Feature

บอสใหญ่แห่งเรดบูล : เบื้องหลังงานใหม่ที่อาจทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีคนรักน้อยลง | Main Stand

"เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่พวกเรารู้จักได้ขายศักดิ์ศรีกินไปแล้ว" นี่คือหนึ่งในคอมเมนต์จากแฟน ๆ ของเขา ที่พูดถึงงานชิ้นใหม่ ตำแหน่งป้ายแดงที่อดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล ได้รับ

 


ชื่อตำแหน่งของเขาเต็ม ๆ คือ "Global Head of Soccer at Red Bull" …  ตำแหน่งนี้ หน้าที่ของมันคืออะไร และทำไมแค่งานตำแหน่งหนึ่งบนโลกนี้ กลับทำให้โค้ชที่แฟนบอลรักมากที่สุดคนหนึ่ง เริ่มถูกเกลียดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มงานด้วยซ้ำ

ไล่ไปทีละข้อ ตอบไปทีละประเด็นที่นี่กับ Main Stand 

 

กำเนิดอาณาจักร "เรดบูล ฟุตบอล" 

ต้นตำรับของ เรดบูล เครื่องดื่มชูกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยภายใต้แบรนด์ กระทิงแดง ก่อนที่ในปี 1984 ดีทริตช์ มาเตชิตซ์ นักธุรกิจชาวออสเตรีย จะเกิดอาการตาสว่าง หลังได้ลิ้มลองรสชาติของกระทิงในตอนที่เขามาเมืองไทย และพบว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้เขาลดปัญหาอาการเจ็ตแล็ก (ปรับตัวกับไทม์โซนของแต่ละประเทศ) ได้อย่างยอดเยี่ยม 

มาเตสชิตซ์ จึงขอซื้อลิขสิทธิ์จากกระทิงแดงมารีแบรนด์ใหม่ ปรับสูตรให้เข้าลิ้น ปรับโลโก้เล็กน้อย และนำมาขายในโลกตะวันตก จนกลายเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และเป็นเครื่องดื่มแบบที่ฝรั่งเรียกว่า "เอเนอร์จี้ ดริงค์" ที่ทำยอดขายมากที่สุดในโลกได้สำเร็จ

พวกเขาทำแบรนด์ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ด้วยหลากหลายเหตุผล แต่ที่แน่ ๆ คือการเข้ามาทำสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ด้วยการจับกีฬาเอ็กซ์ตรีม และมอเตอร์สปอร์ต จนโด่งดังไปพร้อม ๆ กัน และกลายเป็นว่าเมื่อผู้คนนึกถึงสองกีฬานี้เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะนึกถึงเรดบูลคู่กันไปด้วย

ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้กลุ่มทุนเรดบูลคิดจะไปให้ไกลขึ้นด้วยการจับวงการกีฬาที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกนั่นคือ "ฟุตบอล" โดยเริ่มจากสโมสรในประเทศออสเตรียเป็นอันดับแรก และทีมแรกที่พวกเขาจ่ายเงินซื้อคือสโมสร ออสเตรีย ซัลซ์บวร์ก ในปี 2005 พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น เรดบูล ซัลซ์บวร์ก 

กลุ่มทุนเรดบูลปฏิวัติทีม ... พูดแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก หลังจากซื้อทีมสำเร็จ พวกเขาปลดผู้บริหารเดิมออกหมดยกชุด และทำให้บริษัท เรดบูล มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว แถมยังประกาศว่า "นี่คือสโมสรใหม่ และสโมสรนี้ไม่เคยมีประวัติศาสตร์" ทั้ง ๆ ที่ความจริงสโมสร ออสเตรีย ซัลซ์บวร์ก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1933 แล้ว

แน่นอนว่าแฟนบอลท้องถิ่นไม่เคยพอใจที่อยู่ดี ๆ ทีมของพวกเขาก็กลายไปเป็นอีกทีมที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กัน ฟุตบอลออสเตรียไม่ได้เป็นข่าวใหญ่บนหน้าข่าวกีฬาของโลกอยู่แล้ว ดังนั้นความไม่พอใจของแฟน ๆ ที่นั่นจึงไม่ได้ถูกนำเสนอมากนัก ซึ่งอันที่จริงแล้วมีกลุ่มแฟนบอลพันธ์แท้ที่ดวลเดือด ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้บริหารใหม่ มีการประท้วงกันนานถึง 5 เดือน ซึ่งสุดท้ายเจ้าของใหม่ก็ไม่ยอมถอย และนั่นทำให้กลุ่มแฟนบอลดังกล่าวที่ชื่อว่า "ไวโอเล็ต" (มาจากสีเดิมของสโมสร) เลือกออกมาก่อตั้งสโมสรกันใหม่โดยคงประวัติศาสตร์เดิมเอาไว้ ภายใต้ชื่อ ออสเตรีย ซัลซ์บวร์ก ชื่อเดิมของพวกเขา

แม้คนบ้านเราจะไม่ค่อยทราบข่าวเรื่องนี้ แต่สำหรับกลุ่มแฟนคลับทีมฟุตบอลที่เป็นประเภทเดนตาย เชียร์กันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษแทบจะทั่วยุโรปตั้งตัวเป็นศัตรูกับกลุ่มทุน เรดบูล ตั้งแต่วันนั้น พวกเขาคิดเสมอว่านี่คือการขโมยความภาคภูมิใจ และใช้เงินซื้อประวัติศาสตร์ นั่นคือสิ่งที่กลุ่มแฟนคลับหลายสโมสรในยุโรปยกให้ เรดบูล เป็นธงแดงของพวกเขาตั้งแต่วันนั้น 

ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกันเพิ่ม พวกเราทุกคนรู้ดี แม้ เรดบูล จะถูกมองเป็นผู้ร้าย แต่ใด ๆ คือพวกเขามีบุคลากรที่แข็งแกร่ง เก่งและรู้จริงในการทำให้ทีมไต่จากล่างขึ้นบนภายในเวลาอันรวดเร็ว เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขามีศักยภาพทางการเงินที่จะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นได้ราวกับพลิกฝ่ามือ 

จาก เรดบูล ซัลซ์บวร์ก ในปี 2005 ... 4 ปีต่อมาก็กลายเป็น เรดบูล ไลป์ซิก ซึ่งกว่าจะเป็น ไลป์ซิก ได้แบบทุกวันนี้ พวกเขาถูกต่อต้านมานับครั้งไม่ถ้วน เริ่มด้วยพยายามซื้อทีมท้องถิ่นในเมือง ไลป์ซิก แต่ก็โดนประท้วง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายทีมที่กลุ่มทุนเรดบูลพยายามจะซื้อแต่ก็ไม่ได้มาครองเพราะการประท้วง และการโหวตคว่ำมติจากผู้ถือหุ้นของสโมสร อาทิ ซังต์ เพาลี และ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ 

ล้มกี่ครั้ง พวกเขาไม่ได้สนใจนัก และมองว่าเป้าหมายของตัวเองชัดเจนมากพอที่จะเดินหน้าทำในสิ่งที่เชื่อมั่นต่อไป สุดท้ายพวกเขาก็ทำในสิ่งที่วงการฟุตบอลเยอรมันเกลียดที่สุด นั่นคือการใช้ระบบทุนนิยม ไม่สนใจแฟนบอลท้องถิ่น ด้วยการซื้อคลับไลเซนซิ่งจากสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อว่า เอสเอสเฟา มาร์ครานสตัดต์ ด้วยราคา 350,000 ยูโร 

ปกติแล้ววงการฟุตบอลเยอรมันจะไม่ยอมอะไรแบบนี้ เพราะพวกเขามีกฎ 50+1 ที่ทำให้แฟนบอล (ผู้ซื้อหุ้นและเป็นสมาชิกสโมสร) เป็นหุ้นส่วนใหญ่ มีสิทธิ์ตัดสินใจเด็ดขาด แต่ เรดบูล ก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ พวกเขาทำการซ้อนแผนด้วยการซื้อหุ้นจากแฟน ๆ อีก 51% แบบไม่เปิดเผยตัวตน และท้ายที่สุด พวกเขาก็มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ 100% ตามที่พวกเขาต้องการ 

และแม้ เดเอฟเบ หรือ สหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน จะสั่งห้ามใช้ชื่อสินค้าอยู่ในชื่อสโมสร (ยกเว้นให้เฉพาะ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทีมเดียว เพราะก่อตั้งจากกลุ่มพนักงานของบริษัทผลิตยา ไบเออร์) แต่ เรดบูล ก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้

อักษรแรกของชื่อ Red Bull คือ RB ก็ตั้งชื่อว่า แอร์เบ (RB) ย่อมาจากคำว่า ราเซนบอลสปอร์ต (RasenBallsport) ที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "กีฬาที่เล่นลูกบอลบนพื้น" … เท่านี้ก็เรียบร้อย

นี่คือการทำลายขนบธรรมเนียมฟุตบอลเยอรมันอย่างจังเบอร์ แฟนบอลทุกสโมสรในเยอรมันร่วมกันต่อต้านสโมสร แอร์เบ ไลป์ซิก และแน่นอนว่าสโมสรแห่งนี้ถูกโหวตให้เป็นสโมสรที่คนเกลียดมากที่สุดในประเทศ เช่นเดียวกับเจ้าของอย่างแบรนด์เรดบูลด้วย 

 

เกลียดแล้วยังไง ?

เรดบูล เดินหน้าไปต่อ พวกเขาพาซัลซ์บวร์กขึ้นมาเป็นทีมอันดับ 1 ของออสเตรีย พวกเขานำ ไลป์ซิก มาเป็นทีมแถวหน้าของเยอรมัน และพวกเขายังมีทีมที่ตัวเองเป็นเจ้าของอีก อย่าง นิวยอร์ก เรดบูลส์ ในสหรัฐอเมริกา ที่เทคโอเวอร์ นิวยอร์ก นิวเจอร์ซี่ย์ เมโทรสตาร์ส มาเมื่อปี 2006 และ เรดบูล บรากันติโน ในบราซิล หลังเทคโอเวอร์ คลับ อัตเลติโก บรากันติโน เมื่อปี 2020

เหตุผลที่พวกเขาทำแบบนั้นได้ก็เพราะพวกเขามีแผนการทำงานที่ชัดเจน ต่อให้ใครมากมายจะเกลียด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยคือแผนการของพวกเขาจับต้องและพัฒนาได้จริง พวกเขาแข็งแกร่งจากโครงสร้าง และใช้คนที่เชี่ยวชาญเรื่องฟุตบอลมาทำงานตรงนี้จริง ๆ และคนที่มีส่วนสำคัญมากก็คือ ราล์ฟ รังนิก ผู้รับตำแหน่ง "Global Head of Soccer at Red Bull" หรือ หัวหน้าฝ่ายกีฬาฟุตบอล 
 
หน้าที่หลัก ๆ คือกำหนดวิธีการเล่น สร้างปรัชญาให้กับสโมสร วางแนวทางในการซื้อนักเตะที่อายุน้อย เล่นฟุตบอลด้วยสไตล์ที่เข้มข้นรวดเร็ว ใช้พลังงานเยอะ สร้างนักเตะชั้นดี และขายทำกำไรเมื่อได้ข้อเสนอในราคาที่เหมาะสม ... ทำต่อไปเรื่อย ๆ เช่นนี้

สโมสรในเครือของ เรดบูล ใช้วิธีการนี้เหมือนกันทั้งหมดจากที่รังนิกคิดค้นขึ้นมา และแน่นอนว่ามันได้ผลจริง ๆ พวกเขาสร้างดาวรุ่งชั้นยอด และขายทำกำไรเป็นสิบ ๆ เท่ามามากมายหลายคน อีกทั้งยังมีการส่งต่อนักเตะจากทีมหนึ่งไปยังอีกทีมหนึ่ง ไล่ระดับขึ้นไปตามความเหมาะสม ... แนวคิดทั้งหมดถูกตัดทอนให้เข้าใจง่ายด้วยปรัชญา 3 ข้อประจำอณาจักรฟุตบอลของ เรดบูล นั่นคือ Kapital , Konzept และ Kompetenz หรือที่แปลว่า เงิน, แนวคิด และความสามารถ

จากปรัชญาที่กล่าวมา ความสำเร็จ และการพัฒนาธุรกิจฟุตบอลของ เรดบูล เกิดขึ้นแบบเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากพวกเขาเป็นสโมสรธรรมดา ๆ สโมสรหนึ่ง คำชมมันคงเกิดขึ้นมากมาย แต่บังเอิญว่าพวกเขาประกาศตัวเป็นทีมแบบทุนนิยมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ดังนั้นเสียงต่อต้านยังคงเกิดขึ้นเสมอมาจนถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกันกับ ราล์ฟ รังนิก เขาได้รับคำชมจากแนวคิดและวิธีการที่สร้างฟุตบอลในแบบฉบับเรดบูลขึ้นมา แต่เขาก็ถูกมองในแง่ลบเช่นกัน เพราะเขาทำให้ตัวร้ายของเรื่องนี้ (ในมุมมองของแฟนฟุตบอลทีมอื่น ๆ) เก่งกาจ แข็งแกร่งขึ้น

และบังเอิญว่าตำแหน่ง "จอมทัพของตัวร้าย" กำลังจะกลายเป็นของอดีตกุนซือที่ถูกจดจำในเรื่องของหัวใจและแพชชั่นมากที่สุดในโลกของฟุตบอล นั่นคือ "เยอร์เก้น คล็อปป์" ... และทันทีที่ คล็อปป์ ประกาศรับงาน เขาก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่า สิ่งรอบตัวของเขากำลังเปลี่ยนไป 

 

คนที่โลกฟุตบอลรัก กับโครงสร้างที่โลกฟุตบอลต่อต้าน 

คล็อปป์ รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฟุตบอลระดับโลก (Global Head of Soccer) ของ เรดบูล หน้าที่ความรับผิดชอบไม่ต่างกับตอนที่ ราล์ฟ รังนิก เคยทำ นั่นคือ ให้คำแนะนำเรื่องการฝึกสอน, ปรัชญาการเล่น, การพัฒนา, การซื้อขายผู้เล่น และการตัดสินใจเลือกเฮดโค้ช  

สิ่งที่ คล็อปป์ ทำ เหมือนกับการหักอกแฟนบอลหลาย ๆ คนอย่างแรง โดยเฉพาะแฟนบอลที่ประเทศเยอรมัน และทีมเก่าของอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพราะอย่างที่รู้กัน ดอร์ทมุนด์ คือสโมสรที่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น และแฟนบอลมาเสมอ ซึ่งแนวคิดเรื่องดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่สะท้อนผ่านตัวตนของ คล็อปป์ เช่นกัน 

ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2022 คล็อปป์ เองก็เป็นคนที่เคยวิจารณ์แนวทางของกลุ่มเรดบูลว่า "ผมรู้ว่าแนวคิดของ Red Bull ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มอนุรักษ์นิยมมากเพียงใด และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย" ... แต่กลายเป็นว่า เขากำลังมีส่วนร่วมกับแบรนด์ที่เขาเคยติติงแล้ว

คอนสแตนติน เอ็คเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญฟุตบอลเยอรมัน ให้สัมภาษณ์กับ talkSPORT ถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของ คล็อปป์ ครั้งนี้ว่า 

"สื่อมวลชนและแฟนบอลต่างคิดว่า คล็อปป์ได้ทำลายมรดกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้ว ... แม้จะไม่ใช่ประเด็นร้อนหรือข่าวใหญ่ในอังกฤษ แต่จำไว้ให้ดีว่าเมื่อพวกเขา (เรดบูล) เข้ามาในโลกของฟุตบอล พวกเขาเข้าเทคโอเวอร์สโมสรในดิวิชั่น 6 และให้เงินทุนแก่ไลป์ซิกเพื่อก้าวขึ้นสู่บุนเดสลีกา โดยไม่สนใจว่าแฟนบอลท้องถิ่นจะมีความคิดเห็นอย่างไร"

"เรดบูล คือกลุ่มทุนที่ถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงกฎ 50+1 ซึ่งถือเป็นกฎที่วงการฟุตบอลเยอรมันยึดถือและอนุรักษ์มันมาหลายชั่วอายุคน มันเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก"

"ไม่มีใครลืมแน่ ๆ ว่าเขาเป็นเฮดโค้ชของ ไมนซ์ และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งทั้ง 2 สโมสรวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นปฏิปักษ์กับสโมสรอย่างไลป์ซิก และฮอฟเฟ่นไฮม์ โดยตรงแบบไร้ข้อแม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งแฟนบอลดอร์ทมุนด์ ที่เกลียดไลป์ซิก และกลุ่มทุนเรดบูลเข้าไส้ พวกเขาจึงโกรธและโมโหที่เห็นคนที่พวกเขารัก กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พวกเขาเกลียด" 

คล็อปป์ จะเริ่มงานใหม่ของเขาในอีก 3 เดือน (วันที่ 1 มกราคม 2025) ตัวของเขาออกมาให้สัมภาษณ์ กล่าวยกย่องระบบการทำงานของ เรดบูล และตื่นเต้นที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งประโยคดังกล่าวยิ่งทำให้ใครหลายคนปรี๊ดขึ้นไปอีก จนเป็นที่มาของคอมเมนต์เชิงลบมากมายบนโซเชี่ยลมีเดีย 

นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ คล็อปป์ จะต้องเจอ ... อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดและตัดสินใจในแบบของตัวเอง ในมุมของคล็อปป์ก็เช่นกัน เขาคือคนที่บอกมาเสมอว่าเหนื่อยกับการคุมทีมฟุตบอลในฐานะเฮดโค้ช และในแง่ของธุรกิจ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตำแหน่งที่ คล็อปป์ กำลังจะทำกับ เรดบูล ก็ถือเป็นตำแหน่งที่ท้าทาย น่าตื่นเต้น และเขาจะได้ใช้ศักยภาพที่ตัวเองมีอย่างเต็มที่ หากใครไม่เข้าใจหรือไม่พอใจนั่นคือปัญหาของคนอื่น ไม่ใช่ปัญหาของ คล็อปป์ แต่อย่างใด 

ความจริงคือโลกฟุตบอลในเวลานี้มันเป็นทุนนิยมไปหมดแล้ว แม้ลีกเยอรมันจะมีแนวคิดและความเชื่อในแบบของตัวเอง แต่โลกมันเป็นเช่นนั้น ปลาใหญ่กินปลาเล็กเสมอ ... ทุกคนล้วนต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง และถ้าหากคุณไม่เข้าใจหรือเกลียด เยอร์เก้น คล็อปป์ ในสิ่งที่เขาเลือก ก็คงต้องย้ำอีกทีว่า "มันคือปัญหาของคุณ" เพราะมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ 

คล็อปป์ ตัดสินใจรับงานนี้แล้ว และสิ่งที่ทุกคนมั่นใจได้เลยก็คือ งานใดที่คล็อปป์รับผิดชอบ เขาจะทำมันอย่างเต็มความสามารถอย่างแน่นอน ต่อให้ใครจะเกลียดเขา แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า อาณาจักรฟุตบอลของเรดบูล ในยุคของ คล็อปป์ นั้น น่าสนใจและน่าติดตามอย่างแท้จริง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.forbes.com/sites/jamesayles/2020/01/14/from-cliff-diving-to-formula-one-and-football-how-red-bull-built-a-world-class-sporting-empire/
https://www.linkedin.com/pulse/how-red-bull-have-taken-sponsorship-football-another-level-wraith
https://www.sportbible.com/football/football-news/liverpool/jurgen-klopp-liverpool-contract-clause-red-bull-449046-20241009?
https://www.goal.com/en-in/lists/dead-to-me-borussia-dortmund-fans-turn-jurgen-klopp-ex-liverpool-boss-destroys-legacy-red-bull-move/blt16ff55c436330585#cs71f0202bff8f1dae
https://www.gq.com/story/red-bull-soccer-net-gains-excerpt

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ