Feature

อาห์น จุง ฮวาน : ความยากลำบากของชีวิตในวันที่ทำให้ชาวอิตาเลียนหลั่งน้ำตา | Main Stand

จังหวะโหม่งโป้งเดียวจอดของ อาห์น จุง ฮวาน ส่งให้ทีมชาติเกาหลีใต้ เอาชนะ อิตาลี ด้วยกฎโกลเด้นโกลในฟุตบอลโลก 2002 และชัยชนะครั้งนั้นคือประวัติศาสตร์ของชาวโสมขาวอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาเดินทางไกลไปจนถึงการคว้าอันดับ 4 และเป็นผลงานที่ดีที่สุดของชาติจากทวีปเอเชียที่เคยทำได้ 

 


ความประทับใจไม่รู้ลืมของชาวเกาหลีใต้ นำมาสู่ความแค้นและเสียใจของชาวอิตาลี ที่เกิดจากนักเตะที่ค้าแข้งอยู่ในประเทศของพวกเขา...

จากประตูโกลเด้นโกลประวัติศาสตร์ลูกนั้น ชีวิตของ อาห์น จุง ฮวาน ที่ อิตาลี เป็นเช่นไร? 

ติดตามได้ที่นี่ 

 

เปรี้ยงเปลี่ยนโลก! 

ไม่มีเกมฟุตบอลโลกนัดใดจะค้านสายตาไปกว่าเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันปี 2002 ที่ เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเจ้าภาพ พบกับ แชมป์โลก 3 สมัย ณ เวลานั้นอย่าง อิตาลี อีกเเล้ว

สิ่งที่แฟนบอลทั่วโลกสามารถตัดสินด้วยสายตาคือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน ไบรอน โมเรโน่ ที่แสดงให้เห็นถึงความแปลกและสิ่งกลิ่นถึงความไม่ชอบมาพากล เริ่มตั้งแต่การให้จุดโทษกับเกาหลีใต้ตั้งแต่นาทีที่ 4 ของเกม 

เอาล่ะนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้จะไม่ชัดเจนจนผู้เล่นของ อิตาลี ต้องประท้วงกันยกใหญ่ แต่มันก็ยังไม่ชัดเจนจนพูดได้ว่าโกง และประเด็นดังกล่าวก็ตกไปเมื่อ อาห์น จุง ฮวาน กองหน้าที่เล่นอยู่ในลีกอิตาลีกับ เปรูจา ยิงไม่ผ่านมือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน

ทว่าหลังจากนั้นคือการเล่นติดดาบของผู้เล่นเกาหลีใต้หลายครั้ง และยังมีจังหวะที่  คิม แทยอง  ที่มีใบเหลืองติดตัวดึงเสื้อ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ แบบจะๆชัดๆ ทว่าใบเหลืองที่ 2 ก็ไม่ออก นอกจากนี้ยังจังหวะจุกจิกอีกมากที่ขนาดคนดูบอลไม่เป็นก็ยังต้องสงสัยว่าแบบนี้ก็ได้หรือ? 

เรื่องของสกอร์ยกยอดข้ามกันไปทุกคนรู้ดีกันอยู่เเล้วทั้งคู่เสมอกันในเวลา 1-1 (คริสเตียน วิเอรี่ ในนาทีที่ 50, โซล คี เฮือน ในนาทีที่ 88) จนต้องต่อเวลาพิเศษออกไป และสุดท้ายสนาม แตจอน เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม ก็เเทบแตกเมื่อผู้ยิงจุดโทษพลาดแบบ อาห์น จุง ฮวาน โหม่งประตูชัย 2-1 และด้วยกฎโกลเด้นโกลทำให้เกาหลีใต้เป็นผู้ชนะแบบช็อคโลกในทันที

สิ่งที่ตามมาของฝั่งแฟนบอลทั่วไป คือ การพยายามสาวไส้ ไบรอน โมเรโน ว่ามีนอกมีในกับการตัดสินเกมนี้หรือไม่ นอกจากนี้กระแสส่วนใหญ่ยังมองว่าเกาหลีใต้เข้ารอบแบบไม่สมศักดิ์ศรี  ไม่ต้องพูดถึงเหล่านักเตะอิตาลี ที่สาดเสียทุกคนเมื่อถูกสัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ในเกมดังกล่าว

อย่างไรก็ตามอีกมุมนึงของโลกมันเป็นช่วงเวลาที่แตกต่าง กระแสความดีใจและเชิดชูนักเตะเกาหลีใต้ชุดนั้นเกิดขึ้นทุกหัวระแหง โดยเฉพาะ อาห์น จุง ฮวาน ผู้ยิงประตูชัยที่ถูกเปรียบให้เป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่สำหรับชาวเกาหลีใต้นั้น ผู้ชนะเท่านั้นที่ได้เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ นี่คือประโยคที่เหมาะจะอธิบายสถานการณ์ในเวลานั้นมากที่สุด 

มันไม่ใช่เรื่องผิด ไม่มีใครผิดในเรื่องนี้ มีแต่มุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้น ชาวเกาหลีใต้มีความเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้โกง แต่คือความยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นจากทีมที่ลงตัวที่สุด นักเตะที่สู้ถวายหัว และโค้ชที่เชี่ยวชาญและรู้จริงนั่นเอง

 

มุมของผู้เขียนประวัติศาสตร์ 

เกาหลีใต้ ชุดนั้นเกิดขึ้นจากการผสมผสานนักเตะของกุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือชาวดัตช์ผู้เข้ามาสร้างประวัติศาสตร์  

ฮิดดิ้งค์ เข้ามาทำทีมโดยเริ่มถ่ายทอดปรัชญาให้นักเตะเกาหลีใต้ทุกคนวิ่งลืมตาย เขาเรียกนักเตะ 23 คนในทีมว่า "สุนัขหนุ่ม" และไม่ใช่แค่การสอนในสนามเท่านั้น ฮิดดิ้งค์ ยังเป็นคนที่ใช้จิตวิทยาที่ทำให้นักเตะเกาหลีใต้ชุดฟุตบอลโลก 2002 รู้หน้าที่ของตัวเอง และกล้าเผชิญหน้ากับคนที่เก่งกว่า ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่ว่าทีมจากเอเชียทีมไหนก็มักจะหงอ...เมื่อต้องดวลกับทีมชั้นนำของโลกและแพ้ไปแบบสู้ไม่ได้ อีกทั้งรูปเกมก็ไม่เป็นทรง 

"จุดเปลี่ยนเริ่มตั้งแต่โต๊ะกินข้าว." ชุน ฮัน-จิน หนึ่งในสต๊าฟชาวเกาหลีใต้ที่ทำงานกับ ฮิดดิ้งค์ กล่าว

"เรานั่งกินข้าวกันและทันใดนั้นช่องทีวีก็พูดวิจารณ์ถึงทีมชาติเกาหลีใต้ แต่เขาบอกให้ผมหยุดและบอกว่า "เราจะหยุดพูดกันได้ไหมตอนที่ผมกินข้าวอยู่"   

มิสเตอร์ ชุน เล่าว่าทุกอย่างในแคมป์เก็บตัวเป๊ะมาก ทุกคนต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง มีวินัยให้ถึงที่สุด และไม่มีการผ่อนปรนใดๆทั้งนั้น 

"นอกจากนี้บางครั้งเขายังชอบแกล้งโมโหและด่าผม เพื่อให้นักเตะเข้าใจว่าการที่พวกเขาไม่ปฎิบัติตามคำสั่ง ฮิดดิ้งค์ ทำให้ผมต้องตวาด เขามีเจตนาทำมันเพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกผิด" 

อีกหนึ่งปัญหาคือเรื่องของการสื่อสารแน่นอน ฮิดดิ้งค์ พูดภาษาเกาหลีไม่ได้ แม้เขาจะมีล่ามส่วนตัว แต่บางครั้งมันก็ไม่ทันกาล ขณะที่นักเตะเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ มีเพียงแค่ โซล คี เฮือน  และ อาห์น จุง ฮวาน ที่ไปค้าแข้งในต่างประเทศและมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษบ้าง

ฮิดดิ้งค์ เป็นคนที่เฮี้ยบมากสายตาของเขาทำให้นักเตะต้องเกรงกลัว เพราะเขามักจะโกนด่าเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นคำที่เขาใช้สื่อสารง่ายๆหลักๆจึงมีคำว่า "คอนโทรล"  "อีซี่ และ "รีแล็กซ์" 

และนักเตะที่คอยเป็นสื่อกลางระหว่างโค้ชกับนักเตะคือ อาห์น จุง ฮวาน กองกลางจาก เปรูจา ที่ ฮิดดิ้งค์ เลือกมาเป็นกองหน้าในนามทีมชาติ ตัวของ อาห์น นั้นสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น อาห์น จึงไม่ใช่เป็นแค่ฮีโร่โกลเด้นโกลอย่างที่ใครเข้าใจเพียงอย่างเดียว แต่เขาคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้ชุดนั้นปฎิบัติตามหน้าที่ที่ฮิดดิ้งค์สั่งได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับทีมชุดนั้น โดยเฉพาะ อาห์น จุง ฮวาน จะถูกจดจำในฐานะวีรบุรุษของชาติ แม้จะได้อันดับ 4 ในบั้นปลาย ผลงานในครั้งนั้นก็กลายเป็นตำนาน และประตูของ อาห์น จุง ฮวาน ก็ถูกพูดถึงจนทุกวันนี้

 

จังหวะนรก...

ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองจบไป ก็ได้เวลากลับสู่โลกอีกใบ นั่นคือการเตะบอลเพื่ออาชีพ  และเรื่องตลกร้ายคือ อาห์น เป็นนักเตะของสโมสรเปรูจา ใน อิตาลี ประเทศที่เขาเพิ่งทำประตูเขี่ยตกรอบ และความโกรธแค้นของแฟนๆชาวอิตาเลี่ยนยังเป็นแผลสด ที่พร้อมจะฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคน 

นาทีนี้ไม่มีคำว่าเส้นแบ่งใดๆ ทั้งนั้นแม้แต่ประธานสโมสรอย่าง ลูชาโน่ เกาชี่ ยังออกตัวตั้งแต่นักเตะยังไม่กลับเข้าเเคมป์เก็บตัวก่อนซีซั่นใหม่ว่า อาห์น จุง ฮวาน จะไม่ได้กลับมาเหยียบสนามของ เปรูจา อีก เพราะสิ่งที่เขาทำนั่นคือการยิงประตูส่งอิตาลีตกรอบ และสิ่งที่เกาหลีใต้ทำนั่นคือเล่นไม่ซื่อจนชาวอิตาลีทั้งประเทศต้องปาดน้ำตา...นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเชื่อและความเชื่อไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่ายๆ

"มันไม่เกี่ยวสักนิดว่าเขาจะเป็นคนโหม่งประตูใส่อิตาลีหรืออะไรก็ช่าง แต่มันคือความไม่พอใจที่ชาวอิตาลีทั้งประเทศและตัวของผมเองรู้สึกกันทั้งหมด" เกาชี่ กล่าว

"ต่อให้ อาห์น ยิง 10 ประตูในเกมนั้นผมก็ไม่โกรธ แต่เขาบอกว่าเกาหลีใต้เล่นฟุตบอลได้ดีกว่าอิตาลี นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ เขาควรจะพูดเคารพประเทศอื่นๆเหมือนที่เขาอยากได้"

"ตลอดเวลาเราปฎิบัติกับเขาอย่างดีเสมอมา แต่คำพูดของเขาเองนั่นแหละที่ไม่ให้เกียรติผมและประเทศอิตาลี...ไอ้หนุ่มคนนี้จะไม่ได้กลับมาเล่นให้ เปรูจา อีกครั้งแน่นอน ผมเป็นมันพวกชาตินิยม พฤติกรรมของเขา นอกจากจะดูหมิ่นประเทศของผมเเล้ว ยังถือเป็นการทำร้ายประเทศที่เปิดประตูต้อนรับเขาสู่โลกฟุตบอลด้วย"

"ผมจะไม่จ่ายเงินเดือนให้กับคนที่ทำลายวงการฟุตบอลอิตาลีแน่นอน" นั่นคือสิ่งที่ประธานสโมสร เปรูจา พูดถึงนักเตะเกาหลีใต้ที่มีสัญญากับทีมอยู่ ซึ่งแสดงออกถึงความโกรธแค้นในฐานะตัวแทนของชาวอิตาเลี่ยนได้เป็นอย่างดี 

แม้ว่า ณ เวลานั้น ซาเซ่ คอสมี่ กุนซือของเปรูจา จะออกลูกแทงกั๊กว่า อาห์น เป็นนักเตะที่ดี และอยากให้สโมสรต่อสัญญายืมตัวเขาออกไป แต่ท้ายที่สุดเขาก็ทำตามบัญชาของประธานสโมสรอย่างไร้เงื่อนไข

เรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดความไม่พอใจของหลายฝ่าย แม้ฝั่ง เปรูจา จะมีเหตุผลเรื่องความไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลก แต่ฝั่ง กุส ฮิดดิ้งค์ ก็มองว่ามันเป็นการกระทำที่เสียสติและไม่แยกแยะเลยแม้แต่น้อย 

"เป็นการตอบโต้ที่เด็กน้อยมาก แบบนั้นเราไม่ต้องเล่นงานนักเตะทีมชาติอื่นกันหมดเลยเหรอ? ฟุตบอลมันเป็นกีฬาสากลไปแล้ว ผมยกตัวอย่างนะคนอังกฤษเขาคาดหวังให้ ฟร้องค์ เลอเบิฟ กับ มาร์กเเซล เดอไซญี่ เล่นไม่เต็มที่ตอนเจอกับอังกฤษหรือเปล่า? บ้าไปแล้วนักกีฬาอาชีพเขาต้องเต็มที่เสมอนั่นแหละ" ฮิดดิ้งค์ ให้ความเห็นถึงกรณีดังกล่าว

 

ความจริงที่เพิ่งถูกเล่า 

การกล่าวของ ลูชาโน่ เกาชี่ ไม่ใช่การพูดเล่น เพราะหลังจากนั้น เปรูจา ก็ปล่อยตัวเขาออกจากทีมจริงๆ ด้วยการไปเล่นกับ ชิมิสุ เอสพัลส์ ซึ่งตัวของ อาห์น นั้นก็มีอาชีพที่ยอดเยี่ยมในแบบของเขาด้วยการได้ย้ายกลับมาเล่นในยุโรปกับ เม็ตซ์ และ ดุยซ์บวร์ก จนกลับมาใช้บั้นปลายชีวิตที่เกาหลีใต้ และแขวนสตั๊ดไปในปี 2011 

สิ่งหนึ่งที่ อาห์น ได้บอกเล่าหลังจากเเขวนสตั๊ดคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ เปรูจา ที่เขาไม่เคยบอกที่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นคือนับตั้งแต่ที่ อาห์น ย้ายไปอิตาลีตั้งแต่ปี 2000 เขาก็ไม่เคยได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมทีมตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องการดูหมิ่นนอกสนามเท่านั้น แม้แต่การลงเล่นหรือฝึกซ้อมก็ไม่มีใครส่งบอลให้เพราะไม่มีใครเปิดใจต้อนรับเขา

เป้าใหญ่ที่ อาห์น บอกคือ มาร์โก มาร์เตรัซซี่ กัปตันทีมจอมโหด ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ และมักจะมีคำพูดที่ทำให้แม้แต่ล่ามก็ไม่กล้าจะแปลให้กับเขาได้ฟัง

"มาร์โก เข้ามาในห้องแต่งตัวตะโกนใส่หน้าผมต่อหน้าทุกคนว่า ตัวแกเหม็นกลิ่นกระเทียมว่ะ จนถึงขั้นล่ามยังอายและไม่กล้าจะแปลให้ผมฟังตรงๆ" อาห์น กล่าว ซึ่งเหม็นกระเทียมในที่นี้หมายถึงการการเหยียดคนเอเชียที่ชอบกินอาหารมีกลิ่นฉุนเช่นกระเทียม เป็นต้น 

"เพื่อนในทีมไม่มีใครผ่านบอลให้ผม ผมแทบไม่มีโอกาสที่จะง้างยิงเลยด้วยซ้ำ" เขาเสริมต่อซึ่งยืนยันได้ด้วยสถิติ ลงเล่น 30 นัดและยิง 3 ลูกในเกมลีก ตลอด 2 ปีในสีเสื้อเปรูจา

ไม่ใช่แค่ตัวของอาห์น เท่านั้น ภรรยาของเขาก็ยังยืนยันว่าช่วงที่อยู่ อิตาลี อาห์น เป็นโรควิตกจริตจนไม่กินอาหารที่มีกระเทียมเลย เพราะกลัวโดนล้อเรื่องกลิ่น นอกจากนี้ยังถูกปฎิบัติราวกับเป็นส่วนเกินของทีมมาโดยตลอด 

ชีวิตในอิตาลีของ อาห์น ยากตั้งแต่ก่อนที่เขาจะยิงประตูชัยเเล้ว นอกจากเพื่อนร่วมทีมไม่ยอมรับ เขาก็ยังปรับตัวไม่ได้ เขาบอกว่าตอนที่ย้ายไปใหม่ๆเขาประทังชีวิตด้วยการกินไอศกรีมกับช็อคโกเเล็ต เพราะอาหารอิตาเลี่ยนไม่ถูกปากเลย เขาใช้เวลานานกว่าจะหาร้านขายของชำที่นำของจากเกาหลีใต้ มาวางขาย รวมถึงร้าน บูลโกลกิ (หมูย่าง) ซึ่งทำให้ชีวิตเขาเริ่มง่ายขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายเพื่อนก็ยังมาล้อเรื่องกลิ่นกระเทียม ซึ่งก็ทำให้เขาไม่มีทางใดให้เลือกเลย 

ดังนั้นการแยกจากกันระหว่าง เปรูจา กับ อาห์น จุง ฮวาน จึงเป็นการแยกทางกันในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เพราะต่อให้เขาไม่ยิงประตูในเกมนัดนั้น และ อิตาลี เป็นฝ่ายเข้ารอบไป สุดท้ายเขาก็คงได้รับการปฎิบัติที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมอยู่ดี ... ที่สุดเเล้วการยิงประตูชัยให้เกาหลีใต้เข้าไปสร้างประวัติศาสตร์จึงกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายที่เขาเคยทำเช่นนั้น

"ผมก็แค่ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติของผม ผมรู้ว่าชาวอิตาลีจะต้องเศร้าและเสียน้ำตากับผลการแข่งขัน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องทำ คนอิตาเลี่ยนแค่เชื่อมั่น 100% ว่าทีมของพวกเขาจะไม่มีวันแพ้เกาหลีใต้ ดังนั้นผมจึงกลายเป็นคนเลวที่ทำให้พวกเขาผิดหวังเท่านั้นเอง" อาห์น กล่าวทิ้งท้าย

การจากลาอาจจะน่าเศร้า แต่สำหรับ เปรูจา กับ อาห์น จุง ฮวาน หลังฟุตบอลโลก 2002 คือสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นและดีต่อทุกฝ่ายอย่างแท้จริง… 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ อาห์น จุง ฮวาน ซ่อนไว้คือ เมื่อสุดท้ายเเล้วเหตุการณ์ความเดือดของประธานเปรูจาทุเลาลง ท่านประธานก็รู้สึกผิดและได้ยืนสัญญามูลค่า 1.2 ล้านยูโร ระยะเวลา 3 ปี ให้กับเขา ทว่ามันช้าไปเสียเเล้ว เหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เขาเลือกปฎิเสธมันอย่างไม่ลังเล 

การเวลาเปลี่ยนไปแต่ดูเหมือนอะไรๆหลายอย่างยังไม่เปลี่ยนนับตั้งแต่ อาห์น จุง ฮวาน เล่นให้กับ เปรูจา พวกเขาต้องรอถึงอีก 16 ปี จนกว่าจะมีผู้เล่นเกาหลีใต้ที่ได้ไปเล่นใน อิตาลี อีกครั้ง (อี ซึง วู เล่นให้กับ คิเอโว่) 

ส่วนเรื่องของความเกลียดชังจากความพ่ายแพ้ในฟุตบอลโลกดูเหมือนจะยังตกตะกอนอยู่ 7 ปีก่อน PSY ศิลปินเกาหลีใต้ ที่ได้เปิดการแสดงในศึกนัดชิงชนะเลิศถ้วยโคปา อิตาเลียนคัพ  

ณ เวลานั้นเพลง กังนัม สไตล์ อาจจะดังไปทั่วโลก แต่ที่ อิตาลี ไม่เป็นเช่นนั้น แฟนบอลที่อยู่ในสนามตะโกนโห่เขาอย่างเสียงดังฟังชัด จนสุดท้าย PSY ก็ได้แค่ทำหน้าเจื่อนและปิดท้ายว่า "ไอเลิฟอิตาลี" ปิดการแสดงแบบหงอยๆเท่านั้นเอง 

แม้จะบอกไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ก็ชวนสงสัยไม่ไหวจริงๆ ว่าการแข่งขันครั้งนั้นในปี 2002 และประตูของ อาห์น จุง ฮวาน คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดนี้…

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา