Feature

จากโซนแดงสู่ลุ้นเลื่อนชั้น : เมื่อ แฟรงค์ แลมพาร์ด พา โคเวนทรี กลับมาเป็น "ช้างกระทืบโรง" | Main Stand

ในโลกฟุตบอล การที่กุนซือคนหนึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่แทนคนก่อนหน้าซึ่งเป็นที่รักของแฟนบอลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งประสบการณ์คุมทีมของคนที่เข้ามาใหม่ไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นแฟน ๆ จะไว้ใจได้ นี่ถือเป็นโจทย์ยากที่กุนซือผู้นั้นจะรับมือได้โดยง่าย 

 


แฟรงค์ แลมพาร์ด เคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ช่วงออกสตาร์ตการคุม โคเวนทรี ซิตี้ ในปลายเดือนพฤศจิกายน 2024 แทนที่ของ มาร์ค โรบินส์ โค้ชที่เคยเกือบพา "สกายบูลส์" เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

เมื่อมองหน้างาน แน่นอนว่ามันคืองานหินของแลมพาร์ดอย่างยากจะปฏิเสธ ด้วยภารกิจใหญ่คือการพาทีมรอดตกชั้นและพาตัวเองให้เข้าไปครองใจแฟน ๆ ให้ได้โดยเร็ว 

ทว่าเมื่อผลลัพธ์ในสนามออกมา ปรากฎว่า "ซูเปอร์ แฟรงค์" กลับทำภารกิจใหญ่ทั้งสองสำเร็จภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังรับงาน ยิ่งไปกว่านั้น เขากลับพาทีมฉายาคุ้นหูคนไทยอย่าง "ช้างกระทืบโรง" ทะยานสู่พื้นที่เพลย์ออฟลุ้นเลื่อนชั้นหน้าตาเฉย

แฟรงค์ แลมพาร์ด ทำเรื่องมหัศจรรย์นี้ได้อย่างไร อะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จเล็ก ๆ เหล่านี้ มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand

 

โคเวนทรี ซิตี้ ก่อนการมาของแลมพาร์ด

ก่อนที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะตกลงเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้ โคเวนทรี ซิตี้ นั้น ทีมฉายา "เดอะ สกายบูลส์" มี มาร์ค โรบินส์ ทำหน้าที่เป็นนายใหญ่ของสโมสรอยู่ ซึ่งการที่ต้องเข้ามารับช่วงต่อจาก มาร์ค โรบินส์ นี่เอง ถือเป็นโจทย์ยากครั้งหนึ่งในการจับงานโค้ชของอดีตกุนซือดีกรีพรีเมียร์ลีก

เหตุผลหลักเพราะโรบินส์มีความผูกพันธ์กับสโมสรมากเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เกิดที่เมืองโคเวนทรี หรือแม้แต่ค้าแข้งกับสโมสรทั้งในระดับเยาวชนและระดับอาชีพ ทว่าความผูกพันที่มีกับสโมสรและแฟนบอล เกิดขึ้นในช่วงที่เจ้าตัวอยู่คุมโคเวนทรี ซิตี้ คำรบสอง ในระหว่างปี 2017 จนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2024 อันเป็นช่วงเวลา 7 ปีครึ่ง ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับทีม ในช่วงที่ทีมเผชิญสถานการณ์ดั่งรถไฟเหาะตีลังกา 

ระหว่างปี 2017-2024 ทัพ สกายบลูส์ เจอมาหมดทั้งอารมณ์สมหวังและผิดหวัง พวกเขาเคยเลื่อนชั้นจากโควตาเพลย์ออฟในลีกทูขึ้นสู่ลีกวัน เคยผงาดแชมป์ลีกวัน จนได้สิทธิ์กลับมายืนหยัดในเวที แชมเปี้ยนชิพ ยิ่งไปกว่านั้น ในซีซั่น 2022-23 เขาเคยพาทีมจบถึงอันดับ 5 คว้าตั๋วเพลย์ออฟลุ้นขึ้นชั้น ก่อนจะแพ้ต่อ ลูตัน ทาวน์ ในการดวลลูกโทษตัดสินหลังเสมอในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 

ขณะที่ฤดูกาล 2023-24 มาร์ค โรบินส์ ก็ฝากผลงานชิ้นโบแดงเอาไว้ในถ้วย เอฟเอ คัพ เมื่อเขาพา โคเวนทรี ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 1987 ก่อนจะพ่ายต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์ในปีนั้นในช่วงการดวลลูกโทษตัดสิน 2-4 โดยเสมอในเวลา 120 นาที 3-3 

แม้ความยิ่งใหญ่จะถูกพูดถึงและจดจำ แต่งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา เมื่อช่วงต้นของซีซั่น 2024-25 มาร์ค โรบินส์ ไม่อาจสานต่อผลงานเด่นนี้เพื่อพาทีมลุ้นเลื่อนชั้นได้

แม้ว่าเขาจะเป็นที่รักของแฟนบอล ทว่าการที่ทีมต้องมาอยู่ในอันดับที่ 17 ของตาราง แชมเปี้ยนชิพ ห่างจากโซนเพลย์ออฟ 10 แต้ม และอยู่เหนือโซนตกชั้นเพียง 2 แต้มหลังจบแมตช์เดย์ที่ 14 ที่เปิดบ้านพ่าย ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 1-2 บอร์ดบริหารก็เลือกคิดเร็วทำเร็วด้วยการตัดสินใจแยกทางกับ มาร์ค โรบินส์ พร้อมยกย่องว่าเป็น "หนึ่งในผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของ โคเวนทรี"

 

ซูเปอร์ แฟรงค์ ภายใต้เครื่องหมายคำถาม

เพราะฟุตบอลอังกฤษมีความผูกโยงกับความเป็นท้องถิ่นชนิดแยกกันไม่ออก ยิ่งคนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกว่า 7 ปีอย่าง มาร์ค โรบินส์ กับ โคเวนทรี ซิตี้ แล้ว 

จริงอยู่ที่การจากไปของกุนซือผู้นี้ ไม่ได้สร้างกระแสหรือเกิดอิมแพ็กต์ต่อโลกลูกหนังเฉกเช่นการยุติเส้นทางกุนซือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยมี เดวิด มอยส์ มาแทนในตอนนั้น หรือแม้แต่การปิดฉากบทบาทกุนซือ อาร์เซน่อล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ โดยมี อูไน เอเมรี่ มารับช่วงต่อ แต่เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอแล้วทำให้สาวก โคเวนทรี ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไรนัก 

กระแสตอบรับเชิงลบส่งมาหาสโมสรมากกว่าเชิงบวก แฟน ๆ สกายบลูส์ ถึงขั้นยื่นคำร้องเพื่อขอให้ มาร์ค โรบินส์ กลับมาคุมทีมต่อ กระทั่งสถานการณ์บานปลายยิ่งกว่าเดิม เมื่อมีข่าวลือสะพัดว่าตัวแทนของ โรบินส์ คือ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ ณ เวลานั้น ชื่อชั้นการคุมทีมสโมสรเทียบไม่ได้อย่างยิ่งกับสมัยเป็นนักเตะ

ก่อนที่ข่าวลือจะกลายเป็นข่าวจริง เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2024 โคเวนทรี ซิตี้ ออกแถลงการณ์แต่งตั้งตำนานกองกลางทีมชาติอังกฤษเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ พร้อมสัญญา 2 ปีครึ่ง ท่ามกลางการถูกตั้งแง่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเขาจะรับมือกับความท้าทายนี้ไหวแค่ไหน 

เพราะต้องไม่ลืมว่าในสายตาของแฟน ๆ โคเวนทรีแล้ว สโมสรตัดสินใจไม่ให้โอกาสกับกุนซือผู้เป็นที่รักทั้ง ๆ ที่ยังมีเวลาอีกมากให้แก้ตัว อีกทั้งตัวแลมพาร์ดเองก็ยังเป็นกุนซือว่างงานมาเป็นเวลาร่วมปี หลังแยกทางกับ เชลซี ในเดือนพฤษภาคม 2023

กระนั้น สิ่งที่บอร์ดบริหารของโคเวนทรี ซิตี้ เลือกที่จะสื่อสารกับแฟนบอลก็คือ ขอให้แฟน ๆ เชื่อมั่นในตัวแฟรงค์ ดังคำกล่าวของ ดั๊ก คิง เจ้าของสโมสร

"ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ตกลงที่จะเข้าร่วมสโมสรของเราในฐานะเฮดโค้ช แฟรงค์เริ่มต้นสะสมประสบการณ์การเป็นผู้จัดการทีมในระดับแชมเปี้ยนชิพ และรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในลีกนี้" BBC เผยคำกล่าวของเจ้าของทีมช้างกระทืบโรง

"ประสบการณ์ของเขาหลังจากนั้นที่เชลซีและเอฟเวอร์ตันจะช่วยให้เขานำความชัดเจนมาสู่ทีมของเราที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ เขาจะทำให้รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เรา ในฐานะสโมสรกำลังพยายามไปให้ถึง"

ขณะที่หนึ่งในประโยคในช่วงเปิดตัวของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็คือการขอพิสูจน์ให้เห็นถึงโอกาสครั้งใหม่นี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตัวแลมพ์ส ไม่ได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลอย่างที่ควรจะเป็น ความว่า

"ผมอยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาคิดผิด" 

 

เมื่อช้างกลับมากระทืบโรง

ช่วงแรกในการคุม โคเวนทรี ซิตี้ ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด นั้นไม่ได้ราบรื่นเอาเสียเลย โดย 9 เกมแรกที่อดีตกองกลางเชลซีทำหน้าที่ เขาพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 3 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ 3 นัด แถมอันดับของทีมในเวลานั้นก็ยังคงสภาวะ "หายใจรดต้นคอ" หลังอยู่อันดับ 15 ไม่ได้ขยับอันดับได้ดีขึ้นจากเดิมเท่าไร

แต่ใครจะเชื่อว่าหลังจากนั้น พลพรรคช้างกระทืบโรงของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กลับทำผลงานในช่วง 3 เดือนให้หลังด้วยการสะกดคำว่า "ชนะ" มากกว่าผลเสมอหรือแพ้

โดยหลังแมตช์เดย์ที่ 26 หรือนับในช่วง 10 เกมหลังจากนั้น แลมพาร์ดคุม โคเวนทรี ซิตี้ เก็บสถิติชนะได้ถึง 9 เกม ซึ่งเกมที่แพ้ก็คือการแพ้หัวตารางอย่างลีดส์ ยูไนเต็ด 0-2 ส่วนที่เหลือคือการคว้าสามแต้ม โดยเก็บคลีนชีตได้ถึง 4 เกมด้วยกัน ผลงานดังกล่าวดีพอที่จะทำให้โคเวนทรีฯ กลายสถานะจากทีมอันดับล่างของตารางไปเป็นอีกหนึ่งทีมที่พร้อมจะลุ้นตั๋วเพลย์ออฟเพื่อเลื่อนชั้นลุยพรีเมียร์ลีก

"ผมไม่คิดว่าจะพลิกสถานการณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้" แลมพาร์ด ให้สัมภาษณ์กับ BBC Football Focus "ผมรู้สึกว่าเราสามารถปรับปรุงอะไรต่าง ๆ และทำอันดับขึ้นไปได้ เพราะในช่วงสองสามสัปดาห์ที่เราเพิ่งเข้ามานั้นความจริงก็คือ เราดูระมัดระวังมากกว่าที่จะมองไปข้างหน้า"

"การสร้างความมั่นใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การค้นหาสิ่งที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ทีมลงตัวยิ่งขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายามพอสมควร ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นเร็วแค่ไหน เรารู้ว่าจะไม่ได้เลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ เรารู้ว่าช่องว่างมันห่างเกินไป แต่เราจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อดูว่าเราจะปิดช่องว่างนั้นได้ไหม ผมคิดว่าเราทำได้ แต่ผมแค่ไม่คิดว่าเราจะเข้าไปได้เร็วขนาดนั้น

"ดังนั้น ความท้าทายต่อไปคือการแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอ"

นอกจากผลงานในซีซั่น 2024-25 จะให้ภาพหนังคนละม้วนจากช่วงแรกแล้ว แฟรงค์ แลมพาร์ด ยังจารึกสถิติสำคัญให้สโมสร การพาทีมคว้าชัย 9 จาก 10 เกม (แมตช์เดย์ที่ 27-36) ในยุคของเขา กลายเป็นสถิติที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ 141 ปีนับแต่ที่สโมสรก่อตั้ง

ขณะเดียวกัน นี่ถือเป็นครั้งแรกของซูเปอร์แฟรงค์ กับการทำหน้าที่กุนซือด้วยผลงานที่ดีขนาดนี้ เพราะตลอดอาชีพผู้จัดการทีมของเขา แม้กระทั่งตอนที่เขาพา ดาร์บี้ ไปเล่นเพลย์ออฟแชมเปี้ยนชิพในฤดูกาล 2018-19 หรือกับเชลซีในฤดูกาลต่อมาที่เดอะบลูส์จบอันดับสี่ในพรีเมียร์ลีก แลมพาร์ดก็ยังไม่เคยทำสถิติดังกล่าวได้

"ผมจำได้ว่าคุยกับคุณ (นักข่าว) ตอนที่เราแต่งตั้งแฟรงค์ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ผมรู้สึกว่าทีมเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และแฟรงค์ก็เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุด เขาเข้ามาและทำหน้าที่คุมทีมไปเรื่อย ๆ และในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีผลงานที่น่าทึ่งมากจนขยับขึ้นมาอยู่ที่ 5" ดั๊ก คิง บอกกับ talkSPORT

"ผมคิดเสมอว่าทีมของเราดีพอที่จะอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ แต่นั่นคือมุมมองและความเป็นจริงของผม และมันแตกต่างออกไปเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เขาทำหน้าที่ได้ดีมากนะ" เจ้าของทีมสกายบลูส์ ว่าต่อ 

"เขาเป็นคนดีมาก ๆ เป็นคนมองโลกในแง่ดี เข้ากับผู้อื่นได้ดี และในเชิงแท็คติก เราก็ทำผลงานได้ดีเลยนะ ทั้ง ๆ ที่เคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อเราไม่มีผู้เล่นครบทีม ผมพอใจในตัวเขามากและพอใจในภาพรวมของสโมสรด้วย"

แฟรงค์ แลมพาร์ด กอบกู้ทั้งชื่อเสียงของตัวเองรวมถึงผลงานของทีม การค่อย ๆ หาจุดที่ลงตัวในทีม ท้ายสุดก็ทำให้เขาเริ่มสร้างความเชื่อมั่นจนครองใจแฟน ๆ ที่ CBS อารีน่า จนบรรยากาศกลับมาดีได้อีกครั้ง 

 

เคล็ดไม่ลับฉบับแลมพาร์ด

กว่าจะก่อร่างสร้างโคเวนทรี ซิตี้ จนได้ใจแฟน ๆ รวมถึงมีลุ้นถึงโควตาเพลย์ออฟไปพรีเมียร์ลีกได้นั้น แลมพาร์ดเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นของทีมต่างไปจากยุคของ มาร์ค โรบินส์ อยู่พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการสร้างสมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับ 

รายงานจาก BBC ระบุว่า โคเวนทรี ยุคแลมพ์สทำประตูต่อเกมได้มากกว่ายุคของโรบินส์ ที่ 1.50 ต่อ 1.28 แถมยังเสียประตูน้อยกว่าในแต่ละเกมอีกด้วย ที่ 1.05 ต่อ 1.35 นอกจากนี้ ตามข้อมูลจาก FBRef ระบุว่า ทีมมีผลต่างประตูที่คาดหวัง หรือ Expected Goal difference ที่ +14.5 สูงเป็นอันดับสองของศึกแชมเปี้ยนชิพ เป็นรองเพียงทีมหัวตารางอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด เท่านั้น 

นอกจากนี้ เพราะสมัยเป็นนักเตะ แฟรงค์ แลมพาร์ด เคยเล่นกองกลางมาก่อน แถมยังขึ้นชื่อในฐานะกองกลางจอมถล่มประตู ดังนั้น แลมพาร์ดจึงให้ความสำคัญกับการดันคู่กลางช่วยเล่นเกมรุกเพื่อทดแทนจุดบอดของทีมในแง่ของการผลิตสกอร์ 

"ในเชิงแท็คติก แลมพาร์ดทำให้สกายบลูส์มีเสถียรภาพมากขึ้นในแดนกลาง โดยเน้นที่ความแข็งแกร่งของคู่หูที่มีอยู่แล้วอย่าง แจ็ค รูโดนี่ วัย 23 ปี และ วิคเตอร์ ทอร์ป วัย 24 ปี ในขณะที่ใช้ช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคม (2025) ทีมไปดึง แมตต์ ไกรมส์ นักเตะที่เด่นในเรื่องการคุมจังหวะเกมมาจาก สวอนซี ซิตี้ เข้ามาร่วมทีมตามสไตล์ของแลมพาร์ดอย่างแท้จริง" ฌอน วอลช์ จาก Goal.com วิเคราะห์

"เขามอบหมายให้กองกลางทั้งสองบุกทะลวงกรอบเขตโทษให้มากขึ้นและคุกคามประตูให้มากขึ้นเพื่อชดเชยจุดบกพร่องในแนวรุก"

ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะออกมาให้เห็นเด่นชัด ไม่มีผู้เล่นโคเวนทรีคนไหนที่มีส่วนร่วมกับประตูมากกว่า แจ็ค รูโดนี่ นับแต่ที่แลมพาร์ดเข้ามาคุมทีม ถึงตอนนี้ (หลังแมตช์เดย์ที่ 37) กลางวัย 23 ปีทำไปแล้ว 3 ประตูกับอีก 6 แอสซิสต์ เป็นต้น

อีกหนึ่งจุดที่แลมพาร์ดกล้าที่จะใส่ลงไปในทีมโคเวนทรี ซิตี้ นั่นคือความยืดหยุ่นในแผนการเล่น เขาไม่กลัวที่จะปรับเปลี่ยนผู้เล่นและรูปแบบการเล่นไปมาระหว่าง 3-5-2 และ 4-3-2-1 กลายเป็นว่านักเตะตำแหน่งอื่น ๆ โดยเฉพาะในแนวรุกก็จำเป็นต้องสู้เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ลงตัว 

นำมาซึ่งการเฉิดฉายของแผงรุกเช่นกัน อาทิ เอลลิส ซิมม์ส อดีตเยาวชนที่เคยขึ้นชุดใหญ่ เอฟเวอร์ตัน เขากลับมาเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของโคเวนทรี อีกครั้ง โดยในยุค มาร์ค โรบินส์ ซิมม์สยิงไปแค่ 2 ประตู 1 แอสซิสต์ กลับกัน ในยุคของแลมพาร์ด เขาทำไปแล้ว 4 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ (นับสถิติหลังแมตช์เดย์ที่ 37) เป็นต้น

นอกจากเรื่องแทคติกวิธีการในสนามแล้ว เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ แฟรงค์ แลมพาร์ด พาตัวเองให้กลายเป็นที่รักของแฟนคลับ โคเวนทรี ซิตี้ นั่นคือการใส่ใจกับความรู้สึกของแฟน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาพการปรบมือและชูกำปั้นเฮไปพร้อม ๆ กับแฟนบอลโดยรอบสนามยามที่ทีมคว้าชัย

"การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเขามีความผูกพันกับแฟนบอล" ร็อบ เกอร์นี่ย์ บรรณาธิการกีฬาของ BBC CWR วิเคราะห์ภาษากายของแลมพาร์ด "ย้อนกลับไปในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อเขาเข้ามาใหม่ ๆ เขารู้ว่าโค้ชคนก่อนเป็นที่รักของแฟนบอล และเขาจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์นั้นให้เร็ว และเขาก็ทำสำเร็จแล้ว" 

"ทุกอย่างดำเนินไปได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ" แซม ริมาน แฟนบอลโคเวนทรี ให้สัมภาษณ์หลังแมตช์เดย์ที่ โคเวนทรี ซิตี้ ของแลมพาร์ด เอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ ที่มี มาร์ค โรบินส์ คุมทีม ด้วยสกอร์ 3-2 

"เมื่อต้นปีนี้ ผมจำได้ว่าผมเคยพูดว่า 'นี่เป็นฤดูกาลที่น่าเบื่อ เรามาดูกันว่าแลมพาร์ดจะทำอะไรได้บ้าง ดูว่าเขาจะพาทีมไปในทิศทางไหนในช่วงซัมเมอร์ แล้วค่อยกลับมาอีกครั้งในปีหน้า' และตอนนี้เราก็อยู่อันดับที่ 5 ในตารางแชมเปี้ยนชิพ"

จากนี้เหลือเวลาอีกกว่าสองเดือนก่อนจะได้เห็นบทสรุปของแชมเปี้ยนชิพ 2024-25 สำหรับโคเวนทรี ซิตี้ แล้ว นี่อาจเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่แฟนบอลรับรู้ทุกอารมณ์ความรู้สึก จากการอำลาของอดีตโค้ชผู้เป็นที่รักสู่โค้ชคนใหม่นามแฟรงค์ แลมพาร์ด จากการรั้งอันดับค่อนล่างของตารางสู่การเป็นทีมที่มีลุ้นโควตาเพลย์ออฟ 

ส่วนจะทำได้ไหมนั้น … "จากนี้คือกำไร"

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.goal.com/en/lists/frank-lampard-soccer-aid-joke-coventry-city-record-breaker-chelsea-legend-reviving-battered-reputation-championship-play-offs/blt4181173bd678758d 
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c0en2890039o 
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cdelzw52l1ro 
https://www.theguardian.com/football/2025/feb/04/frank-lampard-coventry-revival-last-chance-saloon-promotion-charge-championship 
https://talksport.com/football/2998992/frank-lampard-coventry-history-stoke-championship-mark-robins/ 
https://theanalyst.com/2025/02/coventry-city-frank-lampard-championship-form-stats 
https://footballleagueworld.co.uk/coventry-city-urged-to-prepare-for-frank-lampard-interest/ 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา