขัน

ในท้ายที่สุด แม้จะต้องพลาดการลงแข่งขันไปถึง 8 จาก 20 สนาม แต่ มาร์ก มาร์เกซ ก็ยังคงจบฤดูกาลในฐานะ นักบิด Honda ที่ทำคะแนนได้สูงสุด ที่ 113 คะแนน ซึ่งมากกว่านักบิด Honda คนอื่น ๆ ถึงกว่าสองเท่าตัว ฟังดูเหมือนช่วงเวลาฝันร้ายของเขาจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ชีวิตมันโหดร้ายยิ่งกว่านั้น

 

ความสัมพันธ์เริ่มแตกร้าว

มาร์ก มาร์เกซ ปรากฏตัวในการทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล 2023ที่ เซปัง ประเทศมาเลเซีย แม้ว่าจะยังไม่ฟิตเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อนให้คอมเมนต์ว่า รถของเขานั้น "ขาดการยึดเกาะ" ซึ่งความรู้สึกนี้ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงข้อบกพร่องของรถแข่ง Honda RC213V ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป และกลายเป็น "ภาพสะท้อน" ของสิ่งที่จะตามมาตลอดทั้งฤดูกาล

นั่นคือ มาร์เกซต้องขี่แบบเกินลิมิต เค้นให้รถไปยิ่งกว่าขีดความสามารถที่มี ก่อนเจออุบัติเหตุในการแข่งขันที่ ปอร์ติเมา ทำให้เขาต้องพลาดการลงแข่งขันไปอีกถึงสามสนาม และเมื่อเขากลับมาอีกครั้งที่ประเทศฝรั่งเศส เขาก็พลาดล้มไปอีก ก่อนซ้ำแผลเก่าในสนามถัดมาที่ประเทศอิตาลี ขณะที่เขากำลังพยายามเค้นรถ Honda เกินขีดจำกัดของมันเพื่อที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งบนโพเดียม

ข้อความของเขาที่ส่งไปถึง Honda เกี่ยวกับการขาดการตอบสนองในการพัฒนาก็เริ่มที่จะมีนัยยะแฝงน้อยลงและตรงไปตรงมามากขึ้นเรื่อย ๆ 

"มันยากที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ญี่ปุ่น แต่ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา เราได้รับแค่แชสซีส์ใหม่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แทบจะไม่มีอะไรอื่นเลย"

หลังจากที่ได้ส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้บริหารของ HRC หรือ Honda Racing Corporation หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุด มาร์ก มาร์เกซ ก็ได้เข้าพบกับ ชินจิ อาโอยามะ ผู้บริหารระดับสูงอันดับสองของ Honda Motor เพื่อที่จะสื่อสารอย่างชัดเจนว่า "ความอดทนของเขานั้นมีขีดจำกัด"

"การประชุมเป็นไปด้วยดีครับ การประชุมมันก็เป็นไปด้วยดีเสมอแหละ หลังจากนั้นเราค่อยมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น" มาร์เกซ ตอบอย่างมีความหมายเมื่อถูกถามถึงการประชุมในครั้งนั้น 

หลังจากนั้นก็ได้มีการประชุมตามมาอีกสองครั้งที่ สหราชอาณาจักร และ ออสเตรีย ซึ่งแชมป์โลกหลายสมัยผู้นี้ได้ร้องขอให้มีการ "เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง" ภายในแผนกเทคนิคของ HRC เพื่อที่จะสามารถต่อกรกับผู้ผลิตจากยุโรปได้

 

ฝันร้ายที่ ซัคเซ่นริง

ซัคเซ่นริง เปรียบเสมือน "สนามนำโชค" ของ มาร์เกซ ที่ซึ่งเขาคว้าชัยชนะมาได้ทุกปีที่ลงแข่ง แต่ในฤดูกาล 2023 มันคือสถานที่นำพา มาร์เกซ สู่การ "ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด" ด้วยการพลาดล้มถึง 5 ครั้ง ในระยะเวลาเพียงแค่สองวันครึ่ง

หลังจากการล้มครั้งที่ 5 ในรอบวอร์มอัพเช้าวันอาทิตย์ เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่ลงทำการแข่งขันในรอบเมนเรซ

"ความสมดุลมันไม่คุ้มค่ากัน" เขากล่าว "การเสี่ยงเพื่อโพเดียมมันก็คุ้มค่าที่จะทำ แต่ไม่ใช่เพื่ออันดับที่เจ็ดหรือสิบ"

การตัดสินใจในครั้งนั้นคือ "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" ในแนวทางของนักบิดผู้ซึ่งไม่เคยยอมผ่อนคันเร่งเพราะความกลัวที่จะล้ม หรือได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลย ซึ่งทำให้เห็นหายนะมากขึ้นเข้าไปอีก

 

หันหลังให้ Honda

ท่ามกลางความอลม่านวุ่นวายในฤดูกาล 2023 ตลาดนักบิดก็เริ่มจับสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง เมื่อ Gresini ทีมรองของ Ducati ยังไม่ได้ประกาศเพื่อนร่วมทีมของ อเล็กซ์ มาร์เกซ ในฤดูกาล 2024 นั่นทำให้ทุกสื่อจับตามองว่า กำลังจับตาใครอยู่หรือเปล่า ?

ตัดภาพกลับมาที่ฝั่ง Honda เมื่อเวลาเดินทางมาถึงการทดสอบรถกลางฤดูกาลที่ มิซาโน่ มาร์เกซ ได้พบเจอ "หายนะที่แท้จริง" นั่นเพราะว่าเขาไม่ได้เห็นว่า รถแข่งต้นแบบสำหรับปี 2024 จะมีศักยภาพที่ดีขึ้นเลย

การที่ Honda ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองใด ๆ ก็ได้นำพาให้เขาเริ่มที่จะยอมรับอย่างเปิดเผยว่า กำลังพิจารณาที่จะไม่สวมชุดแข่งของของค่ายปีกนกต่อไป และก็ดูจะมีความเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งมันยิ่งชัดเจนเมื่อเวลาเดินทางมาถึงการแข่งขันที่ประเทศอินเดีย และประเทศญี่ปุ่น ผู้บริหารของ Honda ล้มเหลวในการที่จะทำตามแผนการว่าจ้างวิศวกร (ส่วนใหญ่จากยุโรป) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ มาร์เกซ ยอมที่จะอยู่กับทีมต่อไปจนครบสัญญาได้ ทำให้ มาร์เกซ ตีความว่าการเปลี่ยนแปลงภายในของ HRC นั้นจะ "ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย" และได้เดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นด้วยความตั้งใจที่จะยุติความสัมพันธ์ 11 ปีของเขากับ Honda

4 ตุลาคม 2023 "การแยกทาง" ของมาร์เกซ กับ Honda ก็ได้ถูกประกาศสู่สาธารณะชน ก่อนที่ 1 สัปดาห์ให้หลัง มาร์ก มาร์เกซ ตัดสินใจเข้าร่วมทีม Gresini ที่ซึ่งมี อเล็กซ์ ผู้เป็นน้องชายรออยู่แล้วนั่นเอง

"การย้ายทีมครั้งนี้จะช่วยให้มาร์กกลับมาสนุกกับการขี่มอเตอร์ไซค์และการแข่งขันอีกครั้ง"

"ต้องรอดูกันต่อไป สัญญา 1 ปีนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขายังสนุกกับมันอยู่หรือเปล่า เขาบอกผมว่าถ้าไม่สนุก เขาจะเลิกแข่ง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้" อเล็กซ์ กล่าวถึง การย้ายทีมของพี่ชายในครั้งนี้

 

รอยยิ้มที่กลับคืนมา

การย้ายไปร่วมทีม Gresini ของ มาร์ก มาร์เกซ ในตอนแรกไม่ค่อยจะเป็นที่ต้อนรับเท่าไหร่นักจากฝั่งผู้บริหารของ Ducati ที่กังวลว่า การมาของ มาร์เกซ จะส่งผลต่อโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ของทีม แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่เขาสามารถเซ็นสัญญาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าท่าทีของผู้บริหาร Ducati ได้ประนีประนอมแล้ว

ในการทดสอบหลังปิดฤดูกาล 2023 ที่ บาเลนเซีย ประเทศสเปน มาร์ก มาร์เกซ ได้ลงขี่รถแข่ง Ducati เป็นครั้งแรก และก็ได้สะกดสายตาของคนทั้งโลก เขาจบวันด้วยการทำเวลาเร็วที่สุดเป็น อันดับที่ 4 โดยตามหลังเวลาที่ดีที่สุดอยู่ไม่ถึง 0.2 วินาที และเราได้เห็น แชมป์โลก 8 สมัย มี "รอยยิ้ม" กลับมาบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง และมันก็ได้เพิ่มความคาดหวังต่อฤดูกาล 2024 ขึ้นไปอีกมหาศาล

การแข่งขันครั้งแรกของ มาร์เกซ กับรถ Ducati ที่ประเทศกาตาร์ อาจจะไม่ได้จบลงด้วยการคว้าชัยชนะครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 อย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ แต่มันก็เป็นสุดสัปดาห์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงศักยภาพอันสูงส่งของนักบิดชาวสเปนบนรถแข่ง Ducati Desmosedici GP23 ของทีม Gresini แม้จะเป็นรถที่ตกรุ่น 1 ปี กว่าทีมโรงงานก็ตาม

เขาจบในอันดับที่ 5 ในรอบสปรินท์ โดยตามหลังผู้ชนะเพียง 1.8 วินาที และจบในอันดับที่ 4 ในรอบเมนเรซ โดยตามหลังอยู่เพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น เป็นที่ชัดเจนว่าเขายังคงต้องทำงานอย่างหนักต่อไปเพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับรถแข่ง Ducati แต่ในตอนนั้น หนทางข้างหน้ามีแต่จะ "ดีขึ้น" เท่านั้น

 

"มาร์เกซ คนเดิม" กลับมาแล้ว

มาร์ก มาร์เกซ คว้าตำแหน่งโพลเป็นครั้งที่ 93 ในอาชีพของเขาที่ เฆเรซ และเกือบที่จะคว้าชัยชนะในรอบสปรินท์ได้ก่อนจะพลาดล้มไป แต่ในรอบเมนเรซ สัญญาณแรกที่บ่งบอกว่า มาร์เกซ ได้ "หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว" กับรถแข่ง Ducati ได้ปรากฏขึ้น เมื่อเขาได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงชัยชนะกับ ฟรานเชสโก้ บัญญาย่า แชมป์โลก MotoGP 2 สมัย แบบหายใจรดต้นคอ

แม้ว่า บัญญาย่า จะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปได้ แต่ มาร์เกซ ก็ได้พิสูจน์ฝีมือครั้งสำคัญ และผู้บริหารของ Ducati ก็ได้เริ่มที่จะจับตามองอย่างจริงจัง ก่อนที่เขาจะสร้างอภินิหารเตะตา Ducati อีกครั้ง ด้วยการไต่จากกริดอันดับ 13 ขึ้นมาจบในอันดับที่ 2 ได้ทั้งในรอบสปรินท์และเมนเรซ ที่ ฝรั่งเศส พร้อมทำซ้ำอีกครั้งด้วยการไต่จากอันดับ 14 มาจบที่ 2 ในรอบสปรินท์ และอันดับ 3 ในรอบเมนเรซ ที่ บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ซึ่งเป็นการคว้าโพเดียม 3 สนามติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ของเขา

และการที่ "มาร์เกซ คนเดิม" ได้กลับมานั้น ทำให้ Ducati ต้องการตัวเขาในการเซ็นสัญญาเป็นนักบิดทีมโรงงานตั้งแต่ฤดูกาล 2025 เป็นต้นไป แม้ในตอนแรก Ducati อยากให้เขาอยู่กับ Pramac ทีมลูกค้าชั้นหนึ่งที่มีรถสเปคโรงงาน และให้ ฆอร์เก้ มาร์ติน ขึ้นทีมโรงงานก็ตาม

ทว่า มาร์เกซ ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างชัดเจนว่า Pramac "ไม่ใช่ทางเลือก" สำหรับเขา เขาต้องการที่จะอยู่กับทีม Gresini ต่อไปด้วยรถสเปคโรงงาน หรือไม่ก็ต้องย้ายขึ้นไปสู่ทีมโรงงานเท่านั้น และในที่สุด วันที่ 5 มิถุนายน 2024 Ducati ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า มาร์ก มาร์เกซ ได้เซ็นสัญญาระยะเวลาสองปี เพื่อลงแข่งขันให้กับทีมโรงงานของพวกเขาจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2026

"ผมมีความสุขมากที่จะได้สวมชุดสีแดงของทีมโรงงาน Ducati ในฤดูกาลหน้า" มาร์เกซ กล่าว 

"โดยพื้นฐานแล้ว ตั้งแต่การได้สัมผัสกับรถ Desmosedici GP ครั้งแรก ผมก็สนุกกับการขับขี่และปรับตัวได้ดีในทันที จากวินาทีนั้น ผมก็รู้ว่าเป้าหมายของผมคือการเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางนี้, เติบโตต่อไป, และย้ายไปสู่ทีมที่ ฟรานเชสโก้ บัญญาย่า เป็นแชมป์โลกมาแล้วสองปีซ้อน ผมมีความสุขที่ได้ก้าวไปอีกขั้นที่ยิ่งใหญ่ในปี 2025 และขอขอบคุณสำหรับความไว้วางใจที่ Ducati ได้มอบให้กับผม"

"สุดท้ายนี้ ผมอยากจะขอบคุณ นาเดีย [ปาโดวานี่], คาร์โล [เมอร์ลินี่], มิเคเล่ [มาซินี่], และครอบครัว Gresini Racing ทุกคน ที่ได้เปิดประตูทีมของพวกเขาให้กับผมในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนในอาชีพของผม ตอนนี้เราจะยังคงสนุกต่อไปและทุ่มเทอย่างเต็มที่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของผมในตอนนี้ครับ"

ซึ่ง มาร์ก มาร์เกซ ก็ได้มอบของขวัญสั่งลาทีม Gresini ด้วยการคว้าชัยที่ อรากอน ทั้งในรอบสปรินต์ และเมนเรซ รวมถึง มิซาโน่ และ ฟิลิป ไอส์แลนด์ ในรอบเมนเรซ เป็นสิ่งที่การันตีได้ว่า นี่แหละ "มาร์เกซ คนเดิม" ของแทร่

 

ชุดสีแดงไร้เทียมทาน

หลังจากเซ็นสัญญากับ Ducati เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายฝ่ายคาดเดาไม่ถูกว่า การร่วมงานกันระหว่าง มาร์เกซ และ บัญญาย่า จะเป็นอย่างไร นั่นเพราะว่า ทั้งสองคนนั้นมีความเชื่อโยงที่เกี่ยวข้องกับ วาเลนติโน่ รอสซี่ ในมุมมองที่ต่างกันออกไป

มาร์เกซ ครั้งวัยเยาว์ มี รอสซี่ เป็นไอดอลของเขา และให้ความเคารพตำนานชาวอิตาเลียนเสมอมา เขาได้เริ่มแข่งเคียงคู่กับไอดอลของเขาในปี 2013 จนกระทั่งปี 2015 ทั้งคู่มีเหตุปะทะกันในสนามหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งที่ เซปัง ประเทศมาเลเซีย เรื่องก็มาถึงจุดแตกหัก

ในตอนนั้น มาร์ก มาร์เกซ หมดลุ้นแชมป์โลกไปแล้ว แต่เป็นตัวแปรสำคัญในการแย่งแชมป์โลกระหว่าง วาเลนติโน่ รอสซี่ กับ ฆอร์เก้ ลอเรนโซ่ นักบิดชาวสเปน สองนักบิดร่วมทีม Yamaha และในการแข่งขันที่ เซปัง หลังจากที่ มาร์เกซ ขี่กวนสมาธิหลายต่อหลายหน รอสซี่ ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการขี่บังไลน์อีกฝ่าย ก่อนที่จะเหมือนมีการสัมผัสกัน ที่ไม่แน่ชัดว่า รอสซี่ "ถีบ" มาร์เกซ จนรถล้มหรือไม่

หลังจบเรซนั้น ฝ่ายควบคุมการแข่งขัน แม้ไม่ได้ตัดสินในเรื่องการถีบ แต่ตัดสินให้ รอสซี่ มีความผิดเรื่องตั้งใจขี่บังไลน์คู่แข่ง และคะแนนโทษที่ได้รับ รวมกันเพียงพอให้ รอสซี่ โดนปรับโทษกริดสตาร์ทไปอยู่ท้ายแถวในสนามสุดท้าย ก่อนพลาดการคว้าแชมป์ในปีนั้นไป ซึ่งจวบจนถึงทุกวันนี้ รอสซี่ ก็ยังคงคิดว่า มาร์เกซ คือ ต้นเหตุที่ทำให้เขาอดคว้าแชมป์โลก ซึ่งจะเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 10 อีกด้วย

ขณะที่ บัญญาย่า คือหนึ่งในศิษย์เอกของรอสซี่ ภายใต้โครงการ VR46 Riders Academy ที่สร้างชื่อเสียงด้วยการคว้าแชมป์ในรุ่นพรีเมียร์คลาสคนแรก และถูกฝึกสอน ถ่ายทอดความรู้ โดย รอสซี่ มาเป็นอย่างดี

คำถามสำคัญคือ บัญญาย่า จะต้องเผชิญหน้ากับ ผู้ที่ซึ่งเปรียบเสมือน "อริ" ของอาจารย์ จะเป็นอย่างไร คำตอบของเขาคือ "อันนั้นก็เป็นเรื่องของอาจารย์เขา กับ มาร์เกซ ผมไม่ทันเหตุการณ์นั้น ผมคงไปตัดสินอะไรไม่ได้"

กลับมาที่ฟากของ มาร์เกซ ในการทดสอบหลังจบฤดูกาล 2024 ที่ บาร์เซโลน่า (ย้ายโปรแกรมจาก บาเลนเซีย ซึ่งเจอน้ำท่วม) Ducati วางแผนให้ใช้ Ducati Desmosedici  GP23, GP24 และ GP25 ค่อย ๆ ไต่ระดับไปเพื่อเป็นการปรับตัวกับรถ แต่ท้ายสุดแล้ว มาร์เกซ ตัดสินใจจับ Ducati GP25 โดยทันที และแสดงให้เห็นว่าเขานั้นปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จากการทำเวลาเร็วสุดเป็นอันดับ 4 และมีเวลาที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเซชชั่นการทดสอบต่อ ๆ ไป ก่อนเปิดฤดูกาล 2025

เมื่อฤดูกาล 2025 เริ่มขึ้น มาร์เกซ ก็ได้แสดงความไร้เทียมทานของตนเองในทันทีตั้งแต่ช่วงแรกของฤดูกาล เขาคว้าไปถึง 4 จาก 5 โพลโพซิชั่นแรก, ชนะการแข่งขันในรอบสปรินท์ 6 ครั้งแรกติดต่อกัน, และคว้าชัยชนะในรอบเมนเรซได้ 3 ครั้งที่ ประเทศไทย, อาร์เจนตินา และ กาตาร์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาขึ้นมานำเป็นจ่าฝูงในตารางคะแนนสะสมชิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019

แม้ว่าจะมีการพลาดล้มในขณะที่กำลังนำอย่างสบาย ๆ ที่ COTA และในขณะที่กำลังวิ่งอยู่ในอันดับสามที่ เฆเรซ แต่เขาก็กลับมาอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการทำเวลาเร็วที่สุดในทุกๆ เซสชั่น ที่ อรากอน พร้อมเหมาทั้งวันเสาร์ และอาทิตย์ ก่อนคว้าโพลโพซิชั่นที่ 100 พร้อมกับคว้าชัยชนะครั้งที่ 93 ในอาชีพที่ มูเจลโล่ ประเทศอิตาลี

เท่านั้นยังไม่พอ มาร์เกซ ยังคงคว้าชัยอย่างต่อเนื่องที่ แอสเซน ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ ซัคเซ่นริง สร้างสถิติคว้าชัยชนะครั้งที่ 69 ในรุ่นพรีเมียร์คลาส แซงหน้าตำนานอย่าง จาโคโม่ อากอสตินี่ ขึ้นไปรั้งตำแหน่งอันดับสองในสถิติผู้ชนะสูงสุดตลอดกาลได้สำเร็จ 

และที่ เบอร์โน่ ประเทศสาธารณรัฐเช็ก เขาก็คว้าชัยชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นักบิด Ducati ทำได้ใน MotoGP เข้าสู่ช่วงพักฤดูร้อนไปพร้อมกับคะแนนนำห่างถึง 120 แต้ม แม้ว่าจะมีการพลาดล้มอีกครั้งในการแข่งขันรอบสปรินต์ที่ มิซาโน่ แต่เขาก็สามารถกลับมาคว้าชัยในรอบเมนเรซ ซึ่งนับเป็นชัยชนะครั้งที่ 99 ในอาชีพ

แม้ที่ โมเตกิ จะเข้าเส้นชัยในเรซจริงเพียงอันดับสอง แต่คะแนนสะสมที่ทำมา ก็มากพอทำให้ มาร์ก มาร์เกซ คว้าแชมป์โลกอีกครั้ง และเป็นการฉลองแชมป์โลกที่แดนอาทิตย์อุทัยในรอบ 7 ปี หลังเคยฉลองแชมป์ที่นี่ครั้งล่าสุดในปี 2018

ไม่ว่าการนับแชมป์แบบเก่าที่จะนับแชมป์โลกรุ่นเล็ก รุ่นกลาง รวมถึงแชมป์โลกรุ่นใหญ่ซึ่งจะทำให้นักบิดชาวสเปนมีแชมป์โลกประดับมือ 9 สมัย หรือจะนับแบบใหม่ตามเจ้าของใหม่อย่าง Liberty Media ที่นับแค่รุ่นใหญ่ ซึ่งจะอยู่ที่ 7 สมัย แต่ไม่ว่าจะนับแบบไหน มาร์ก มาร์เกซ ก็มีจำนวนแชมป์โลกเท่ากับ วาเลนติโน่ รอสซี่ ตำนานชาวอิตาเลียนอยู่ดี และมีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสคว้าแชมป์ต่อหากยังไม่เลิกแข่งก่อน

 

มากกว่าแชมป์โลก

หลังจากการันตีการคว้าแชมป์โลก MotoGP ได้เลือกใช้แฮชแท็ก #MoreThanANumber เพื่อแสดงความยินดีกับ มาร์ก มาร์เกซ โดยสะท้อนว่า ภายใต้ตัวเลขการเป็นแชมป์โลกของเขา มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย

และตัวของมาร์เกซเองก็เห็นตรงกัน แม้เจ้าตัวอยากใช้คำต่างจากนี้ก็ตาม

"ผมไม่รู้เรื่องที่ MotoGP ใช้แฮชแท็ก More Than A Number นะ แต่สำหรับผม มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แชมป์โลกครั้งนี้ มันมากกว่าแค่ตำแหน่งแชมป์ เพราะผมเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า นี่คือความท้าทายที่ยากที่สุดในอาชีพของผม"

"เมื่อคุณอยู่บนยอดเขา คว้าชัยชนะทุกสัปดาห์ และคว้าแชมป์มาครองได้ เมื่อคุณล้มลง แรงกระแทกจะรุนแรงกว่าเดิมมาก คุณไม่ได้ล้มลงบนพื้น แต่คุณจะจมดิ่งลงไปใต้ดิน"

"ดังนั้น การจะก้าวออกมาจากตรงนั้นจึงเป็นไปไม่ได้โดยลำพัง และผู้คนมากมายรอบตัวผมช่วยเหลือผม หลายคนให้โอกาสผมเดินตามรอยทาง และบอกผมว่า 'ทำตามสัญชาตญาณ' มันช่วยผมได้มากจริง ๆ"

"6 ปีก่อน (ปี 2019) ผมไม่รู้ว่าความทุกข์ทรมานคืออะไร ผมลิ้มรสความรุ่งโรจน์ตลอดอาชีพการงานตั้งแต่ปี 2010 จริงอยู่ที่ผมมีอาการบาดเจ็บบ้าง แต่ผ่านไป 3-4 เดือนก็หายขาด และผมก็กลับมาชนะอีกครั้ง"

"การที่ต้องผ่าตัดแขนถึง 4 ครั้งในช่วงเวลา 4 ปี และเพื่อการรักษา ต้องมีการหักกระดูกของผม แถมผมยังไปทำกระดูกหักเพิ่มอีก บวกกับเกิดอาการเห็นภาพซ้อนอีกสองครั้ง มันยากมากเลย"

"ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมต้องต่อสู้กับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการต่อสู้กับ มาร์ก มาร์เกซ มาร์กสู้กับมาร์ก สู้กับตัวเองนี่แหละ"

"มาร์กคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง มาร์กอีกคนพูดอีกอย่าง มาร์กคนหนึ่งพูดว่า 'หยุด' มาร์กอีกคนพูดว่า 'ทำต่อไป' แต่สุดท้ายแล้ว ผมพยายามทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง ทุ่มเทเต็มร้อย ไม่ยอมแพ้และพยายาม นี่คือคำที่เหมาะสมที่สุด 'พยายามทำมัน'"

อย่างไรก็ตาม โฆเซ่ หลุยส์ มาร์ติเนซ ผู้ช่วยส่วนตัวของมาร์เกซ เผยว่า ยังมีเรื่องราวที่โลกไม่รู้อีกมากมาย กว่าที่จะมาถึงวันนี้

"ไม่มีใครรู้ว่า มาร์กร้องไห้มากแค่ไหนเพื่อจะได้กลับมาสู่ช่วงเวลานี้"

"ผมคิดว่าในบางสถานการณ์ มีคำพูดไม่มากนักที่จะบอกกับคนที่กำลังทุกข์ทรมานได้ ผมแค่อยู่เคียงข้างเขา เพื่อให้เขารู้ว่าผมอยู่ตรงนั้น"

"สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับเขา และผมบอกเขาเป็นพันครั้ง คือเขาลงโทษตัวเองมากเกินไปเมื่อทำผิดพลาด ผมเข้าใจว่ามันผลักดันให้เขาทำในสิ่งที่เขาทำและเป็นตัวของตัวเอง แต่ผมทนเห็นมัน และผมพยายามโน้มน้าวให้เขาไม่เข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป"

"แต่ก็นั่นแหละ มาร์ก มาร์เกซ ร่างทองจะมาในตอนที่เจอแรงกดดันสูงสุด แรงกดดันคือสิ่งที่ผลักดันให้เขาทำผลงานให้ดีที่สุด มุ่งมั่นและสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองมากขึ้น ในการแข่งขันที่เขาต้องเจอกับความท้าทายมากที่สุด เขากลับทำผลงานได้ดีที่สุด นั่นคือช่วงเวลาที่ผมรู้ว่าทุกอย่างจะต้องออกมาดี"

เช่นเดียวกับ อเล็กซ์ มาร์เกซ น้องชายของ มาร์ก มาร์เกซ ที่บอกว่า สิ่งที่คนทั่วโลกเห็น เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้นเอง

"ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าเขาจะกลับมา เขาจะแข็งแกร่งขึ้น และเป็นเรื่องจริงนะ ที่คนทางบ้านเห็นแค่ 10% ในการกลับมาของเขา ไม่ใช่ 100%"

"ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เห็นการกลับมาทั้งหมดนั้นด้วยตัวเอง เขาสมควรได้รับมันมากกว่าใคร ๆ เขาทำได้ดีกว่าทุกคนในปีนี้ ดังนั้นผมจึงไม่สงสัยเลยว่าเมื่อเขามีเครื่องมือ เมื่อเขาพร้อมทุกอย่าง เขาจะกลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเขาก็แสดงให้เห็นแล้ว"

เรื่องราวของ มาร์ก มาร์เกซ ทำให้เห็นว่า การกลับมาที่ยิ่งใหญ่ อาจไม่ต้องมีความซับซ้อนมากมายอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ หัวใจที่แข็งแกร่ง กับวัย 32 ปีในปี 2025 เขายังมีความเร็ว เพิ่มเติมด้วยความเก๋า ที่ทำให้เป็นส่วนผสมที่ลงตัว มีความเยือกเย็นในการตัดสินใจ แก้สถานการณ์ได้ดี รับมือกับความกดดันทุกรูปแบบ แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เหมือนกับสมัยวัยหนุ่ม

หัวใจที่แข็งแกร่งนี้ มันคือสิ่งที่ถูกลับคมจาก "บทเรียน" ที่มีครูผู้สอนชื่อ "ชีวิต" ที่คอยโบยตีจากอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา กลายเป็นยอดคนที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อวาน ซึ่งชายคนนี้เป็นผู้ที่สอนคนจากการกระทำได้อย่างแน่แท้

เรื่องราวของ มาร์เกซ ทำให้เห็นว่า การกลับมาที่ยิ่งใหญ่ อาจไม่ต้องมีความซับซ้อนมากมายอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ หัวใจที่แข็งแกร่ง กับวัย 32 ปี เขายังมีความเร็ว เพิ่มเติมด้วยความเก๋า ที่ทำให้เป็นส่วนผสมที่ลงตัว มีความเยือกเย็นในการติดสินใจ แก้สถานการณ์ได้ดี รับมือกับความกดดันทุกรูปแบบ แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เหมือนกับสมัยวัยหนุ่ม

"ตอนนี้ร่างกายผมอาจจะไม่เหมือนเดิม แต่จิตใจผมแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก" เขากล่าว

หัวใจที่แข็งแกร่งนี้ มันคือสิ่งที่ถูกลับคมจาก "บทเรียน" ที่มีครูผู้สอนชื่อ "ชีวิต" ที่คอยโบยตีจากอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา กลายเป็นยอดคนที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อวาน ซึ่งชายคนนี้เป็นผู้ที่สอนคนจากการกระทำได้อย่างแน่แท้

 

อ้างอิง

https://www.motorsport.com/motogp/news/timeline-marc-marquez-path-becoming-factory-ducati-motogp-rider/10619675/
https://www.motorsport.com/motogp/news/the-timeline-of-marquezs-bombshell-split-with-honda-in-motogp/10528782/

Author

พงศ์ปณต ตั้งตราชู

นักเล่ามอเตอร์สปอร์ตในคราบพนักงานออฟฟิศ

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ