Feature

รับติดเทอร์โบ : ทำไมกองกลางตำแหน่งตัวรับยุคนี้ยิงเยอะไม่แพ้เพลย์เมคเกอร์ ? | Main Stand

โลกฟุตบอลยุคใหม่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในยุคนี้อะไรที่ไม่เคยได้เห็นในวันเก่า ๆ เราก็ได้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง 

 

และสิ่งที่เราสังเกตได้ ณ ปัจจุบัน คือคำถามสำคัญในคราวนี้ นั่นคือคำถามที่ว่า ทำไมกองกลางตัวรับยุคนี้ถึงยิงประตูได้มากไม่แพ้กับนักตะตัวรุกเลย ยกตัวอย่างเช่น กาเซมิโร่, โรดรี้, มาร์ติน ซูบินเมนดี้ และล่าสุดอย่าง ไรอัน กราเฟนแบร์ก 

ไล่เรียงวันเวลาเก่า ๆ จนถึงยุคสมัยใหม่และหาคำตอบไปกับ Main Stand 

 

1990s 2000s และปัจจุบัน 

หากจะพูดถึงตำแหน่งกองกลางตัวรับในยุคเก่า ๆ เราควรเริ่มตั้งแต่ยุค 1990s ที่เหล่าตัวรับถูกเรียกว่า ฮาร์ดแมน เป็นผู้นำของทีม และห้องเครื่องคนสำคัญ นักเตะที่สะท้อนตัวตนของยุคนั้นได้ดีที่สุดคงหนีไม่แพ้ รอย คีน และ ปาทริก วิเอร่า หรือแม้กระทั่ง โคล้ด มาเกเลเล่ ที่แฟนบอลบ้านเราน่าจะพอผ่านหูผ่านตามาบ้าง 

ทั้ง 2 คนเป็นกองกลางในระบบ 4-4-2 หน้าที่ของพวกเขาจึงเล่นแบบวิ่งขึ้นวิ่งลง ช่วยเกมรับ และเป็นตัวสนับสนุน สอดทะลุในเกมรุก ซึ่งในส่วนเกมรุกอาจจะเบาบางสักหน่อย เพราะในทีมจะมีนักเตะตัวรุกหลายคน ได้แก่กองหน้า 2 คน ปีก 2 คน และอาจจะรวมถึงมิดฟิลด์ที่ยืนข้าง ๆ พวกเขาอีกคนที่เป็นเชิงรุกมากกว่า 

แม้กองกลางในลักษณะไดนาโมเหล่านี้จะเคยโดดเด่นในยุค 1990s แต่ไม่นานนักเมื่อเข้าสู่ทศวรรษใหม่ ระบบการเล่น 4-4-2 เริ่มถูกดัดแปลงมาเป็น 4-3-3 เพื่อเน้นความรัดกุมมากขึ้น ด้วยการถอดกองหน้าออก 1 คน และเน้นแดนกลางให้มีเหนียวแน่น เสียบอลยาก ซึ่งมันทำให้เกิดกองกลางในรูปแบบใหม่ นั่นคือกองกลางตัวรับที่ยืนอยู่ท้ายสุดของแผงมิดฟิลด์ และยืนอยู่หน้าแผงเกมรับของทีม ซึ่งจุดนี้แหละเริ่มเกิดเทรนด์กองกลางตัวรับแบบใหม่ขึ้นมา 

ภายใต้ชื่อใหม่แบบที่เรียกกันว่า เรจิสต้า หรือ ดีป-ลายอิ้ง เพลย์เมคเกอร์ นักเตะอย่าง เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรีย ปิร์โล่ หรือ โทนี่ โครส เป็นสไตล์แบบนั้น พวกเขาเป็นผู้กำหนดทิศทางของเกม เป็นคนที่ต้องเก่งมาก ๆ ในระดับครบเครื่อง เซนส์บอลไว เปิดบอลดี แย่งบอลยาก อ่านสถานการณ์เก่ง เรียกได้ว่าการเล่นของนักเตะเหล่านี้ สร้างเทรนด์กองกลางตัวรับขึ้นมาใหม่ ที่ไม่นานนัก ก็มีนักเตะประเภทนี้เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ 

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าฟุตบอลนั้นเป็นวัฏจักร ไม่มีแท็คติกหรือตำราไหนที่เก่าเกินไปใช้ไม่ได้ หากแต่ว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนหรือประยุกต์เพียงเล็กน้อย ของเก่าที่คนเคยเลิกใช้ ก็อาจกลับกลายมาเป็นของดีในฟุตบอลยุคใหม่ได้อีกครั้ง และตำแหน่งกองกลางตัวนรับหลังยุค 2020s เป็นต้นมา ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น 

มันคือการกำเนิดใหม่ของมิดฟิลด์เบอร์ 6 ที่จำเป็นต้องดุดัน แย่งบอลเก่งเหมือนกับฟุตบอลยุค 1990s และ เป็นจอมทัพในการขึ้นเกมของทีมเหมือนกับนักเตะตัวรับยุค 2000s ด้วย

สิ่งที่เราเห็นชัดก็คือ นักเตะกองกลางตัวรับชั้นดีในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา จะไม่ได้มีหน้าที่แค่ออกบอล หรือตัดเกมอีกแล้ว พวกเขามักกลายเป็นอาวุธลับในยามที่ทีมต้องการประตู และบางคนถึงขั้นที่ยิงมากกว่าตัวรุกในทีมด้วยซ้ำ ... ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?

 

วิธีเล่นเปลี่ยน นักเตะเปลี่ยน 

ฟุตบอลยุคปัจจุบันไม่มีทีมไหนไม่ให้ความสำคัญกับการเพรสซิ่งแน่นอน เรื่องของการแย่งบอลในพื้นที่ทำการด้วยความเข้มข้นระดับสูง คือสิ่งที่ทุกทีมต้องทำเพื่อให้ตนเองกลายเป็นฝ่ายครอบครองบอลให้ได้

นั่นทำให้เบอร์ 6 ยุคนี้สำคัญมาก การเพรสซิ่งของพวกเขาต้องใช้ความระแวดระวังมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ เพราะถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเกม ถ้าพวกเขาเข้าปะทะวืด และไม่ได้บอลกลับมา เป็นที่แน่ชัดว่าเพื่อนร่วมทีมจะต้องลำบากในการรับมือกับเกมรุกคู่แข่งแน่นอน 

และในขณะเดียวกัน นอกจากการแย่งบอลที่เก่งแล้ว เทรนด์ฟุตบอลยุคนี้ที่ทุกทีมต้องมี (จะเน้นมากหรือเน้นน้อยแล้วแต่วิธีการของแต่ละทีม) นั่นคือการบิลด์อัพบอลจากแดนหลัง ซึ่งคนที่จะคอยแจกจ่ายฟุตบอลก็คือตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับนี่แหละ 

เมื่อเอาความสามารถทั้ง 2 แนวทางเข้าผนวกกันคุณจะเห็นคุณสมบัติของตัวรับในยุคนี้ต้องการคือ ร่างกายดี ทักษะดี และมีวิสัยทัศน์ต่อเกม รวมถึงการอ่านเกมล่วงหน้าสูงมาก และบางครั้งพวกเขาต้องขึ้นไปไล่ล่าฟุตบอลในแดนคู่ต่อสู้ ซึ่งถ้าพวกเขาตัดได้ จะกลายเป็นโอกาสสวนกลับ และสร้างโอกาสยิงประตูได้ทันที ยิ่งแย่งในแดนบนมากเท่าไหร่ เหล่าเบอร์ 6 ก็จะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น 

เหตุผลเพราะในเกมยุคใหม่มีความรับผิดชอบทั้งในเกมรับ และเกมรุก ทุกคนในทีมต้องมีส่วนช่วยกันเล่นในแต่ละจังหวะ ดังนั้นคุณจะได้เห็นว่าในยุคนี้ เหล่ากองกลางตัวรับ จะทำหน้าที่เป็นตัวสอดขึ้นไปทำประตูในจังหวะที่รวดเร็วเพียงชั่วพริบตา เรียกได้ว่าพวกเขาต้องกลายเป็นอาวุธลับ เข้าไปอยู่ในจุดอันตราย ขณะที่คู่แข่งไม่ทันระวัง เพราะมัวแต่จัดการคู่ประกบที่เป็นตัวรุก

แนวทางที่ชัดเจนที่สุดที่ควรเอามายกเป็นตัวอย่างคือ โรดรี้ กองกลางตัวรับที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ปี 2024 มาครองได้สำเร็จ ตัวของ โรดรี้ นั้นแข็งแรงแย่งบอลเก่ง เช่นเดียวกับการครองบอล และการจ่ายสั้น-ยาว หรือพาบอลไปเอง ได้อย่างมีจังหวะจะโคน เรียกได้ว่าเขาเป็นโมเดลของเบอร์ 6 ยุคนี้ ที่บางครั้งต้องทำหน้าที่เบอร์ 8 และเบอร์ 10 ด้วยก็คงไม่ผิดนัก 

การเล่นของ โรดรี้ สะท้อนทุกอย่างออกมา เพราะเขาถือเป็นนักเตะที่มักจะโผล่มาในกรอบเขตโทษ และสร้างจังหวะอันตรายได้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับทีมที่ใช้ระบบเกมรับแบบจอดรถบัส ตั้งรับต่ำ ซึ่งทำให้พื้นที่แดนกลางของ โรดรี้ ปลอดภัยมากพอที่จะทำให้เขาขึ้นมาช่วยทีมยิงประตู 

กองกลางเบอร์ 6 ชั้นดียุคนี้เกิดมาตรฐานใหม่ขึ้นมาจากความยอดเยี่ยมของ โรดรี้ คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาคือการกล้าเสี่ยงที่จะขึ้นไปอยู่ตำแหน่งที่สูงมากกว่าหน้าที่หลักของตัวเอง รวมถึงกล้าเล่นเสี่ยง ๆ เช่นการยิงจากระยะไกล หรือการพาบอลหลบคู่แข่งเพื่อเปลี่ยนเกมรับเป็นรุกในพริบตา 

เผลอแวบเดียว ณ ปัจจุบันเราก็ได้เห็นกองกลางตัวรับในแบบที่ โรดรี้ เป็นมากมายในเกมพรีเมียร์ลีกยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูกาล 2025-26 ที่ถือเป็นปีทองของเหล่าเบอร์ 6 รุ่นใหม่อีกด้วย และ หลายประตูจากเกมพรีเมียร์ลีกที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นคุณสมบัติกลางรับยุคนี้ได้เป็นอย่างดี 

 

เบอร์ 6 ในร่างเบอร์ 8 (และบางครั้งก็เบอร์ 10) 

กองกลางเบอร์ 6 ที่กำลังเด่นสุด ๆ ในพรีเมียร์ลีก ณ เวลานี้คือ ไรอัน กราเฟนแบร์ก จาก ลิเวอร์พูล อย่างไม่ต้องสงสัย ทันทีที่เขากลับมาลงสนามช่วยทีมในซีซั่นนี้ เขาก็ยิงประตูในลีก 2 นัดติดต่อกัน และการเติมเกมขึ้นมายิงใส่ เอฟเวอร์ตัน ใน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ก็บอกยี่ห้อกองกลางตัวรับชั้นดีของฟุตบอลยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี 

ประตูที่ กราเฟนแบร์ก ยิงได้ แทบจะไม่มีให้เห็นในตัวรับยุคเก่า นั่นคือเมื่อเขาปล่อยบอลออกจากเท้าในแดนตัวเอง เขาใช้เวลาแค่ 10 วินาทีเท่านั้น ในการพาตัวเองทะลุเข้ามาในเขตโทษคู่แข่งและยิงประตูเปิดเกมได้ด้วยทักษะการคอนโทรลบอลที่ยอดเยี่ยม เพราะไม่ใช่ลูกยิงง่าย ๆ เลยในการฮาล์ฟวอลเล่ย์แบบนั้น 

กราเฟนแบร์ก แค่ชิ่งสั้น ๆ กับ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ ก่อนที่บอลจะไปถึง โมซาลาห์ ที่ริมเส้นฝั่งขวา และจากนั้น กราเฟนแบร์ก ก็เริ่มเข้าจุดทำการ แบบที่ เอฟเวอร์ตัน ไม่รู้จะรับมือกับการวิ่งของเขาอย่างไร ยืนยันได้จาก อิดริสซา เกย์ ชี้ไปที่เซ็นเตอร์แบ็กเพื่อไล่ตาม แต่เซ็นเตอร์คนอื่น ๆ ก็ทิ้งงานหลักไม่ได้เพราะพยายามปิดผู้เล่นเกมรุก ลิเวอร์พูล คนอื่น ๆ อยู่ ก่อนจะกลายเป็นประตูที่ยอดเยี่ยมตามที่กล่าว

กราเฟนแบร์ก เปิดเผยภายหลังว่า วิธีการเล่นแบบนี้เกิดขึ้นเพราะการอนุญาตของ อาร์เน่อ ชล็อต กุนซือของทีม โดยในซีซั่น 2024-25 กราเฟนแบร์ก เพิ่งไปเล่นเป็นเบอร์ 6 ชล็อต จึงยังไม่กล้าไว้ใจให้เล่นเกมรุกมากขนาดนี้ แต่เมื่อผลออกมาว่าซีซั่นที่แล้วเขาสอบผ่านฉลุย ในปีนี้จึงมีการเพิ่มหน้าที่ใหม่ให้กับเขา นั่นคือเกมรุก แบบที่เราได้เห็นกัน 

"ปีนี้ผมจะยิงประตูและแอสซิสต์ให้มากขึ้น เพราะปีที่แล้วโค้ชพยายามให้ผมเล่นเบอร์ 6 และเป็นตัวรองในเกมรุกเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมสามารถเติมเกมรุกได้มากขึ้น และคุณก็ได้เห็นจากประตูนี้ นี่คือจุดแข็งของผมที่ผมพยายามยกระดับขึ้นมา และน่าพอใจกับสิ่งที่ผมทำได้" 

สิ่งที่ กราเฟนแบร์ก พูด คือสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นกับนักเตะกองกลางเชิงรับในพรีเมียร์ลีกหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็น กาเซมิโร่, ทิจจานี่ ไรจ์นเดอร์, มาร์ติน ซูบิเมนดี้ ก็ล้วนทำประตูได้ในซีซั่นนี้จากการเติมเกมรุก และโจมตีพื้นที่ว่างของเกมรับคู่แข่งแบบนี้ 

ไม่ใช่แค่นักเตะกลางรับที่คลาสสูง ๆ เท่านั้น แม้แต่ประตูของกองกลางตัวรับจาก วูล์ฟส์ อย่าง ลาดิสลาฟ เครย์ชี ในเกมแพ้ ลีดส์ 1-3 ก็ใช้วิธีการทำเกมรุกที่ไม่ต่างกัน นั่นคือการใช้เบอร์ 6 ขยับเข้ามามีส่วนร่วม และเพิ่มตัวเลือกไม่ว่าจะในกรอบเขตโทษ หรือการรอเก็บแถว 2 หน้ากรอบเขตโทษคู่แข่ง

โดยประตูดังกล่างของ เครย์ซี เป็นการเติมเกมขึ้นมาแบบที่นักเตะเกมรุกของทีมฉีกออกด้านกว้างเพื่อไปต่อบอลกันนอกกรอบเขตโทษ ในขณะที่ ลีดส์ ไม่ทันระวังเพราะไม่มีนักเตะคนไหนของ วูล์ฟส์ อยู่ในกรอบโทษเลย เครย์ซี่ ก็ใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้ากรอบเขตโทษเป็นคนแรก ก่อนที่ เฟร์ โลเปซ จะเปิดบอลเข้าไปในจุดนัดพบให้เขายิงประตูสำคัญลูกนี้เข้าไป 

จะเห็นได้ว่าการการตีความบทบาทของกองกลางตัวรับในยุคนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเรื่องปกติในฟุตบอลสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยหน้าที่ที่มากขึ้นเพื่อความสมบูรณ์แบบของเกมรุกที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว 

โดยเฉพาะในจังหวะที่ทีมไม่ได้ครองบอล เดิมที "ตัวรับ" มักจะปักหลักไม่ยอมออกจากแดนตัวเอง แต่ทุกวันนี้พวกเขาได้รับคำสั่งให้ตามประกบคู่แข่งขึ้นสูง ดันเกมไล่กดดัน และเล่นด้วยความดุดันมากกว่าเดิม ที่สำคัญคือ พวกเขาไม่ต้องรู้สึกอึดอัดหรือฝืนธรรมชาติอีกต่อไปเมื่อต้องก้าวขึ้นไปสู่พื้นที่อันตรายในแดนสุดท้าย

สิ่งที่น่าสนใจคือ กองกลางหลายคนล้วนเคยเล่นในตำแหน่งที่สูงกว่านี้มาก่อน จึงติดตัวมาด้วยสกิลเกมรุกเหนือกว่ากองกลางตัวรับแบบดั้งเดิม และพวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะแสดงศักยภาพนั้นออกมา ยิ่งในยุคที่หลายทีมตั้งรับแน่น เน้นการบีบพื้นที่สูง การมี "ตัวรับ" ที่พร้อมจะทะลวงแนวรับจากตำแหน่งที่คู่แข่งคาดไม่ถึง กลายเป็นอาวุธที่ทำลายสมดุลของคู่แข่งได้ในพริบตา

หลักฐานก็ชัดเจนที่สุดก็คือในพรีเมียร์ลีกซีซันใหม่นี้ นักเตะตำแหน่งกลางรับอย่าง กราเฟนแบร์ก, มอยเซส ไกเซโด้, ซูบิเมนดี้ ยิงในลีกไปแล้วคนละสองลูก ขณะที่ ชูเอา ปาลินญ่า ขอ งสเปอร์ส, กาเซมิโร่ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด และ อิดริสซา เกย์ ของ เอฟเวอร์ตัน ต่างก็มีสกอร์ช่วยทีมในเกมรุกไปแล้วชเน่กัน 

เมื่อหันกลับไปมองอดีต โลกฟุตบอลตอนนั้นแทบจะเป็นอีกใบไปแล้ว จากยุคที่ยอดกองกลางตัวรับอย่าง มาเกเลเล่ ยิงได้แค่ 5 ลูกตลอดอาชีพค้าแข้ง กลายเป็นยุคที่เหล่าตัวรับกลายเป็นอาวุธลับที่ทุกทีมต้องมี หากอยากจะเอาชนะในเกมยาก ๆ เช่นพรีเมียร์ลีกยุคนี้ 
 

แหล่งอ้างอิง

https://www.nytimes.com/athletic/6661536/2025/09/26/defensive-midfielder-goals-changing-role/
https://www.nytimes.com/athletic/5781585/2024/09/20/rodri-man-city-goals/
https://thetitansfa.com/defensive-midfielders-mastering-the-art/
https://www.espn.com.au/football/insider/story/_/id/41044183/why-transfer-value-defensive-midfielders-rising-arsenal-chelsea-liverpool

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ