ดราม่า ดิโอโก้ ดาโลต์ โดนบ่นสะบัดจากจังหวะเล่นเกมบุกได้น่าผิดหวัง จังหวะควรจ่ายก็เลี้ยง จะหวังให้ยิงก็จ่าย … มันชวนให้เรานึกถึงนักเตะที่ถือเป็นเพชรยอดมงกุฎของแบ็กสายบุกตลอดกาลอย่าง ดานี่ อัลเวส
ถ้าคุณอยากรู้ว่า อัลเวส มีแนวคิดอย่างไร ทำไมแบ็กที่แทบไม่เล่นเกมรับแบบเขาจึงกลายเป็นนักเตะระดับโลกตามแบบฉบับของตัวเองได้ ?
ติดตามที่ Main Stand
ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร
ดานี่ อัลเวส มีปูมหลังชีวิตเหมือนกับนักเตะบราซิลอีกหลาย ๆ คน ตัวของเขาอาจจะหนักกว่าสักเล็กน้อย เพราะเขามีพี่น้อง 5 คน ในครอบครัวที่ยากจนในเมือง บาเฮีย โดยที่ อัลเวส เป็นน้องคนสุดท้องของบ้าน ... ทว่าเขาเองก็ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ แถมยังต้องเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยกว่าคนอื่น ๆ ด้วย
ถ้าคุณนึกภาพไม่ออกว่ามันขนาดไหน ให้คุณนึกภาพเด็กอายุ 8 ขวบ หรือเทียบเท่ากับเด็ก ป.2 บ้านเรา ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ไปช่วยครอบครัวรับจ้างเก็บหัวหอมและแตงโม โดยทำงานไปจนช่วงเย็นท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด
เท่านั้นยังไม่พอ บางวันอาหารไม่พอสำหรับทุกคนในบ้าน พี่น้องบางคนจะไม่ได้ห่ออาหารไปทำงานด้วย พวกเขาต้องพกหนังสติ๊กและกับดักเข้าไปในไร่เพื่อคอยยิงหรือล่าสัตว์ เช่น นกพิราบ มาเป็นอาหาร นั่นแหละ เขาเป็นเด็กที่โตมาแบบนั้น ไม่มีเวลาว่างเป็นของตัวเองมากนัก ทุกขณะจิตคิดแต่เรื่องหางาน หาเงิน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้เล่นสนุก ๆ กับเพื่อน ๆ และกิจกรรมที่เขาผ่อนคลายมีเพียง ฟุตบอล เท่านั้น
ซึ่งมันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่น ... ดูเหมือนว่าปูมหลังชีวิตที่ต้องดุดันและฝ่าฟัน สำคัญพอ ๆ กับการฝึกฝนฟุตบอลกับทีมอคาเดมี่ดี ๆ เพราะ อัลเวส บอกว่า ตัวของเขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเก่งกาจฟุตบอลและประสบความสำเร็จได้ในวัยเด็ก เพราะด้วยภาระหน้าที่ เขามีอะไรที่ต้องคิดมากกว่าแค่การออกไปเตะฟุตบอล โดยมีอยู่ช่วงหนึ่ง เจ้าตัวถึงขั้นขอลาจากการแข่งขันฟุตบอลท้องถิ่น เพื่อเข้าไปในเมือง หลังจากได้ข่าวว่ามีการประกาศรับสมัครนักแสดงตัวประกอบในหนังที่กำลังถ่ายทำอยู่ ซึ่งการไปครั้งนั้นก็ทำให้เขาได้เงินมาราว ๆ 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 35 บาทเท่านั้น
แค่ 35 บาท ก็ยังสำคัญมากกว่าฟุตบอลสำหรับเขา นั่นคือสิ่งที่เขาอธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมตัวเองถึงกลายเป็นนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์ดุดันไม่กลัวใคร เพราะสำหรับเขา มีแต่ความจนเท่านั้นที่น่ากลัวที่สุด
"การที่คุณผ่านชีวิตแบบผมมา พอถึงช่วงเวลาหนึ่งที่คุณได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพและต้องเดินลงสนามท่ามกลางเสียงโห่ของฝูงชน คุณแทบจะไม่รู้สึกกลัวหรือกดดันอะไรเลย" อัลเวส บอกแบบนั้น
เขาเริ่มเล่นอาชีพครั้งแรกกับ บาเฮีย อย่างเป็นทางการในปี 2001 ก่อนจะก้าวมาเป็นตัวหลักในทีมในอีก 1 ปี ต่อมา ซึ่งชื่อเสียงของแบ็กขวาที่วิ่งขึ้นลงไม่มีหมดและถูกยกย่องว่ากำลังจะเป็นตัวแทนของ "คาฟู" ตำนานแบ็กขวาทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลกปี 2002 ก็เริ่มดังขึ้นมา
ทีมที่ขยับเรื่องนี้เร็วที่สุดคือ เซบีย่า ซึ่งมี มอนชี่ ผู้อำนวยการกีฬาชื่อดัง ผู้ได้ฉายาว่า "เมสซี่ที่นั่งทำงานในออฟฟิศ" เป็นคนเห็นแวว อัลเวส และคว้าตัวเขามาเล่นให้กับ เซบีย่า ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนจะซื้อขาดอย่างรวดเร็วเมื่อนักเตะอย่าง อัลเวส แสดงฟอร์มการเล่นแบบที่ไม่มีใครเหมือนออกมา
"สัญชาตญาณบอกให้ผมเดินหน้าเสมอ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมย้ายไปที่ไหน ผมยังคงเป็นนักเตะที่ตอบแทนค่าจ้างที่พวกเขาจ่ายทุกบาททุกสตางค์ได้เป็นอย่างดีเสมอ ... นั่นอาจจะเป็นเพราะผมเติบโตมากับการเห็นทุกคนในครอบครัวทำงานหนัก และเมื่อได้โอกาสดี ๆ สักครั้ง ผมจึงไม่อยากทำให้โอกาสครั้งนั้นมันสูญเปล่าเพราะความไม่ตั้งใจของตัวเอง" อัลเวส อธิบาย และคุณคงเข้าใจได้ว่าทำไมคาแร็คเตอร์ในสนามของเขาจึงกล้าหาญ และบ้าบิ่นขนาดนั้น
สเปน ... จุดเริ่มต้นของแบ็กสายบุก No.1
ถ้าคุณจะหาแบ็กขวาสักคนที่สามารถวิ่งขึ้นวิ่งลงได้ทั้งเกม และส่วนใหญ่จะหนักไปทางวิ่งขึ้นหน้า คุณจะต้องยกให้ ดานี่ อัลเวส เป็นหนึ่งในตองอู ... นี่คือนักเตะแบ็กขวาที่ยิงประตูไปตลอดอาชีพกว่า 80 ลูก ทำแอสซิสต์มากกว่า 100 ครั้ง และอันที่จริง ตัวเลขนี้ไม่มีทางอธิบายความเป็นนัมเบอร์วันของแบ็กสายบุกอย่างเขาได้เลย
สิ่งที่ยอดเยี่ยมของ อัลเวส ไม่ใช่แค่การยิงหรือแอสซิสต์ เพราะที่ เซบีย่า การมาที่นี่เป็นการเปิดมิติใหม่ในการเล่นให้กับเขา และต้องให้คำชื่นชมต่อ ฆัวกิน กาปาร์รอส กุนซือที่ อัลเวส ยกย่องไม่แพ้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพราะ กาปาร์รอส คือคนที่ปล่อยให้ อัลเวส เล่นเกมรุกอย่างอิสระ และทำให้เขาสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมาของฟุตบอลยุคนั้น
ในช่วงต้นยุค 2000s นักเตะตำแหน่งแบ็กในระบบการเล่นแบบกองหลัง 4 ตัว จะมีหน้าที่ช่วยเกมรับเป็นหลัก และจะเติมเกมรุกในจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการวิ่งอ้อมหลังปีกเพื่อโจมตีริมเส้น เล่นบอลให้น้อยจังหวะมากที่สุด เน้นการวิ่งตัวเปล่า และครอสเข้าไปให้ทีมลุ้นทำประตู แต่ อัลเวส ไม่ได้เล่นแบบนั้น
กาปาร์รอส อธิบายสไตล์การเล่นของ อัลเวส ว่า "อัลเวส ไม่ได้ทำลายเกมรุกฝ่ายตรงข้ามด้วยความดุดันของเขาเท่านั้น แต่ในช่วงพีกของเขาที่อยู่กับเรา เขาคือผู้ทำลายตรรกะของนักเตะตำแหน่งฟูลแบ็กในโลกฟุตบอลอย่างแท้จริง"
"เราเคยได้ยินว่า นักเตะในตำแหน่งแบ็กขวาไม่ควรหลุดจากเส้นข้างสนามเพื่อรักษาพื้นที่ด้านกว้างให้กับทีม แต่นักเตะอย่าง อัลเวส คุณไม่สามารถจำกัดเขาไว้เฉพาะเจาะจงได้" อดีตกุนซือ เซบีย่า กล่าว
"เขามีเซ้นส์ในการเล่นเกมบุกที่ดีมาก ๆ คุณไม่สามารถห้ามให้เขาครองบอล หรือห้ามให้เขาพุ่งทะยานขึ้นไปยืนต่อบอลกับนักเตะเกมรุกได้เลย ไม่แม้กระทั่งสั่งให้เขาหยุดเข้าไปในกรอบเขตโทษของคู่แข่งในจังหวะโอเพ่นเพลย์ เพราะเขาคืออีกหนึ่งอาวุธที่มีประสิทธิภาพมาก"
สิ่งที่ กาปาร์รอส กล่าวตรงกับความจริงทุกประการ หากใครทันได้ดู อัลเวส คุณจะพบว่าในช่วงพีก ๆ ของเขานั้น เจ้าตัวเล่นเหมือนกับไม่ใช่นักเตะตำแหน่งแบ็ก การต่อเกม การขึ้นเกม การเอาตัวรอดในจังหวะการโดนรุม ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงหนีไปดื้อ ๆ หรือการเล่นร่วมกันแบบชิ่งบอลสั้น ๆ กับเพื่อนร่วมทีม ล้วนเป็นสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นออกมากแทบทุกเกม
และวันไหนที่เขามั่นใจ คุณจะได้เห็นการยิงไกลจากระยะ 40 หลา การโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษด้วยการไขว้จากเท้าข้างไม่ถนัด หรือไม่ก็เป็นการล็อกหลบคู่แข่ง 3-4 คนเข้าไปยิงประตูแบบที่กองหน้ายังอาย อัลเวส ก็เคยทำมาแล้วทั้งนั้น
นอกจากวูบวาบโดดเด่นแล้ว วิธีการเล่นของเขายังตอบสนองกับแท็คติกของ เซบีย่า ดีมาก เรียกได้ว่าต่อให้เขาจะเล่นเสี่ยงหรือติดโชว์แค่ไหน แต่ทีมก็ได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ มันยืนยันได้จากการที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ โคปา เดล เรย์ 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 2 สมัย และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีก 1 สมัย ทั้ง ๆ ที่ยุคนั้น เซบีย่า มีชื่อเสียงน้อยกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา 5-10 ปีนี้ด้วยซ้ำ
ร่างทองที่ บาร์เซโลน่า
การเล่นที่ เซบีย่า จัดว่าเข้มจนทีมทั้งยุโรปจับตามองแล้ว ต้องบอกว่าที่ บาร์เซโลน่า ในการย้ายทีมเมื่อปี 2008 คืออะไรที่ยิ่งกว่านั้นสำหรับเขา มันคือการพาชื่อของ ดานี่ อัลเวส ขึ้นมาเป็นนักเตะในตำแหน่งแบ็กขวาระดับ Hall of Fame เลยทีเดียว
อัลเวส ย้ายมาอยู่กับ บาร์ซ่า หลังจากที่ บาร์ซ่า แต่งตั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นกุนซือแค่วันเดียวเท่านั้น ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดเผยว่ามีการคุยกันหลังไมค์ก่อนจะย้ายมาที่ถิ่น คัมป์ นู แล้ว ซึ่ง เป๊ป และ ซิกิ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการกีฬาของ บาร์ซ่า วาดฝันให้ใจ อัลเวส ลอยมาที่นี่ตั้งแต่ 6 เดือนก่อนย้ายทีม
หนึ่งในเป้าหมายที่ เป๊ป และ ซิกิ บอกกับเขาก็คือ ถ้าเขาย้ายมาที่นี่ บาร์เซโลน่า จะทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก และเขาจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอล ... ถึงตอนนี้ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากนั้น เพราะ อัลเวส กลายเป็นหนึ่งในทีม บาร์ซ่า ชุดต่างดาว ชุดที่ไม่ว่าเจอกับทีมไหนในโลกพวกเขาก็เอาชนะได้ทั้งนั้น
ส่วนในแง่การเล่นส่วนตัวของ อัลเวส ต้องบอกว่านี่คือสไตล์การเล่นที่ฟุตบอลยุคนี้เรียกว่า "อินเวิร์ตฟูลแบ็ก" แบบกลาย ๆ นั่นคือเขาจะเฝ้าตำแหน่งฟูลแบ็กเฉพาะตอนที่ทีมเล่นเกมรับ แต่เมื่อทีมเล่นเกมรุกแล้ว อิสระในการเติมเกม และขึ้นมามีส่วนร่วมกับเกมของเขาถูกเปิดกว้างอย่างเต็มที่ ซึ่งว่ากันว่าวิธีการเล่นของ อัลเวส ถูกนำไปต่อยอดกลายเป็นตำแหน่ง อินเวิร์ตฟูลแบ็ก ของ ฟิลิปป์ ลาห์ม สมัยที่ เป๊ป ไปคุมทีม บาเยิร์น มิวนิค ในเวลาต่อมา
"กวาร์ดิโอล่า คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นโค้ชของแท้ เขาสามารถพัฒนาผมให้เก่งขึ้นมาก ๆ ในฐานะนักเตะคนหนึ่ง เขาสอนผมแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้กระทั่งการยืน เขาเป็นอัจฉริยะในช่วงเวลาที่สำคัญ เขารู้ว่าจะบอกนักเตะอย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ... อันที่จริงผมอาจจะแค่เล่นตามที่เขาสั่งก็ได้ แค่นี้ทุกอย่างมันก็ออกมาดีแล้ว" อัลเวส กล่าวถึงการพัฒนาก้าวสำคัญของเขา
แล้วคุณลองคิดดูว่า นักเตะที่จัดจ้านทั้งสปีดต้น สปีดยาว รวมถึงทักษะฟุตบอลที่ครบเครื่องอย่าง อัลเวส ได้ผสานงานกับ "มนุษย์ต่างดาว" อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ อะไรจะเกิดขึ้น ?
ความยอดเยี่ยมในการเล่นร่วมกันของทั้ง 2 คนต้องบอกว่า ไม่ต้องมองตาก็รู้ใจ พวกเขาขยับหาพื้นที่สอดคล้องกันตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลก็หากันเจอเสมอ เรียกได้ว่าถ้าบอลอยู่ในการครอบครองและต่อบอลกันระหว่าง อัลเวส กับ เมสซี่ คุณแทบไม่ต้องเข้ามาแย่งฟุตบอลเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณยกโขยงกันมา 4-5 คน ... ซึ่งก็ใช่ว่าจะการันตีว่าจะเอาอยู่แต่อย่างใด
การเล่นกับ เมสซี่ คือวิธีการที่เกิดมาเพื่อ อัลเวส อย่างแท้จริง อะไรที่เคยทำได้ดีขึ้นอยู่แล้วตอนอยู่กับ เซบีย่า โดดเด่นขึ้นมาอีกระดับ ไม่ใช่แค่ในเรื่องของทักษะเชิงบอลเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงออร่าความเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ต้องบอกว่า ยิ่งเล่นบารมีสตาร์ยิ่งจับ และ เมสซี่ ก็เคยยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่เข้าขารู้ใจกันที่สุดด้วย
"ใน บาร์เซโลน่า ชุดนั้นเราเล่นฟุตบอลเป็นจังหวะเดียวกัน และทุกคนในห้องแต่งตัวก็เข้ากันได้ดีมาก แต่ผมสนิทกับ ดานี่ อัลเวส มาตลอด เพราะเราทำงานด้วยกันเป็นประจำที่ริมเส้นฝั่งขวา และผมคิดว่างานของเราออกมาดีมาก ๆ ในเวลานั้น" เมสซี่ เล่าความหลัง
ขณะที่ อัลเวส ก็ตอบตรงกันว่า "ผมกับ เมสซี่ เราเหมือนคู่เต้นที่เต้นในจังหวะเดียวกัน เราไม่จำเป็นต้องมองกันเลยก็ยังได้ เพราะทุก ๆ การขยับของเราทั้งคู่ ต่างคนต่างรู้ว่าแต่ละคนต้องการอะไร ... ในความรู้สึกมันเหมือนกับว่าเราเป็นเด็ก ๆ ที่กำลังถอดรองเท้าเล่นฟุตบอลกันอยู่บนถนนหน้าบ้าน"
"การมาที่ บาร์เซโลน่า เป็นโลกอีกใบ นี่คือทีมที่มีสไตล์แตกต่างกับ เซบีย่า อย่างสิ้นเชิง และการเล่นกับ เลโอ ก็เหมือนับการจุดพลุไฟที่สนุกและตื่นตาตื่นใจเสมอ เราไม่ได้แค่เล่นฟุตบอลเพื่อให้เป็นแชมป์ แต่เราเล่นฟุตบอลเพื่อสืบทอดปรัชญาของสโมสร และเพื่อรักษาแก่นแท้ของฟุตบอล ซึ่งก็คือเล่นมันด้วยความสนุกก็พอ"
อัลเวส อยู่กับ บาร์เซโลน่า 8 ปี และคว้าทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน เช่นเดียวกับตอนที่เขาย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส, เปแอสเช, เซา เปาโล กลับมาที่ บาร์ซ่า รอบที่ 2 จนกระทั่งเล่นให้กับ พูมาส ในลีกเม็กซิโก เป็นที่สุดท้าย ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เขาเป็นนักเตะที่คว้าแชมป์มากที่สุดในโลก ก่อนที่จะถูกทำลายลงหลังจากที่ ลิโอเนล เมสซี่ พาทีมชาติ อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 และ โคปา อเมริกา 2024
"เรื่องที่ผมแปลกใจมาจนถึงวันที่ผมเลิกเล่นก็คือ นักฟุตบอลบนโลกนี้มีเป็นหมื่น ๆ แสนๆ คน แต่ผมที่เป็นเด็กจากครอบครัวที่ยากจนในชนบทที่บาเฮีย กลับกลายเป็นนักเตะที่ได้แชมป์มากกว่าใคร ๆ ... แค่นี้ก็ถือเป็นที่สุดแห่งชีวิตที่ผมจิตนาการไม่ออกแล้ว" อัลเวส ว่าอย่างนั้น
แม้ใครจะบอกว่าเขาเป็นแบ็กที่เล่นเกมรับไม่เป็น และเอาเรื่องนี้มาลดทอนความยอดเยี่ยมของเขา แต่ อัลเวส เองก็ไม่ได้สนใจมากนัก และยืนยันว่าฟุตบอลในความหมายของเขา คือสิ่งที่เขาแสดงออกมาในสนามตั้งแต่เริ่มค้าแข้ง จนกระทั่งวันที่เขาแขวนสตั๊ดต่างหาก ส่วนใครจะตีความแบบไหน ... นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาไม่ติดขัด และพร้อมรับฟังเสมอ
"ตั้งรับเหรอ ? ตั้งรับคืออะไร ? ไม่มีแบ็กคนไหนเลี้ยงบอลหรือเล่นเกมรุกเลยเหรอ ? อย่าปล่อยให้คู่แข่งของคุณเล่นงานคุณฝ่ายเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นโลกฟุตบอลคงน่าเบื่อจะตายไป ... ผมก็เป็นแบบนี้ของผม ผมเตรียมตัวเสมอทุกครั้งก่อนที่บอลจะมาถึง ผมเตรียมจะเล่นเกมรุก เพราะเกมรุกนี่แหละจะทำให้เราเป็นผู้ชนะ ... จะมีประโยชน์อะไรที่คุณพยายามเล่นแต่เกมรับ เพราะคุณยิงประตูไม่ได้มันก็เท่านั้น นั่นแหละฟุตบอลสไตล์ของผม" อัลเวส กล่าวประโยคนี้เป็นการสรุปทั้งอาชีพของเขาได้เป็นอย่างดี
แหล่งอ้างอิง
https://sport360.com/article/football/342720/why-dani-alves-should-be-considered-the-greatest-right-back-of-all-time
https://www.fcbarcelona.fr/fr/actualites/1097676/dani-alves-10-big-moments-at-fc-barcelona
https://www.goal.com/en/news/the-goat-of-right-backs-ageless-dani-alves-has-surpassed-cafu-as-best-of-all-time/pndjwcmr5fk715ntwib61rte9
https://talksport.com/football/234723/dani-alves-greatest-ever-free-signing-and-best-full-back-modern-game-170519239925/
https://www.fourfourtwo.com/features/big-interview-dani-alves-i-dont-hide-my-admiration-guardiola-and-will-play-premier-league
https://www.skysports.com/football/news/11095/11548456/dani-alves-exclusive-interview-no-regrets-for-footballs-serial-winner
https://www.marca.com/en/football/barcelona/2019/01/29/5c4f7df4268e3ebe0f8b4601.html