Feature

ผีผลักหรือตั้งใจเลือก : ทำไม รุด ฟาน นิสเตลรอย จึงเป็นคนที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ตามหา ? | Main Stand

อีกไม่กี่อึดใจ รุด ฟาน นิสเตลรอย จะเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ของ เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างเต็มตัว

 


เบื้องหลังการสรรหาโค้ชครั้งนี้ของฝั่งจิ้งจอกสยามเป็นอย่างไร ? เหตุใดพวกเขาจึงได้โค้ชใหม่อย่างรวดเร็วหลังปลดโค้ชเก่าอย่าง สตีฟ คูเปอร์ ได้แค่ไม่กี่วัน ? 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดจาก Main Stand 

 

สถานการณ์ที่รอไม่ได้ 

เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกที่ปลดโค้ชในซีซั่น 2024-25 และการปลดกุนซือ สตีฟ คูเปอร์ เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้อย่างง่ายดาย ไม่ซับซ้อนอะไรเลย เพราะมันประกอบด้วยความย่ำแย่แบบครบสูตร ทั้งผลลัพธ์ในตารางการแข่งขัน วิธีการเล่นในสนาม และการรวมกันเป็นหนึ่งในห้องแต่งตัว ทุกอย่างที่กล่าวมา ไม่มีข้อไหนสอบผ่านแม้แต่ข้อเดียว 

แม้หลายคนที่อาจไม่ได้ติดตามการเล่นของ เลสเตอร์ บ่อยนักจะบอกว่า อันดับพวกเขาก็ยังไม่ได้อยู่ในโซนตกชั้นไม่ใช่เหรอ ? ทว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มีการรายงานจากนักข่าวสายเลสเตอร์ หลายคนไม่ว่าจะ จอห์น เพอร์ซี่ย์ แห่ง The Telegraph และ ร็อบ แทนเนอร์ จาก The Athletic โดยพวกเขาบอกว่า บอร์ดบริหารไม่เห็นทิศทางในเชิงบวกหากยังมี คูเปอร์ อยู่ในทีมต่อไป 

"ในสายตาของผู้บริหาร พวกเขาสามารถรับรู้ได้ว่า ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ โอกาสตกชั้นมีสูงแน่นอน เหนือสิ่งอื่นใดคือ การเล่นในสนามที่ไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งและอนาคตที่สดใสรอยู่เลย" ร็อบ แทนเนอร์ ว่าแบบนั้น 

แค่ 12 นัด ต้องหาโค้ชใหม่เลยเหรอ ? คำตอบคือ ใช่ ... เลสเตอร์ ไม่สามารถเสี่ยงกับการตกชั้นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปีได้อีกแล้ว พวกเขาจำเป็นจะต้องอยู่รอดให้ได้ เพราะถ้าพลาดตกชั้นขึ้นมาในฤดูกาลนี้ พวกเขาจะเจอปัญหาเรื่องการเงินร้ายแรงอย่างมากในอนาคต ตามกฎการทำกำไรและความยั่งยืนของสโมสร (PSR) ที่ถูกบังคับใช้ในพรีเมียร์ลีก 

แม้ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จทางกฎหมายเมื่อเดือนกันยายน 2024 ในการต่อสู้กับข้อกล่าวหาละเมิดกฎดังกล่าวของพรีเมียร์ลีก ระหว่างแคมเปญตกชั้นที่เลวร้ายในปี 2022-23 ต่อการเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาล 2023-24 แต่การต่อสู้ก็ยังไม่จบ ชัยชนะครั้งนั้นทำให้พรีเมียร์ลีกรู้สึกผิดหวัง จากการตัดสินใจของคณะกรรมการอุทธรณ์อิสระ ที่จะยืนตามการอุทธรณ์ของเลสเตอร์ ซึ่งมองว่าพวกเขาต้องเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และกฎ PSR ที่ใช้ในพรีเมียร์ลีก ไม่สามารถเอาผิดพวกเขาได้ 

ดังนั้นหากการตกชั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง การฟ้องร้องจะเกิดขึ้นใหม่ และหนนี้ กฎที่เคยเป็นรอยรั่วต่าง ๆ ของพรีเมียร์ลีก ได้ถูกอุดไปจากความพ่ายแพ้ในการขึ้นศาลครั้งที่แล้ว ... ถ้าเลสเตอร์ตกชั้น พวกเขาจะชวดเงินก้อนโตจากค่าลิขสิทธิ์และอื่น ๆ รวม ๆ แล้วเกือบ 80 ล้านปอนด์ ดังนั้นมันจะส่งผลต่อตัวเลขในบัญชีใช้จ่ายประจำปีอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงพลาดไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็เพราะมีคนรอซ้ำอยู่ และจับตาดูพวกเขาในทุกฝีก้าว

นี่คือเรื่องที่ทำให้ เลสเตอร์ ต้องปลด สตีฟ คูเปอร์ และเลือกกุนซือใหม่ก่อนทีมจะลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 13 ด้วยการบุกเยือน เบรนท์ฟอร์ด ... และตอนนี้คนที่เข้าวินก็คือ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่กำลังจะได้งานนี้ คำถามคือ ทำไมต้องเป็นเขา ?

 

ขอเสี่ยงกับโค้ชรุ่นใหม่ 

รุด ฟาน นิสเตลรอย มีประสบการณ์โค้ชระดับอาชีพในระดับหนึ่ง เขาเคยคุม พีเอสวี เป็นระยะเวลา 1 ปี และพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยดัตช์ได้ 1 สมัย ก่อนจะมารับงานเป็นผู้ช่วย เอริก เทน ฮาก ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และได้โอกาสคุมทีมชั่วคราวเป็นระยะเวลา 4 นัด ก่อนที่ปีศาจแดงจะแต่งตั้ง รูเบน อโมริม มาคุมทีมแทน ซึ่งทำให้ รุด ต้องออกจากตำแหน่งไปโดยปริยาย 

ต้องบอกว่าเป็นจังหวะพอดิบพอดีกับ เลสเตอร์ ที่กำลังต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำในทีมสตาฟโค้ช ว่ากันว่าบอร์ดบริหารของ เลสเตอร์ ที่นำโดย อัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา คือคนที่ต้องการตัว รุด ฟาน นิสเตลรอย ด้วยตัวเอง แม้ว่าทีมงานคนอื่น ๆ จะมีชื่อของโค้ชยุคเก๋าอย่าง เดวิด มอยส์ รวมถึงคนอื่น ๆ อย่าง แกรม พ็อตเตอร์, การ์ลอส โคเบรัน (เวสต์บรอมวิช) และ ลี คาร์สลี่ย์ เป็นแคนดิเดตร่วมตามลำดับลงมา 

สาเหตุที่ต้องเป็น รุด ฟาน นิสเตลรอย นั้น แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องของประสบการณ์การคุมทีม หรือประสบการณ์ทำทีมหนีตายอยู่แล้ว แต่เชื่อกันว่าผลงานที่ ฟาน นิสเตลรอย ฝากไว้ตอนคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด 4 เกม คือสิ่งที่ฝั่ง เลสเตอร์ ซิตี้ อยากจะได้เขามาทำงาน ซึ่งข้อแรก เราต้องไม่ลืมว่า 2 จาก 4 เกมที่ รุด ได้คุม แมนฯ ยูไนเต็ด คือการคุมทีม ชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยเอาชนะได้ 2 เกมรวดทั้งใน คาราบาว คัพ 5-2 ตามด้วยใน พรีเมียร์ลีก อีก 3-0 

งานของ ฟาน นิสเตลรอย อาจจะไม่ได้เหนียวแน่นเรื่องระบบการเล่นอะไร แต่เขาซื้อใจนักเตะได้ดี สร้างความเชื่อมั่นในทีมที่ใกล้จะแตกสลายได้ในแทบจะทันที อย่างเช่นตอนที่เขาทำงานกับ ยูไนเต็ด 4 เกม นักเตะที่เคยฟอร์มแย่หลาย ๆ คนในยุค เทน ฮาก ก็กลับมาเล่นได้ดี โดยเฉพาะ คาเซมิโร่ ที่ออกปากด้วยตัวเองว่า การทำทีม และการเข้าหานักเตะของรุด ทำให้นักเตะในทีมมีความมั่นใจ มุ่งมั่น และสนุกกับการแข่งขันอีกครั้ง หลังจากเคยเล่นกันแบบซังกะตายในยุค เอริก เทน ฮาก 

"เขาพูดกับพวกเราตั้งแต่ครั้งแรกว่า ขอให้สนุกกับการแข่งขัน มีความสุขในการเล่น และใช้เวลาในการเป็นผู้เล่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้มากที่สุด นี่อาจจะเป็นคำง่าย ๆ แต่มันคือการเตือนสติทุกคนว่า พวกเราได้หลงหลืมอะไรไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา" คาเซมิโร่ อธิบาย

ซึ่งนอกจากคำยืนยันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว เมื่อครั้งที่ รุด พา พีเอสวี คว้าแชมป์ ดัตช์ คัพ ชื่อเสียงของเขาที่โดดเด่นในเรื่องการเป็นสายปลุกใจนักเตะ และสื่อสารกับนักเตะแบบตรงไปตรงมา ทำให้ทีมเข้าใจอะไรง่าย ๆ ก็มีการบอกเล่าเรื่องราวของเขาในเวลานั้นเช่นกัน โดยคนที่ออกมาพูดคือ พาทริค ฟาน อานโฮลท์ ที่ออกมาบอกว่า "เขาเคยเป็นกองหน้าตัวอันตราย และการที่เขาถ่ายทอดความรู้ของเขาส่งถึงนักเตะในทีมทันที นั่นหมายความว่าเขามีคุณลักษณะที่เหมาะ และทุกคนให้ความเคารพเขาอย่างรวดเร็ว"

ขณะที่สื่อดัตช์อย่าง กุส ปีเตอร์ส ที่เห็นการทำงานของ ฟาน นิสเตลรอย มาตลอด อธิบายลักษณะการเป็นโค้ชของ รุด เพิ่มเติมว่า รุดเป็นโค้ชที่ได้ใจนักเตะไว และเก่งเรื่องการรวบรวมทีมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ภายในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งตอนที่เขาคุม พีเอสวี เขาก็รับเผือกร้อนต่อจากกุนซือ ราฟาเอล ชมิดท์ ที่ ณ เวลานั้นห้องแต่งตัวกำลังโกลาหล จนกระทั่ง รุด เข้ามาและใช้เวลาไม่นานนักก็พาทีมกลับสู่ร่องสู่รอย และจบซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยไปอย่างงดงาม 

คุณสมบัติการรวมทีมและกระตุ้นให้นักเตะแสดงผลงานและความมุ่งมั่นออกมาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ คือสิ่งที่ เลสเตอร์ กำลังต้องการ เราอาจปฏิเสธไม่ได้ว่า โค้ชคือคนแรกที่ต้องรับผิดชอบผลการแข่งขันที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ถ้าแยกย่อยลงไป ทุกคนต่างรู้ว่านักเตะก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งนักเตะ เลสเตอร์ หลายคนก็เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ๆ ในซีซั่นนี้ 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการให้ร้ายและเล่นการเมืองในห้องแต่งตัว หลังมีข่าวบอกว่านักเตะเลสเตอร์ รวมตัวกันฉลองปาร์ตี้คริสต์มาส ที่ประเทศเดนมาร์ก และในวันนั้นมีคลิปหลุดออกมาว่าทุกคนฉลองอย่างสุดเหวี่ยง แถมยังเลยเถิดถึงขั้นขึ้นป้ายว่า "เอ็นโซ่ (มาเรสก้า) พวกเราคิดถึงคุณ" ทั้ง ๆ ที่ ณ ตอนนั้น สตีฟ คูเปอร์ ยังไม่โดนไล่ออกเลยด้วยซ้ำ และการฉลองยังเกิดขึ้นหลังเกมที่ เลสเตอร์ แพ้ เชลซี คาบ้าน 1-2 ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

รายงานเพิ่มเติมระบุว่า "คุณต๊อบ" ถึงกับต้องลงมาติเตียนนักเตะในทีมเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทั้งเรื่องของมาตรฐานการเล่นที่ตกต่ำ และการแสดงออกแบบสุดเหวี่ยงจนมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสโมสร 

มันชัดเจนว่า คูเปอร์ คุมห้องแต่งตัวของเขาไม่อยู่จึงต้องจากไป และในช่วงเวลาที่ซื้อนักเตะใหม่ไม่ได้แล้ว ทุกอย่างจะต้องปรุงจากวัตถุดิบที่มีในเวลานี้ ดังนั้นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมกุนซือที่รวมใจทีมแตกได้ดีอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย จึงเป็นคนที่ถูกเลือกให้มารับงานนี้ในท้ายที่สุด ... เขาอาจจะไม่มีประสบการณ์ในการพาทีมรอดตกชั้นเหมือน มอยส์ หรือ พ็อตเตอร์ แต่สิ่งที่เขามีคือ การกอบกู้ทีมในระยะสั้น ซึ่งดูจะเหมาะกับ เลสเตอร์ ในเวลานี้ไม่น้อย 

นอกจากนี้ โค้ชหนุ่มที่ดีกรีไม่แรงมากอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ตรงตามสเป็กของ เลสเตอร์ ซิตี้ นั่นคือการจ้างเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าฉีกสัญญา เพราะ ณ ตอนนี้ เขาเป็นอิสระ นอกจากนี้เขายังเป็นโค้ชที่มีค่าจ้างไม่แพงนัก โดยตามรายงานของ ร็อบ แทนเนอร์ บอกว่าค่าเหนื่อยของ รุด นั้นถูกกว่าทั้ง มอยส์ และ พ็อตเตอร์ "พอสมควร" ดังนั้น สาเหตุทั้งหมดจึงลงล็อก และทำให้อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ รุด ฟาน นิสเตลรอย จะเป็นกุนซือใหม่ของจิ้งจอกสยามอย่างเต็มตัว

 

Best Friend ที่ตามมา

ว่ากันด้วยเรื่องในสนาม เรื่องของการบริหาร และการเงินไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ประโยชน์ที่ตามมาในส่วนอื่น ๆ หากการเซ็นสัญญา ฟาน นิสเตลรอย เสร็จลุล่วง 

ถ้าเป็นการจ้าง ฟาน นิสเตลรอย ในช่วง 6 เดือนก่อนหน้านี้ มันคงไม่น่าสนใจเท่ากับการจ้าง รุด ในเวลานี้ เนื่องจากตัวของเขาที่มีสถานะเป็นหนึ่งในไอคอนของ แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งมีผลงานเด่นชัดจับต้องได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน และสิ่งที่เขาทำไว้ในฐานะกุนซือชั่วครวของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยอดเยี่ยมถึงขั้นที่เกิดกระแสจากแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด อยากให้เขาได้คุมทีมต่อ หรือไม่ก็เป็น 1 ในสตาฟโค้ชของ อโมริม เลยทีเดียว

เรียกได้ว่าผลงานของ รุด ในช่วง 2 สัปดาห์ ปลายเดือนตุลาคมต่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2024 เป็นสิ่งที่ทำให้แฟน ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด รักเขามากขึ้นไปอีก และเกิดความรู้สึกว่า อยากจะตามเชียร์อดีตนักเตะและอดีตโค้ชของพวกเขาคนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าในอีกไม่นานจะเป็นสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ 

เราต้องไม่ลืมว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ผลักดันแคมเปญ "เฟรนด์บอลเลสเตอร์" มาพักหนึ่งแล้ว โดยจุดยืนของพวกเขาคือ การทำให้แฟนบอลทีมอื่น ๆ หันมาเชียร์ และให้กำลังใจ เลสเตอร์ ในฐานะ ไม่ต้องเป็น "แฟน" แต่ขอแค่เป็น "เฟรนด์" ก็ยังดี 

หลังจากมีข่าว เลสเตอร์ ซิตี้ เลือก รุด ไม่นานนัก คอมเมนต์ในโซเชี่ยลมีเดียของแฟนบอลปีศาจแดงหลายคน ก็ดูจะตื่นเต้นไม่ต่างกับแฟนบอลของ เลสเตอร์ ซิตี้ หลายคนอยากจะเห็น รุด ฟาน นิสเตลรอย ได้คุมทีมอย่างเต็มตัว และยิ่งคุมทีมในพรีเมียร์ลีกยิ่งดี เพราะหาดูง่าย ได้ดูฟอร์มกันในทุก ๆ สัปดาห์

ซึ่งการมาของ รุด ฟาน นิสเตลรอย จะเหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นอกจากจะได้กุนซือใหม่ในช่วงเวลาสำคัญแล้ว พวกเขายังได้ความสนใจจากสื่อ และเฟรนด์บอลที่มาจากแฟนบอลฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตามมาเชียร์รุดอีกจำนวนมากเลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลทั้งในและนอกสนาม หรือแม้กระทั่งบนโลกโซเชี่ยลมีเดียที่เป็นคำตอบว่า ทำไม รุด ฟาน นิสเตลรอย จึงเป็นคนที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องการ ... ทว่าสิ่งสำคัญมันหลังจากนี้ต่างหาก เพราะนี่คือโลกแห่งการแข่งขันที่แท้จริง และโลกแห่งมืออาชีพ ที่สุดแล้ว ผลการแข่งขันสำคัญเป็นอันดับแรก

ถ้า รุด ฟาน นิสเตลรอย ทำผลงานได้ดี หรือพาทีมรอดตกชั้นได้ นั่นแหละจึงเรียกว่า "สุดคุ้ม" หรือ "คนที่ใช่" ได้อย่างเต็มปาก  

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.givemesport.com/leicester-city-latest-news-why-chosen-appoint-van-nistelrooy-manager-king-power-stadium/
https://www.bbc.com/sport/football/teams/leicester-city
https://www.nytimes.com/athletic/5944299/2024/11/25/steve-cooper-leicester-sacking/
https://www.nytimes.com/athletic/5949444/2024/11/27/leicester-manager-search-psr-constraints/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ