อันโตนิโอ คาสซาโน่ คือนักเตะที่แจ้งเกิดตอนอายุ 17 ปี และได้รับการยกย่องเรื่องพรสวรรค์ ตีคู่กับนักเตะอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า, มิเชล พลาตินี่ และ โรแบร์โต้ บาจโจ้
แต่อย่างไรเสีย ในช่วงหนึ่งของชีวิต เมื่อฮอร์โมนมันพุ่งพล่าน การทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ แทนที่จะทำสิ่งดี ๆ เพื่อนอนาคตที่เห็น ๆ กันอยู่ว่ามันต้องยอดเยี่ยมแน่ ทำให้ชีวิตของเขาไปได้ไม่สุด ทั้งที่ควรจะสุดได้มากกว่านี้
นี่คือเรื่องราวของแข้งเจ้าสำราญ ไม่เคยง้อใคร และไม่เคยต้องการให้ใครมองเขาว่าเป็นดี ... ติดตามชีวิตสุดระห่ำของแบดบอยตัวจริงแห่งวงการฟุตบอลอิตาลีที่นี่กับ Main Stand
อยากรอดก็ต้องใช้ฟุตบอล
"ตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุ 17 ปี ผมกล้าพูดว่าผมใช้ชีวิตพร้อมความรู้สึกหิวโหยมาตลอด แม่ของผมเธอเป็นแม่บ้านและไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เรากินเท่าที่เรามี เราอยู่เท่าที่จำเป็นมาเสมอ" อันโตนิโอ คาสซาโน่ เปิดใจกับสื่ออิตาลี และเล่าถึงจุดกำเนิดของเขาที่แท้จริง
ในช่วงต้นยุค 1990s ฟุตบอลคือกีฬาที่เป็นดั่งกิจกรรมยามว่าง และงานอดิเรกของวัยรุ่นหลายล้านคนทั่วโลก มันเป็นความจริงที่ว่าในเมื่อคุณไม่มีเพลย์สเตชั่น ไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่มีไอแพดและแทบเล็ต มันจะเหลือไม่กี่กิจกรรมที่ทำให้เด็กหนุ่มในช่วงนั้นสนุกสนาน และได้เล่นกับเพื่อนไปมากกว่าฟุตบอล
ในภาคใต้ของประเทศอิตาลี คือดินแดนที่มีความแตกต่างจากภาคเหนือพอสมควร เพราะที่นี่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ, มาเฟีย และความยากจน จนทำให้ชาวใต้ของอิตาลีหลายคนเลือกที่จะต้องอพยพขึ้นไปทำงานในเมืองใหญ่ทางตอนเหนือ คนที่อยู่ที่นี่มักจะเป็นเด็ก ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับเหล่าผู้หญิง ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไป ระหว่างที่รอรายได้จากเหล่าผู้ชายที่ขายแรงงานในเมืองใหญ่
ย่อภาพให้แคบลงที่แดนใต้ของอิตาลี ณ ตรอกแคบ ๆ ในย่านชนชั้นแรงงาน ซานนิโคล่า ใน บารีเวคเคีย ... อันโตนิโอ คาสซาโน่ ก็มีฟุตบอลเป็นแหล่งความบันเทิงของเขาเช่นกัน เด็กชายตัวเล็กยังเล่าว่าจุดเริ่มต้นคือการที่ อิตาลี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1982 เพราะเด็กทุกคนพากันบ้าฟุตบอลไปหมดหลังได้แชมป์โลกครั้งนั้น และที่ บารี่ ฟุตบอลเด็กของที่นี่ เป็นโลกแห่งความเอาตัวรอด ซึ่งเด็ก ๆ จะรู้เมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาจะรู้ว่าฟุตบอลสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ และมันเป็นการลงทุนที่พวกเขาใช้แค่พลังกายที่ติดตัวมาเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ง่ายไม่ซับซ้อน "เล่นเก่ง = รอด"
พ่อของ คาสซาโน่ ทิ้งเขาและแม่ไว้ที่แดนใต้เมื่อตอนที่เขายังเด็กมาก และ คาสซาโน่ ก็รู้ถึงความลำบากของแม่เมื่อเขาเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้เขาพยายามฝึกฝนการเล่นฟุตบอลด้วยตัวเองมาโดยตลอด เพื่อให้ได้โอกาสในการพลิกชีวิตของตัวเองและครอบครัว
เขาเล่นฟุตบอลในตรอกที่บ้านเกิด ไม่ว่าจะในรูปแบบของสตรีทฟุตบอล และการแข่งขันฟุตบอลให้กับทีมท้องถิ่น ซึ่งไม่มีเหตุผลว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ คาสซาโน่ บอกว่าผู้คนที่นั่นต่างพูดกันว่า เขาคือพรสวรรค์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในตรอกแห่งความยากจนนี้ ... มันเป็นเรื่องสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ นั่นคือสิ่งที่เขาบอก
"เด็ก ๆ รุ่นเดียวกันเปรียบผมเป็นเหมือนพระเจ้าในย่านที่เราอยู่ เราเล่นฟุตบอลกันทั้งวัน ซึ่งตัวของผมจริงจังกับเรื่องนี้ ผมใส่สุดตลอด แม้ทุกคนจะเป็นเพื่อนกัน แต่สำหรับผม เวลาที่เล่นฟุตบอล ผมเป็นเพื่อนพวกเขาแค่ตอนพักกินข้าวกลางวันเท่านั้น" คาสซาโน่ เล่า
และอย่างที่บอกว่าเขาเล่นฟุตบอลทั้งวัน และเล่นอย่างเอาจริงเอาจังตลอด มันจึงทำให้ทุกอย่างส่งเสริมกัน และในวัย 12 ปี คาสซาโน่ ที่เล่นให้ทีมท้องถิ่น ได้โอกาสไปแข่งฟุตบอลชิงแชมป์รุ่นยู 12 ระดับประเทศ ตัวของเขาเล่นงานทีม อินเตอร์ มิลาน ต่อหน้าคนดูและแมวมองมากมาย จนกระทั่งไปเข้าตาหนึ่งในแมวมองวันนั้น ที่ภายหลังได้ทำงานเป็น ผอ. กีฬาของสโมสรอย่าง เลชเช่, ฟิออเรนติน่า และ โบโลญญ่า อย่าง ปานตาลิโอ คอร์วิโน่
คอร์วิโน่ ทำหน้าที่พา คาสซาโน่ ไปทดสอบฝีเท้ากับอินเตอร์, ปาร์ม่า และทีมในบ้านเกิดอย่าง บารี่ ซึ่งนั่นคือความฝันของ คาสซาโน่ อยู่แล้ว เขาเป็นคนเมืองนี้ เชียร์ทีมนี้ และเขาอยากจะเป็นนักเตะของ บารี่ ตั้งแต่ยังเด็ก
ไม่นานนัก สโมสร บารี่ ก็ดึงตัวเขาเข้าสู่ทีมเยาวชน และแค่สิ่งที่ คาสซาโน่ พกมาตั้งแต่เกิด นั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ไอหนูผมบลอนด์ที่หน้าเต็มไปด้วยสิวรายคนนี้ ขยับขึ้นรุ่นแบบพรวด ๆ และไม่นานนัก ทีมชุดใหญ่ก็เปิดประตูต้อนรับเขาตอนอายุ 17 ปี
ทันทีที่เขาได้เล่นในเกมระดับ เซเรียอา กับ บารี่ แมวมองทุกคนต้องกลับมาดูเขาอีกครั้ง และพบว่าเด็กคนนี้เก่งขึ้นมากจากเมื่อ 5 ปีก่อน อัจฉริยะแห่ง บารี่ เล่นด้วยเทคนิคที่คมชัด การสัมผัสบอลที่นุ่มนวลและยอดเยี่ยม จนสื่อในเวลานั้นยังต้องเขียนลงหนังสือพิมพ์ว่า "นี่คือพรสวรรค์ระดับเดียวกับ มาราโดน่า, พลาตินี่ และ โรแบร์โต้ บาจโจ้" เลยทีเดียว
ยูเจนิโอ ฟาสเซ็ตติ คือโค้ชของ บารี่ ในเวลานั้น และเขาคือคนแรกที่ให้โอกาส คาสซาโน่ ขึ้นมาซ้อมพร้อมได้เล่นในทีมชุดใหญ่ โดยเหตุผลที่เขาส่งลงสนามไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของฝีเท้า เขาถึงกับบอกวาเมื่อพรวรรค์แบบที่ คาสซาโน่ มี บางทีถ้าเขาอาจจะเล่นอาชีพได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ... นี่คือคำเปรียบเปรยที่ ฟาสเซ็ตติ มอบให้ คาสซาโน่ ที่เคารพเขาเหมือนพ่อคนที่ 2
ฟาสเซ็ตติ ปล่อย คาสซาโน่ เล่นอย่างอิสระโดยสั่งแผนกว้าง ๆ เพียงเล็กน้อย เช่น "พยายามเล่นการกองหลังด้วยการเลี้ยงกินตัว และเปิดพื้นที่ให้คนอื่นเติมขึ้นมาช่วยเกมรุก" โดยเขาอธิบายเพิ่มเติมว่า การจุกจิกกับนักเตะอย่าง คาสซาโน่ ถือเป็นการปิดกั้นจินตนาการของเขา ซึ่งแบบนั้นมันจะเสียของเปล่า ๆ
คาสซาโน่ แจ้งเกิดเต็มตัวในฤดูกาล 1999-2000 ... ประตูแรกของเขาเกิดขึ้นตอนที่ลงตัวจริงเป็นเกมที่ 2 ของตัวเอง โดยลูกยิงของเขาเกิดจากการวางยาวของกองหลังมาที่ริมเส้นฝั่งซ้าย .. บอลลอยโด่งจากด้านหลัง ดูควบคุมยาก แต่ คาสซาโน่ ใช้ข้างเท้าด้านนอกจับบอลจังหวะแรกได้อย่างนุ่มนวลเหลือเชื่อ
บอลพุ่งตรงไปข้างหน้า เขาใช้หัวโหม่งประคองบอลอีก 1 จังหวะ และเริ่มควบเข้ากรอบเขตโทษ ก่อนจะดึงจังหวะและตัดบอลเข้าตรงกลางโดยผ่าน 2 กองหลังที่เคยเป็นแชมป์ยุโรปมาแล้วอย่าง โลรองต์ บลองค์ และ คริสเตียน ปานุชชี่ และยิงหักข้อผ่าน ฟาบริซิโอ เฟร์รอน ที่ลงมาแทน แองเจโล่ เปรุซซี่ ซึ่งบาดเจ็บระหว่างเกม เข้าประตูไปอย่างสวยงาม หลังจากวันนั้นชีวิตของเขาก็ไม่เหมือเดิมอีกต่อไป
ไม่มีวันเหมือนเดิมอีก
"หลังจากประตูนั้นเกิดขึ้น จากไอ้หนุ่มจากชนชั้นแรงงาน หน้าตาสกปรก และผอมแห้งแรงน้อย ก็กลายเป็นคนดัง ผมกลายเป็นคนรวย มีชื่อเสียง และกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เท่ที่สุดในอิตาลี" คาสซาโน่ อธิบายจุดเปลี่ยนอย่างแรกเริ่ม
แม้จะตกชั้นไปกับ บารี่ ในฤดูกาล 2000-01 แต่ชื่อของเขาใหญ่เกินกว่าจะเล่นใน เซเรียบี ... โรม่า ตัดสินใจซื้อตัวเขาด้วยราคาถึง 30 ล้านยูโร ย้อนกลับไปเมื่อปี 2001 นี่คือราคาที่บ้าคลั่งมากสำหรับเด็กอายุ 17 ปี แต่ โรม่า ก็พร้อมเสี่ยง เพราะนี่คือการรีเควสต์เองของกุนซือ ฟาบิโอ คาเปลโล่ โดยมีการบอกว่า "เขาคนนี้จะมาเป็นลูกคู่ที่มีเซนส์บอลทันกันกับ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ"
คาสซาโน่ มาที่นี่ด้วยมาดแบบซูเปอร์สตาร์อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ ... หล่อ รวย และมีชื่อเสียง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วโลกฟุตบอลเพิ่งเปิดประตูอ้าแขนรับเขาเท่านั้น และโลกแห่งฟุตบอลใบนี้ก็โหดร้ายแบบไม่ไว้หน้า หากคุณหลงลืมพรแสวง และเชื่อมั่นในพรสวรรค์ของตัวเองมากจนเกินไป
คาสซาโน่ มาที่ โรม่า ด้วยการถูกตั้งความหวังมหาศาล แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นเขาไมได้โดดเด่นมากมายนัก กล่าวคือพรสวรรค์ฝีเท้าทุกอย่างดูดีทั้งหมด แต่เรื่องความดื้อ ความมั่นใจ คือสิ่งที่ คาเปลโล่ ปวดหัวจนถึงขั้นใช้คำว่า "คาสซานาต้า" เป็นวลีเฉพาะที่แปลว่า "การทำตัวแบบ คาสซาโน่" ซึ่งแปลไทยเป็นไทยให้เข้าใจง่าย ๆ คือ "พวกขาดความเป็นมืออาชีพ"
118 เกมกับ 39 ประตู กับโรม่า ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เลวนักภายใต้การเล่นให้ทีมราว ๆ 4 ฤดูกาล แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า คาสซาโน่ สามารถทำได้ดีกว่านี้ เพียงแต่ว่าตัวของเขาไม่ยอมทำให้มันเกิดขึ้น เงินทองและชื่อเสียงที่เข้ามาเปลี่ยนเขาไปไม่น้อย
จากเด็กน้อยที่ถูกแม่เลี้ยงมาแบบเข้มงวดเพราะความยากจน กลายเป็นคนที่สุรุ่ยสุร่าย สุดโต่ง และไม่มีใครฉุดอยู่นอกเสียจากตัวของเขาจะอยากหยุดเอง ... ว่าง่าย ๆ คือต่อให้สโมสรห้าม เขาก็หาวิธีแอบหลบหลีกออกไปทำตามใจที่ตัวเองอยากทำประจำ
คาสซาโน่ เล่าย้อนว่าช่วงที่เล่นให้กับโรม่านั้น เป็นช่วงเวลาที่เขาได้หลับนอนกับสาว ๆ มากกว่า 700 คน พร้อมบอกว่าในบรรดา 700 คนนั้น มีคนดังระดับดาราและนางแบบที่เคยคบหากับเขามากกว่า 20 คน
และในสัญญาปีแรก เขาซื้อรถยนต์ขับถึง 9 คัน ทันทีที่เขาสอบใบขับขี่ผ่าน "ผมไม่ใช่คนติดพนันหรือยาเสพติด อบายมุขผมไม่ค่อยแตะเลย แต่ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองรวยมาก ในสัญญาปีแรกผมซื้อรถไป 9 คน มีเมอร์เซเดส 2 คัน เฟอร์รารี่ 2 คัน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมซื้อมันมาทำไม"
แม้จะใช้ชีวิตขนาดนั้น แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น ร่างกายฟื้นตัวไว พรสวรรค์ที่มี รวมถึงเป็นตัวฮาที่เพื่อน ๆ รักในห้องแต่งตัว ผลงานของ คาสซาโน่ ก็ยังพอเป็นที่พึ่งของทีมได้ ชนิดที่ว่า คาเปลโล่ ยังต้องยอมปิดตาข้างเดียวเพื่อให้ คาสซาโน่ เป็นสมาชิกคนสำคัญของทีมเสมอ
แม้กระทั่งในวันที่ คาเปลโล่ ได้โอกาสไปรับงานใหญ่กับ เรอัล มาดริด ในปี 2005 เขาก็ยังดึงตัว คาสซาโน่ ไปด้วย เพียงแต่ คาสซาโน่ ในเวอร์ชั่นเป็นเหมือนคนที่ไม่อยากจะเอาอะไรแล้ว แม้ความผิดหวังเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เขาถอดใจได้ง่าย ๆ ยิ่งบวกกับร่างกายที่ใช้เปลืองมาตั้งแต่วัยรุ่น ช่วงเวลาของเขากับ มาดริด จึงไม่อะไรน่าจดจำเลย ... นอกเสียจากเรื่องแย่
คาสซาโน่ ไม่เคยขยันซ้อม ไม่เคยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของนักโภชนาการ เขาไม่ควบคุมอาหาร กินเยอะ และกินของที่ไม่มีประโยชน์จนน้ำหนักเพิ่มมาถึง 12 กิโลกรัม ภายในเวลา 2 ปีกับ มาดริด และเขายังยอมรับว่าเองว่า นักเตะในยุคนั้นอย่าง โรนัลโด้ หรือ หลุยส์ ฟิโก้ ต่างมองว่าเขาเป็นแกะดำของทีมที่ไม่อยากจะสุงสิงด้วย
ซึ่ง คาสซาโน่ ก็ตอบกลับว่า เขาเองก็ไม่ได้สนที่จะเป็นเพื่อนกับคนดังเหมือนกัน เพราะเขาเองก็ไมได้รู้สึกว่าเป็นเพื่อนของใครในทีม มาดริด ชุดนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นตราบใดที่เขายังมีสัญญาจ้าง เขาจะไม่เดือดร้อนกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
"ที่มาดริด ผมมีเพื่อนนะ … แต่เพื่อนผมเป็นพนักงานเสิร์ฟที่โรงแรม งานของเขาคือนำขนมอร่อย ๆ 3-4 ชิ้นมาเสิร์ฟให้ผมหลังจากที่ผมมีเซ็กส์ ... เขาจะนำขนมเค้กเดินขึ้นมาที่ห้องผม และผมจะเปิดประตูรับขนมนั้น ส่วนเขาก็มีหน้าที่เอาผู้หญิงคนนั้นออกจากห้อง"
"การมีเซ็กส์และการกินอาหารค่ำ คือค่ำคืนที่สมบูรณ์แบบดังที่ผมฝันมาเสมอ" คาสซาโน่ เล่าย้อนว่ามันเป็นช่วงที่ทุกคนระอาการกระทำของเขา
แม้แต่ ราอูล กอนซาเลซ ก็ยังออกมาพูดด้วยความเสียดายว่า "คาสซาโน่ เก่งนะ ... เก่งมาก ๆ เลย เขาไม่เหมือนใครเลยในการซ้อม แต่บางทีอาจจะดีกว่า ถ้าเขามาถึงที่นี่ด้วยช่วงวัยอื่น"
คาสซาโน่ หลงผิดกับชีวิตแบบนั้นอยู่พักใหญ่ มาดริด ทนไม่ไหวปล่อยเขาในราคาขาดทุนให้ ซามพ์โดเรีย แค่ 1.2 ล้านยูโรเท่านั้น แม้มันจะสายไปเพราะคาสซาโน่ที่เก่งที่สุดไม่ได้อยู่ในร่างของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าการได้กลับมาเล่นในอิตาลี เหมือนเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ทำให้เขาเด้งกลับสู่การเล่นฟุตบอลที่สนุกสนานอีกครั้ง
ระบำส่งท้าย ... ของคน "รู้งี้"
การกลับมาที่ ซามพ์โดเรีย ในปี 2007 ทำให้ คาสซาโน่ กลับมามีความสุขอีกครั้ง วันที่เปิดตัวเขา มีแฟน ๆ ถึง 3,000 คนเข้ามายินดีต้อนรับ เขาใส่เสื้อหมายเลข 99 พร้อมกับได้รับคำเตือนสติจากหลายคน ไม่ว่าจะจาก วินเซนโซ่ มอนเตลล่า ที่เคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาสมัย โรม่า นอกจากนี้เขายังโดนยาแรงจาก อันเดรีย ปีร์โล่ นักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยว่า
"คาสซาโน่ อ้างว่าเขาได้นอนกับผู้หญิงมาแล้วมากกว่า 700 คน แต่เขาไม่ได้ติดทีมชาติอีกแล้ว เขาจะมีความสุขได้ไหม ?" ปิร์โล่ เคยเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา และ คาสซาโน่ ก็ยอมรับภายหลังว่าเขาตอบคำถามนี้ในใจว่า "ไม่เลย"
เขาเริ่มกินน้อยลงและตั้งใจเล่นฟุตบอลขึ้นบ้างในช่วงที่กลับมา ซามพ์โดเรีย และหลายอย่างเปลี่ยนไปในเชิงบวก มอนเตลล่า ใช้งานเขาได้อย่างตรงจุด มีควาเชื่อมั่น และให้โอกาสเขาเสมอ ซึ่ง คาสซาโน่ ก็ยินดีจะตอบแทนอดีตเพื่อนร่วมทีม ด้วยการตั้งใจทำงานหนักเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นตัวหลักที่ มอนเตลล่า จะใส่ใน 11 ตัวจริงโดยไม่ต้องคิด
แม้หลังจบฤดูกาล 2007-08 มอนเตลล่า จะต้องอำลาทีมหลังหมดสัญญายืมตัวจาก โรม่า แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ คาสซาโน่ จุดไฟติดแล้ว ยิ่งมีการเสริมกองหน้าเบอร์ 9 มาใหม่อย่าง จามเปาโล ปาซซินี่ กลางฤดูกาล 2008-09 ก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เขากลับมาเล่นฟุตบอลได้แบบสนุกและได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง
นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพของ คาสซาโน่ เพราะเขาพา ซามพ์โดเรีย ที่เป็นทีมหนีตกชั้น ยกระดับขึ้นมาอีกขั้น พาทีมจบอันดับ 6 ฤดูกาล 2007-08 คว้าโควต้าไปเล่นฟุตบอล ยูโรป้าลีก ขณะที่ซีซั่น 2009-10 เขาช่วยพาทีมคว้าตั๋วเพลย์ออฟ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ริคาร์โด การ์โรเน่ เจ้าของทีม ซามพ์โดเรีย เป็นอีกคนที่ดีใจมากกับการเกิดใหม่ของ คาสซาโน่ เพราะเขาเป็นคนที่นั่งเปิดอกคุยกันในวันก่อนเซ็นสัญญา การ์โรเน่ บอกว่า ซามพ์โดเรีย มีงบประมาณเพียงน้อยนิด และการดึงตัว คาซาโน่ มาจาก เรอัล มาดริด คือความคิดที่ การ์โรเน่ ต้องตอบคำถามกับบอร์ดบริหารคนอื่น ๆ อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงขอให้ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน เพื่อให้ทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการ ... ซึ่งดูเหมือนว่าในตอนจบของเรื่องนี้มันจะเป็นแบบนั้น
โดยเฉพาะฝั่ง คาสซาโน่ ที่ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้งหลังจากแทบจะถูกลืมไปแล้วในวงการฟุตบอลอิตาลี ก็กลับมาโด่งดังอีกครั้งตอนอายุ 26 ปี ... ไมใช่อายุที่มากเกินไปที่จะกลับตัวและเลือกเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง
คาสซาโน่ เจอชีวิตในแบบที่เขาตามหา เขาแต่งงานในช่วงเวลาที่เล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย กับ แคโรลิน่า มาเซียลิส ภรรยาคนปัจจุบันของเขา คาสซาโน่ เล่าว่า ชีวิตคู่ได้สอนอะไรเขาหลายอย่าง การได้เจอกับ แคโรลิน่า ก็เหมือนกับการที่เขาได้ย้ายมาที่ ซามพ์โดเรีย นั่นคือทั้งเธอ และสโมสรเชื่อมั่นในตัวเขา ขณะที่คนอื่น ๆ รอบข้างต่างบอกว่าจะต้องเสียใจถ้าไว้ใจคนอย่าง คาสซาโน่
ซึ่งการได้โอกาสในช่วงเวลาที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ ถือว่าช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเลยทีเดียว เธอทำให้ คาสซาโน่ กลับมาโฟกัสกับฟุตบอลได้เยอะขึ้นมาก จากคนที่เที่ยวผู้หญิงเป็นว่าเล่น กลายเป็นคุณพ่อลูก 2 ที่สอนลูก ๆ เสมอว่า จงตั้งใจเรียน เลือกทำอะไรสักอย่างอย่างมุ่งมัน และมั่นคงในความฝัน อย่าถอดใจง่าย ๆ ... "อย่าทำตัวเหมือนกับเขา" นี่คือสิ่งที่ คาสซาโน่ สอน ซึ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เขาได้ตกผลึกบางอย่างแม้มันจะเกือบสายเกินไป
คาสซาโน่ ออกจาก ซามพ์โดเรีย หลังมีปัญหาขัดใจกับประธานสโมสร (ภายหลังดีกันแล้ว) และย้ายไปเล่นให้กับ เอซี มิลาน ในปี 2011 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ และก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักในทีมชาติอิตาลีชุด ยูโร 2012 โดยประกบคู่กับ มาริโอ บาโลเตลลี่ เป็นคู่หูขวางนรก ที่ไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนแพ้ สเปน ไปอย่างน่าเสียดาย ... แต่ไม่เลวเลยสำหรับหนุ่มที่เริ่มชีวิตใหม่ที่คว้าแชมป์นี้ได้ตอนอายุ 30 ปี
แม้จะมีประโยคคลาสสิกที่ว่า ชีวิตไม่มีคำว่าสาย แต่ถ้าคุณเอากรอบของฟุตบอลมาครอบอีกที คุณจะพบว่านั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ... ในแง่ของฟุตบอล น่าเสียดายที่มันเป็นการเริ่มต้น และกลับตัวที่อาจจะช้าไปบ้างสำหรับอาชีพนักฟุตบอลที่อายุการใช้งานสั้นเหลือเกิน คาสซาโน่ ผ่านช่วงวัยที่จะพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุดไปแล้ว การกลับมาเก่งตอนอายุใกล้ ๆ 30 ปี ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่มันช้าเกินไป
ร่างกายของเขาถดถอยลงไปตามสภาพการใช้งานหลังจากจบ ยูโร 2012 คาสซาโน่ เล่นให้กับอีกหลายทีม ทั้ง อินเตอร์ มิลาน, ปาร์ม่า ก่อนจะไปจบอาชีพที่ ซามพ์โดเรีย ในปี 2017 หรือตอนที่เขาอายุ 35 ปี
เอาเข้าจริงผลงานของเขากับทีมที่กล่าวมาก็ไม่ได้แย่และเป็นที่พูดถึงในเชิงลบเหมือนตอนที่อยู่กับ มาดริด หรอก ... เพียงแต่ว่ามันเป็นผลงานธรรมดา ๆ และเป็นวัฏจักรของฟุตบอลที่ความสนใจได้ย้ายไปอยู่กับเหล่าคลื่นลูกใหม่ ส่วน คาสซาโน่ ก็ถูกกล่าวถึงในฐานะหนึ่งในแข้งพรสวรรค์ที่วงการฟุตบอลอิตาลีเสียดายที่สุดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
อย่างไรเสีย แม้คนอื่นจะเสียดาย แต่สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร คาสซาโน่ ในวันที่เลิกเล่นได้ออกมาบอกว่า สำหรับเขาในตอนนี้ ทุกสิ่งที่เป็นเรื่องที่เขาต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะเขาเป็นคนเลือก และตัดสินใจทำสิ่งที่ผ่านมาเองทั้งหมด และเขาจะไม่ย้อนไปนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันขาด
"ผมอยากให้คนอื่นจดจำผมแบบไหนน่ะเหรอ ? ... แล้วแต่เลย คุณจะบอกว่าผมเป็นคนดี หรือคนบ้าก็ได้ ผมเคยนั่งคุยกับ คิเอลลินี่, บุฟฟ่อน และ ต็อตติ พวกเขาชอบให้คำจำกัดความผมแบบนั้น เป็นพวกที่ยากจะรับมือ เป็นคนที่ซับซ้อน ซึ่งผมก็ยินดีที่จะรับกับคำกล่าวนั้น"
"และผมกล้าพูดว่า เมื่อมาถึงตอนนี้ มันก็น่าพอใจที่อย่างน้อยผมก็ตรงไปตรงมากับความต้องการของตัวเอง ไม่เคยประจบประแจงใครเรื่องงานและอาชีพ ผมมาถึงจุดนี้ได้ และมีอาชีพที่ดี มีเงินใช้ มีชื่อเสียง ...ใครจะบอกว่ายังไงก็ช่าง แต่ผมจำตอนที่ผมโตมาได้ ผมกับแม่ เรายากจนและใช้ชีวิตบนทางลูกรังมาตลอด ดังนั้นผมสู้ในแบบของผมเสมอ ผมสู้เพื่อไม่ต้องกลับไปสู่จุดนั้นอีกครั้ง"
"แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าพูดถึงเรื่องฟุตบอล ผมอาจจะมีอาชีพที่ดีและไปได้ไกลกว่านี้ก็ได้หากผมตั้งใจกับมันจริง ๆ ... ผมมีช่วงอาชีพการค้าแข้งที่ดีและน่าจดจำนะ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมคว้ามาได้ มันยังไม่เท่า 50% ของสิ่งที่ผมทำได้จริง ๆ เลยด้วยซ้ำ"
"แต่ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ ที่อิตาลีมีภาษิตคำหนึ่งที่บอกว่า 'เมื่อปูเตียงแล้วก็อย่าลังเลที่จะล้มตัวลงนอน' ... ผมปูเตียงให้ตัวเองไว้แล้ว เรื่องอะไรที่ผมจะไม่ล้มตัวลงนอนเพื่อความสบายของตัวเองล่ะ ?"
ในความชิล ๆ ดูสบาย ๆ อย่างน้อยเราก็ได้เห็นว่า คาสซาโน่ รู้ตัวเสมอว่าเขาเก่งกว่านี้ได้ … แต่ก็อย่างที่เขาบอก ชีวิตก็แบบนี้แหละ เราไม่รู้ว่าเราเลือกถูกหรือผิด จนกระทั่งเราได้พบคำตอบในอนาคต
ซึ่งอนาคตเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคาดเดาได้ … คาสซาโน่ เลยมุ่งไปข้างหน้าตามสไตล์ของเขาจนกระทั่งวันสุดท้ายในอาชีพค้าแข้ง
แหล่งอ้างอิง
https://www.ilmessaggero.it/en/antonio_cassano_a_controversial_football_legacy-8400067.html
https://voi.id/en/sports/40989
https://www.goal.com/en/news/i-crossed-the-line-too-many-times---how-wild-genius-cassano-wasted-his-career/1ldpkrb3g39lt139yur5zynpf6
https://www.ilmessaggero.it/schede/antonio_cassano_eta_patrimonio_auto_carriera_polemiche_bobo_tv_moglie_figli_papa_bsmt_ultime_notizie-la_carriera-2-8400067.html
https://www.dazn.com/it-IT/news/altro/antonio-cassano-carriera-club-nazionale-statistiche-biografia/6dfugj8f25we1ltchzy077g1s
https://thesefootballtimes.co/2015/04/03/antonio-cassano-an-unhinged-genius/
https://talksport.com/football/742056/antonio-cassano-stats-real-madrid-autobiography-sex-croissants-career/