Feature

ยอดเขาแห่งตำนาน : "พาลเมอร์ - แจ็คสัน" กับโอกาสเป็นดูโอ้ระดับ "แลมพ์ - ดร็อกบา" | Main Stand

หลังจากดูติดขัดทุลักทุเลมาสักพักเกี่ยวกับผลงานในสนาม ดูเหมือนว่าจากการเปลี่ยนผ่านกุนซือมา 4-5 คน เชลซี ในยุค BlueCo กลุ่มทุนสัญชาติอเมริกันเริ่มจะได้ทีมที่ลงตัวแล้ว 

 


สถิติและสิ่งที่เห็นสะท้อนว่า ณ ตอนนี้ โคล พาลเมอร์ คือกองกลางที่สำคัญที่สุดของทีม และ นิโคลัส แจ็คสัน เป็นกองหน้าที่ยิงได้มากที่สุดของทีม ... ทั้งคู่ต่างผลัดกันยิง ผลัดกันแอสซิสต์ให้อยู่หลายประตู และทำให้ทีมดูดีขึ้นมากในเวลานี้

คำถามคือ ดูโอ้ยุคนี้ที่เริ่มเป็น "วัยรุ่นสร้างตัว" มีโอกาสจะตามรอย "ดูโอ้ในตำนาน" อย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ได้หรือไม่ ? ติดตามที่ Main Stand

 

คู่กลางรุก-หน้าเป้าที่เข้าขากันที่สุด

คุณไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า สโมสร เชลซี เริ่มเขียนประวัติศาสตร์ฉบับใหม่ของตัวเองนับตั้งแต่ยุค โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเมื่อปี 2003 ซึ่งช่วงเวลาหลังจากนั้น พวกเขากลายเป็นหนึ่งในทีมที่คว้าความสำเร็จมากมายและเป็นทีมระดับแถวหน้าของยุโรป 

ช่วงที่ "เสี่ยหมี" เข้ามาซื้อทีมนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมในชุดปัจจุบันภายใต้เจ้าของใหม่ BlueCo กลุ่มทุนอเมริกัน นำโดย เบห์ดัด เอ็กบาลี และ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ ในแง่ของการซื้อตัวนักเตะเข้ามาเสริมทัพ ... พวกเขามีแนวคิดในการเสริมเป็นของตัวเอง แม้จะแตกต่างในเรื่องของรายละเอียดนักเตะ แต่ปลายทางนั้นเหมือนกัน คือการทุ่มไม่อั้นเพื่อทำให้สโมสรเป็นทีมที่ดีขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้น

ดังนั้นจึงมีนักเตะหลายคนย้ายเข้ามา ค่าตัวแพงมาก-น้อย แล้วแต่ชื่อเสียงคุณภาพของแต่ละคน ซึ่งในยุคของเสี่ยหมี ไม่มีใครจะคุ้มไปกว่า แลมพาร์ด และ ดร็อกบา อีกแล้ว เพราะทั้งคู่คือแกนหลักในเกมรุกของทีมที่มีสถิติการยิงและแอสซิสต์ชนิดนับกันแทบไม่หวาดไม่ไหวตลอดช่วงเวลาที่เล่นให้กับ เชลซี 

แลมพาร์ด นั้นย้ายมาก่อนตั้งแต่ปี 2001 สมัยที่ เคน เบตส์ ยังเป็นเจ้าของทีม ... แต่กลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบเมื่อ เสี่ยหมี นำพา โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาเป็นโค้ช และคิดค้นระบบการเล่นที่เหมาะกับเขาที่สุดในตำแหน่ง 3 กองกลาง ภายใต้ระบบ 4-3-3 

แม้ แลมพาร์ด จะเป็นกองกลางที่โดดเด่นขึ้นในเรื่องของการสอดขึ้นมาทำประตูและการสร้างโอกาสการเข้าทำ แต่เขาก็ยังไม่ได้กำเนิดร่างทองแบบเต็มตัว ขณะที่ตัวของทีม เชลซี ก็ยังไม่ลงล็อกมากนัก จนกระทั่งการมาของกองหน้าชาวไอวอรี่โคสต์ ที่พวกเขาไปดึงตัวมาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย อย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา

ในปี 2004 ดร็อกบา ย้ายมาเพราะ มูรินโญ่ ต้องการกองหน้าในสไตล์ที่ครบเครื่อง รวดเร็ว แข็งแรง และทำประตูได้ ... แต่ในช่วงแรกของ ดร็อกบา กับ เชลซี ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ตัวท็อประดับร่างทองมากนัก ปัญหาคือเขามักจะยิงนกตกปลา พลาดโอกาสำคัญอยู่บ่อย และยิงในลีกได้แค่ 10 ลูกเท่านั้นในซีซั่นแรกกับ เชลซี 

คู่หู แลมพ์ - ดร็อก ใช้เวลาราว 1 ซีซั่นจนเริ่มจูนกันลงตัว วิธีการเล่นของทั้งสองสอดคล้องกันเป็นอย่างมาก ต่างคนจะเป็นฝ่าย ขึ้นหน้า และ ถอยลง ในแต่ละจังหวะอย่างลงตัว หากดร็อกบา ดรอปตัวลงมาเป็นคนพักบอล แลมพาร์ด ก็ขึ้นมาเป็นตัวสอดในการยิงประตู เช่นเดียวกัน เมื่อ ดร็อกบา พุ่งไปข้างหน้าเพื่อหาพื้นที่ บอลสวยจากแนวลึกของ แลมพาร์ด ก็พร้อมทำงานแบบเสิร์ฟถึงเท้าเช่นกัน 

แลมพาร์ด พูดถึงการทำงานกับ ดร็อกบา ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาเยอะมากในฐานะกองกลางตัวยิงประตู เพราะต้องคอยทำงานร่วมกันตลอด ทำให้เขาต้องพยายามคิดให้เหมือนกองหน้าเอง จังหวะนี้ควรจ่ายแบบไหนให้กองหน้ายิงง่าย ๆ หรือบางครั้งการสอดเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายให้ถูกไทมิ่ง เพื่อสร้างโอกาสยิงประตูให้ได้มากที่สุด ... เรื่องนี้ ดร็อกบา เป็นคนสำคัญมากที่มีส่วนกับการเปลี่ยนแปลงของเขาเช่นนี้

"การสื่อสารกับกองหน้าของคุณเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณสามารถทำงานแบบเป็นทีมและสื่อสารกันจนเกิดความเข้าใจในเวลาที่รวดเร็ว คุณจะได้อิสระในการเล่น และทำในสิ่งที่คุณต้องการ ... การเล่นกับ ดร็อกบา ช่วยได้มากจริง ๆ เพราะสำหรับผมเขาคือนักตะที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยลงเล่นด้วย" 

"เมื่อเล่นร่วมกับเขา คุณจำเป็นต้องทำงานเหมือนกับว่าคุณเป็นกองหน้าเอง ผมพยายามคิดว่าตัวเองเป็นกองหน้า สมมติเอาว่ากองหน้าชอบบอลแบบไหน เข้ากรอบเขตโทษอย่างไร หลังจากนั้นก็ไปซ้อมให้หนักเข้าหลังจากที่การซ้อมปกติจบลง"

"สุดท้ายเมื่อลงสนามจริง ผมพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด ผมจะนิ่งเข้าไว้เมื่อได้โอกาสยิงประตู เพราะความนิ่งนี่แหละจะทำให้คุณสามารถเข้าเส้นชัย และเมื่อคุณผ่อนคลายประตูก็จะตามมาเอง" แลมพาร์ด เล่าถึงการยกระดับตัวเองหลังได้เล่นร่วมกับ ดร็อกบา เป็นระยะเวลาหลายปี 

ขณะที่ ดร็อกบา เองก็พูดไม่ต่างกันนัก เพราะเขาก็เป็นกองหน้าที่ดีสมบูรณ์แบบ เล่นได้ทุกแบบทุกสไตล์ไม่ว่าจะเป็นการพักบอล พาบอล เข้าชาร์จในกรอบ หรือแม้กระทั่งชงเองกินเอง ก็เพราะว่ามีการสนับสนุนระดับมองตาก็รู้ใจของ แลมพาร์ด ด้วย 

"ผมเป็นกองหน้าในระบบหน้าเป้าตัวเดียวก็จรง แต่ผมพูดได้เลยว่าแลมพาร์ดนี่แหละคือคู่หูแนวรุกที่ดีที่สุดของผมนับตั้งแต่ผมเล่นฟุตบอลมาเลย ... เราสองคนทำงานหนักทั้งในและนอกสนาม เขาเป็นคนที่หัวไว คิดเห็นอะไรก็สามารถสร้างโอกาสเข้าทำได้ สิ่งหนึ่งที่ยกย่องคือความสม่ำเสมอของเขานี่แหละ ผมว่ามีไม่กี่คนบนโลกนี้หรอกที่ทำได้แบบที่ แลมพาร์ด ทำ" 

แลมพาร์ด ลงเล่นให้กับ เชลซี 648 นัด ยิงไป 211 ประตู ส่วน ดร็อกบา 341 นัดยิงไป 157 ประตู ... ทั้งคู่คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์มากมาย 

 

พาลเมอร์ - แจ็คสัน 

ตัดภาพกลับมาที่ยุคนี้ มันเลี่ยงไม่ได้ที่เริ่มมีการพูดถึงวิธีการเล่นและการทำงานร่วมกันของ โคล พาลเมอร์ และ นิโคลัส แจ็คสัน เพราะพวกเขาก็มีความคล้าย ๆ คู่หู แลมพาร์ด และ ดร็อกบาในหลาย ๆ เรื่อง 

กองกลางตัวรุกชาวอังกฤษที่เป็นจอมยิงประตูและเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างโอกาสหลายรูปแบบ กับกองหน้าสายแข็งแรง ขยันวิ่งหาช่อง เปิดโอกาสให้คนรอบข้างได้เล่นเกมรุกง่ายขึ้นจากเซเนกัล 

แต่แน่นอนว่าถึงจะคล้ายในแง่มุมไหนก็ตาม แต่ความจริงที่ทุกคนยอมรับคือคู่หู พาลเมอร์ - แจ็คสัน ยากที่จะเทียบกับคู่หูในอดีตได้ เพราะเรื่องของการยืนระยะ และการกวาดความสำเร็จทั้งส่วนตัวและกับสโมสร 

ทว่า พวกเขาทั้งคู่ยังอายุน้อยมาก และพวกเขาเริ่มเล่นเข้าขากันมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกคนหนึ่งเปิดช่อง - อีกคนหนึ่งยิง, อีกคนจ่ายคิลเลอร์พาส - อีกคนเข้าไปจบสกอร์ เรียกได้ว่าการสอดประสานของ พาลเมอร์ และ แจ็คสัน ทำให้เริ่มมีการพูดถึงในเชิงที่ว่าพวกเขาอาจจะเป็นคู่หูที่จะนำพาเชลซีกวาดความสำเร็จในยุคของเจ้าของใหม่ชาวอเมริกัน 

มีการเปิดเผยสถิติจาก The Athletic ว่า คู่หู แจ็คสัน - พาลเมอร์ ทำงานร่วมกันในเกมรุกจากจังหวะที่เริ่มต้นตั้งแต่ครึ่งสนาม (ของฝั่งตรงข้าม) ได้มากที่สุด โดยมีการสอดประสาน ในแบบที่คนหนึ่งจ่าย อีกคนหนึ่งได้ง้างยิงในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากที่สุดถึง 29 ครั้งจาก 7 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก แจ็คสัน ยิงไป 4 ประตู และทำไปอีก 3 แอสซิสต์ในลีก ขณะที่ พาลเมอร์ จัดไป 7 ประตูและ 6 แอสซิสต์ในลีก 

สรุปได้ว่าพวกเขามีส่วนในการทำประตูรวมกันถึง 20 ครั้ง และ เชลซี ยิงประตูได้ทั้งหมด 16 ลูก เป็นรอง แมนฯ ซิตี้ ทีมเดียวเท่านั้น (17 ลูก) ... ไม่แปลกนักที่จะบอกว่า พาลเมอร์ และ แจ็คสัน คือคนที่แบกเกมรุกของ สิงห์บลูส์ ในเวลานี้ 

เรารู้ว่ามันจะไม่ดีแน่ถ้าจะบอกสถิติ แต่อย่างน้อยมันก็เป็น Fact ที่น่าสนใจ นั่นคือการจับคู่ของ พาลเมอร์ และ แจ็คสัน ณ ตอนนี้ มีค่าเฉลี่ยในการยิงประตูต่อนาทีได้มากกว่าคู่ของ แลมพาร์ด - ดร็อกบา นับตั้งแต่พวกเขามาอยู่กับทีม (เริ่มนับฤดูกาล 2023-24 จนถึง 7 เกมในซีซั่นนี้) โดยคู่ของ พาลเมอร์ และ แจ็คสัน มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 242 นาที ขณะที่คู่ของ แลมพาร์ด และ ดร็อกบา ที่ทำได้ 1 ลูกในทุก ๆ 323 นาที 

โอเคล่ะ สถิติดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะการพยายามรวบรวมสถิติต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพ "ศักยภาพ" ของคู่หู พาลเมอร์ และ แจ็คสัน ที่พวกเขามีโอกาสจะเดินตามรอยตำนานดูโอ้รุ่นพี่ของทีมอย่าง แลมพาร์ด และ ดร็อกบา ได้

ทั้งคู่ก็รู้เรื่องนี้ดี และต่างฝ่ายก็บอกว่าการได้เล่นร่วมกัน ถือเป็นสิ่งที่ทำให้งานของพวกเขาง่ายขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้พวกเขายังรู้ว่าต่างคนยังมีสิ่งที่ต้องแก้ไขและพัฒนา เพื่อจะถูกยกไปเทียบกับตำนานของทีมก่อนหน้านี้ได้ 

"การทำงานกับ นิโคลัส ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก เขาเป็นนักเตะระดับท็อปแบบไม่ต้องสงสัย แต่ก็ต้องพัฒนาต่อไปอีก ... เขาอาจจะโดนเสียงวิจารณ์รบกวนมาตลอด แต่พวกเรารู้ดีว่าอะไรคืออะไร เราไม่ฟังเสียงเหล่านั้นปล่อยผ่านมันไป เราฟังสิ่งที่โค้ชของเราสอน เพราะเรามีโค้ชที่ดี เขาจะทำให้เราทั้งคู่เป็นนักเตะที่ดีขึ้นแน่นอน" พาลเมอร์ พูดถึงคู่หูของเขา 

ขณะที่ แจ็คสัน ก็พูดไม่ต่างกันว่าการทำงานร่วมกันออกมาดีขึ้นตามลำดับ และเขาพร้อมจะสนับสนุน พาลเมอร์ ช่วยกันพัฒนาต่อไปพร้อม ๆ กัน ... ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ทำร่วมกันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ถึง 1 ปีทั้งคู่ยังเคยเป็นอริถึงขั้นแย่งกันยิงจุดโทษในซีซั่น 2023-24 ภายใต้การทำทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ อยู่เลย

 

ไกลแค่ไหน ... ถึงใกล้ตำนาน

การเป็นตำนานนักเตะของสโมสรนั้นไม่มีทางลัดอื่น สิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกคือ "คุณต้องโชว์ฟอร์มให้ดี" เพราะฟอร์มในสนามคือสารตั้งต้นทุกอย่างของนักฟุตบอลคนหนึ่ง เขาจะเป็นสตาร์ เขาจะเป็นขวัญใจแฟนบอล เขาจะได้ค่าจ้างมหาศาล ทั้งหมดนี้เริ่มจากความเก่งกาจในสนามทั้งสิ้น 

คู่หู แลมพาร์ด - ดร็อกบา นั้นขึ้นหิ้งไปแล้ว และถ้าว่ากันตามตรง มันยากที่จะเอาคู่ของ พาลเมอร์ และ แจ็คสัน ไปเทียบกันตรง ๆ เพื่อหาผู้ชนะแบบนั้นได้ เพราะสิ่งที่คู่หูตำนานทำไว้มันเห็นภาพชัดมากทั้งในเกมและแง่ของถ้วยรางวัล เหนือสิ่งอื่นใดคือศักยภาพของกองหน้าอย่าง ดร็อกบา ที่ต้องบอกตรง ๆ ว่าเหนือกว่าศักยภาพที่ แจ็คสัน มีพอสมควร ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่ แจ็คสัน จะเทียบรอยเท้าของ ดร็อกบา ได้ 

อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นจำเป็นเลยว่าพวกเขาจะต้องเก่งที่สุด จึงจะต้องเล่นร่วมกัน และเป็นคู่หูที่อันตรายได้ พวกเขาสามารถแตกต่างได้ เล่นในสไตล์ที่ตัวเองถนัด และเป็นสไตล์ที่สร้างประโยชน์กับทีมให้ได้มากที่สุด

ตัวของ แจ็คสัน อาจจะไม่ครบเครื่องแต่ก็รวดเร็วแข็งแรง และมีความขยันในการเล่นเกมรับได้ดีมาก เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือของทีมยังออกปากชมเขาเองว่าเป็นนักเตะที่ทำหน้าที่ไล่วิ่งบีบกองหลังคู่แข่งได้ดีมาก ถือเป็นกำแพงด่านแรกในการตั้งรับ ที่ทำให้นักเตะคนอื่นจัดระเบียบเกมรับตามแท็คติกได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์กับโมเดิร์นฟุตบอลที่เล่นเกมรับทั้งทีมได้เป็นอย่างดี 

"ผมรัก พาลเมอร์ และ แจ็คสัน ไม่ใช่เพราะพวกเขายิงประตูหรือสร้างเกมรุกได้เท่านั้น ... การเล่นนอกกรอบประตูของพวกเขาทั้งคู่ทำได้ดีมาก ซึ่งสิ่งนี้สำคัญเพราะถ้าคุณเล่นนอกกรอบได้ดี มันหมายความว่า คุณจะมีโอกาสได้เล่นจังหวะอันตรายในกรอบเขตโทษของคู่แข่งมากขึ้น" มาเรสก้า กล่าว

ฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไป วิธีการเล่นของนักเตะในแต่ละตำแหน่งก็เปลี่ยนไปด้วย ในยุคปัจจุบันกองหน้าที่มีสถิติการยิงประตูได้ ต่อเกมได้ และมีแรงไล่เพรสซิ่งช่วยทีมเล่นเกมรับได้ไม่ใช่เรื่องหางาน แม้การจบสกอร์ของเขาอาจจะเป็นปัญหาในบางช่วงบางตอน แต่แน่นอนว่าเขาก็มีข้อดีอื่น ๆ มาทดแทนให้คุณได้เสมอ และความขยันทั้งไล่บอลและหาช่องเวลาได้บุกของเขานี่แหละที่ทำให้เขาสร้างโอกาสยิงได้มากมาย

ในส่วนของ พาลเมอร์ นั้นชัดเจนแล้วว่าเป็นนักเตะที่มีศักยภาพที่พร้อมจะไปถึงระดับโลกในอนาคต ทั้งในแง่ของความสามารถ คาแร็คเตอร์ และการรับมือกับความกดดัน ยิ่งเมื่อเขาได้เล่นคู่กับคนที่แข็งแรง ขยัน และสร้างพื้นที่ให้กับเขาเพิ่มขั้นทั้งการเคลื่อนที่ และการจ่ายบอล งานของเขาก็ง่ายขึ้น ซึ่งเราต้องยอมรับว่าทั้งคู่ทำงานกันได้อย่างสอดคล้องจริง ๆ 

ส่วนจะเทียบชั้น แลมพาร์ด และ ดร็อกบา ได้ไหม เรื่องนี้ยากที่จะตอบชัด ๆ เพราะเส้นทางของทั้งคู่ยังอีกไกล ... ในความว่า "ตอบไม่ได้" ไม่ใช่เพราะพวกเขาอาจจะไม่มีวันเทียบได้ เพราะในอีกมุมคือพวกเขาก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าก็ได้ เพราะนี่คือเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครมองเห็น

แต่ที่แน่ ๆ ในตอนนี้ เชลซี ขาดพวกเขาไมได้ เหมือนกับที่ยุคก่อน ๆ ขาด แลมพาร์ด กับ ดร็อกบา ไม่ได้ เท่านั้นก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการวิ่งวัดรอยเท้าตำนานของ โคล พาลเมอร์ และ นิโคลัส แจ็คสัน อย่างแท้จริง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/Didier_Drogba
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-6417855/Frank-Lampard-former-team-mates-hail-Chelsea-legend-Didier-Drogba.html
https://www.reddit.com/r/soccer/comments/kbhfdi/didier_drogba_frank_lampard_is_my_best_partner_on/
https://www.goal.com/en/news/didier-drogba-frank-lampard-was-right-to-deny-me-chelseas/bltf1dde812512c92dc
https://chelsea.news/2024/09/cole-palmer-heaps-praise-on-32m-chelsea-star/
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/chelsea-penalty-nicolas-jackson-palmer-32602702
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cevyennjx1dohttps://www.nytimes.com/athletic/5790511/2024/09/25/cole-palmer-nicolas-jackson-chelsea-analysis/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา