Feature

ฟาวเลอร์ - แม็คก้า : ดูโอ้ "สไปซ์ บอยส์" กับข้อแม้ที่เก่งได้และเท่ด้วย | Main Stand

ยุค 1990s มีวงดนตรีเกิร์ลกรุ๊ปจากอังกฤษที่ไปดังในระดับโลกอย่าง “สไปซ์ เกิร์ลส์” 

 


วงการฟุตบอลก็ถือกำเนิดกลุ่มดาวรุ่งที่มีไลฟ์สไตล์นอกสนามสุดจี๊ดและคาแร็คเตอร์สุดเท่จากฝั่ง ลิเวอร์พูล อย่าง “สไปซ์ บอยส์”

และ 2 ตัวท็อปของยุคอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กับ สตีฟ แม็คมานามาน คือ 2 สไปซ์ บอยส์ ที่แม้จะโดนแซวบนหน้าสื่อมากแค่ไหน แต่เมื่อลงสนามพวกเขาก็จี๊ดจนใครหยุดไม่ได้เช่นกัน 

 

—————————————————-

ใครสนใจอยากเจอ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กับ สตีฟ แม็คมานามาน ตัวเป็น ๆ ไปเจอกันใน  

⚡ศึกตำนานแดงเดือด Battle of The Reds Thailand 2024⚡

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2567 เวลาเปิดประตู 10.00น. เริ่มเตะ 18.30น.
📍สถานที่ : สนามศุภชลาศัย

จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้

ช่องทางการซื้อตั๋วเข้าชม : bit.ly/BattleofTheRedsThailand2024
หรือ ซื้อได้ที่ 7 -11 ทุกสาขา

รายละเอียดเพิ่มเติม:
FB : https://www.facebook.com/BattleofTheRedsThailand2024/
IG : https://www.instagram.com/battleoftheredsthailand2024/
Tiktok : https://www.tiktok.com/@battleoftheredsthailand

และยิ่งกว่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจ กิจกรรม Meet & Greet กับเหล่าตำนาน
สามารถแอดไลน์ได้ที่ @iamlegend & https://lin.ee/o54pI6Ud เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย

งานนี้แฟนหงส์แดง และ ปีศาจแดง ที่อยากเจอตำนานของทีมตัวเป็น ๆ สักครั้ง พลาดไม่ได้ เพราะนี่คือการรวมตัวของตำนานแดงเดือดที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 30 ชีวิตด้วยกัน

—————————————————-

 

สไตล์ฟุตบอลสะท้อนยุคสมัย 

ย้อนกลับไปช่วงกลางยุค 1990s ถือว่าเป็นยุคที่วงการฟุตบอลอังกฤษเริ่มมีความเป็นทุนนิยมสูงขึ้น เรื่องผลการแข่งขันไม่ใช่สิ่งเดียวที่หลายทีมเน้น พวกเขาเริ่มให้ความสำคัญกับการตลาด ภาพลักษณ์ และการสร้างคาแร็คเตอร์

มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นที่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของฟุตบอลอังกฤษ 1. คือนักเตะต่างชาติหลายคนเริ่มเข้ามาสร้างสีสันให้ลีก และ 2. คือนักเตะแต่ละคนเริ่มมีความเป็นสตาร์มากขึ้นกว่าเคย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นการก้าวขึ้นมาของ เดวิด เบ็คแฮม ที่หล่อ เท่ และมีออร่าของคนดังมากกว่านักเตะยุคก่อน ๆ อย่างสิ้นเชิง ส่วนนักเตะคนอื่น ๆ ก็นำพาสีสันมาประดับวงการมากขึ้น 

เมื่อฟุตบอลยุคใหม่เข้ามาพร้อมกับนักเตะต่างชาติ สิ่งที่ตามมาคือเทคนิคที่ใช้ในสนาม และสไตล์ที่ไม่เหมือนกับนักเตะท้องถิ่น เอริค คันโตน่า ฉูดฉาดด้วยการแต่งตัว เสื้อคอปกตั้ง, จานฟรังโก้ โซล่า กับ ดาวิด ชิโลน่า เป็นไอ้หนุ่มผมยาวสลวย หรือแม้แต่กระทั่ง ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ ที่เป็นแบดบอยหัวขาวไม่สนโลก ซึ่งอิทธิพลเหล่านี้ส่งผลถึงผู้เล่นท้องถิ่นที่เติบโตขึ้นมา

นอกจากเบ็คแฮมที่ว่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็มีกลุ่มนักเตะที่เท่กันเป็นหมู่คณะ เท่ระเบิดทุกครั้งในการปรากฎตัว นั่นก็คือกลุ่มดาวรุ่งของ ลิเวอร์พูล ที่นำทีมโดย เจมี่ เร้ดแน็ปป์, ฟิล บ๊าบบ์, เจสัน แม็คเอเทียร์, เดวิด เจมส์, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, สแตน คอลลีมอร์ และ สตีฟ แม็คมานามาน ที่ถูกเอาไปเทียบกับสุดยอดวงดนตรีเกิร์ลกรุ๊ปแห่งยุค 90s อย่าง Spice Girls ซึ่งพวกเขาทั้งหมดจากแก๊งหงส์แดงถูกสื่ออังกฤษเรียกว่า Spice Boys  

กลุ่มแข้งวัยรุ่นเหล่านี้ถูกจับตามองในฐานะนักเตะที่จะผลัดใบขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ ที่เคยนำทีมคว้าแชมป์ลีกเมื่อปี 1990 และกำลังเข้าสู่ยุคโรยรา อย่าง เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ ... ซึ่งนักเตะ 2 คนที่มีแวว และมีผลงานโดดเด่นจับต้องได้ที่สุด คือกองหน้าดาวรุ่งอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และปีกจอมเลื้อยอย่าง "แม็คก้า" สตีฟ แม็คมานานมาน 

 

นักบอล-ดารา 

สไปซ์ บอยส์ เปรียบเสมือนบอยแบนด์ในวงการฟุตบอล และการเป็นเซเลบริตี้ หรือ "เซเล็บ" นั้นมันหมายความว่า โลกอยากจะรู้ข่าวของคุณเสมอ ไม่ว่าข่าวเหล่านั้นจะเป็นข่าวดีหรือข่าวแย่ ๆ ก็ตาม 

ถ้า สไปซ์ เกิร์ลส์ โดนขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวในชีวิต โดนหยิบข่าวที่ไม่เป็นเรื่องมาล้อ มาแซวเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เช่นการเดินสะดุดพรมแดง หรือการทำแก้วน้ำตกแตกที่เป็นธรรมดาของมนุษย์ ... สไปซ์ บอยส์ ก็โดนหยิบทุกเรื่องมาล้อมาแซว และนำเสนอบนหน้าหนึ่งเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องในสนามหรือนอกสนามก็ตาม 

เหตุผลก็อย่างที่บอกข้างต้น กลุ่ม สไปซ์ บอยส์ อยู่ในยุคที่ใคร ๆ ก็ดูพรีเมียร์ลีก และความเท่ของพวกเขาเองก็ส่งผลให้แต่ละคนมีเรื่องราวนอกสนามให้สื่อได้รายงานเสมอ 

มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับเหล่าดาวรุ่งชุดนั้น เช่น เจมส์ โดดซ้อมกับทีมเพื่อไปเป็นพรีเซนเตอร์นาฬิกา อาร์มานี่ ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ต่อยกับรุ่นพี่อย่าง นีล รัดด็อก บนเครื่องบินจนถึงขึ้นหยิบกรรไกรมาแทงกัน, เจสัน แม็คเอเทียร์ สำอางจากการล้างและเช็ดผมจนได้เป็นพรีเซนเตอร์ของเจลยี่ห้อ Wash and Go เป็นต้น

พวกเขาไม่ใช่แค่นักฟุตบอลอีกต่อไป สไปซ์ บอยส์ เปรียบได้กับดารา เพราะบ่อยครั้งที่พวกเขาจะได้ออกข่าวหน้าหนึ่งในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับฟุตบอล หรือแม้แต่บางครั้งก็ไปรายการบันเทิงเต็มตัว แถม สไปซ์ บอยส์ ดังจนถึงขนาดที่ว่ามีการเขียนข่าวลือถึงพวกเขาเพื่อขายข่าวในหมู่สื่อกันเลยทีเดียว

แม้จะดังและเป็นข่าวมากขนาดไหน แต่อาชีพหลักของพวกเขาคือนักฟุตบอล ถ้าเหล่า สไปซ์ บอยส์ โชว์ผลงานได้ดีซะอย่างคงไม่มีปัญหาอะไร ทว่าผลงานของลิเวอร์พูลในยุคเปลี่ยนถ่ายตอนนั้นไม่ได้ดีอย่างที่แฟนบอลหวัง

อย่างที่บอกไว้ในข้างต้น นอกจากความเท่แล้ว ดูเหมือนว่า สไปซ์ บอยส์ คนอื่น ๆ จะมีปัญหาจนโดนล้อเรื่องฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวา หรือเดี๋ยวดีเดี๋ยวเพี้ยนบ้าง รายของ เดวิด เจมส์ กับ ฟิล บ๊าบบ์ โดนหนักสุดเพราะมีจังหวะพลาดให้เห็นประจำ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มระดับกลาง ๆ อย่าง เจสัน แม็คเอเทียร์ และ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ 

มีเพียงคนที่ถือได้ว่าเป็น 2 หัวหอกแห่งสไปซ์ บอยส์ อย่าง ฟาวเลอร์ และ แม็คมานามาน ที่แตกต่างจากทุก ๆ คน พวกเขาสองคนคือผลผลิตจากทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล เอง และเมื่อขึ้นชุดใหญ่ ก็ต้องบอกว่าพวกเขาทั้งคู่ปรับตัวและเปลี่ยนจากดาวรุ่งกลายเป็น เดอะ แบก ของทีมแทบจะในทันทีเลยด้วย 

2 เด็กนรกสู่ตัวแบกหงส์แดง

ฟาวเลอร์ และ แม็คก้า ลงเล่นในทีมเดียวกัน 264 นัด แม้จะดูไม่ยาวนานมากนัก แต่ทั้งคู่ถือว่าเป็นขวัญใจของแฟนบอลยุคนั้นอย่างแท้จริง

ฟาวเลอร์ เป็นกองหน้าตัวเล็กที่เล่นได้ทั้ง 2 แบบ ไม่ว่าจะเป็นกองหน้าเบอร์ 9 หรือกองหน้าตัวต่ำ จุดเด่นอาจจะไม่ได้อยู่ที่ความเร็วระดับนรกแตกเหมือน ไมเคิล โอเว่น แต่เรื่องสัญชาตญาณนั้น ฟาวเลอร์ มีอยู่เต็ม 100% 

จังหวะยิงด้วยเท้าซ้ายของ ฟาวเลอร์ นั้นเชื่อขนมกินได้สบาย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยิงแบบเข้าชาร์จ การหาพื้นที่ยิงนอกกรอบเขตโทษ หรือการหลุดเดี่ยว เท้าซ้ายของ ฟาวเลอร์ ถือเป็นหนึ่งในที่สุดแห่งยุค 1990s เลยก็ว่าได้

ส่วน แม็คก้า เป็นปีกริมเส้นในสไตล์อังกฤษยุค 1990s แบบจ๋า ๆ แม้จะไม่ได้ตัวเล็กคล่องแคล่วเร็วจี๊ดเหมือน ไรอัน กิ๊กส์ แต่ แม็คก้า นั้นมีจังหวะจะโคนในการเล่น การเลี้ยงบอลของเขาจัดอยู่ในระดับที่ได้แล้วแย่งยาก แถมยังมีทีเด็ดในเรื่องการยิงไกลและการสอดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษด้วย

ทั้ง 2 คนนี้สนิทกันมาก ซี้กันมาตั้งแต่สมัยเล่นอยู่ในระดับเยาวชน พวกเขาจึงมีความเข้าขา รู้ใจเป็นอย่างมาก เพราะตำแหน่งในสนามของทั้งคู่ล้วนเป็นตำแหน่งที่ต้องมีการเชื่อมโยงกันโดยตรง ซึ่งถ้าใครยังไม่เห็นภาพ ให้ลองเข้าไปดูคลิปวีดีโอการยิงประตูเก่า ๆ ในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล ของทั้ง 2 คน คุณจะพบว่าประตูของ ฟาวเลอร์ มักจะมี แม็คก้า เป็นส่วนประกอบในจังหวะนั้น ๆ เสมอ 

เช่นเดียวกันกับประตูที่ แม็คก้า ยิงได้ ฟาวเลอร์ ก็มักจะเป็นคนที่พักบอลแล้วแทงทะลุช่องให้เขาหลุดเข้าไปยิง หรือไม่ก็มีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นการแอสซิสต์ให้ตรง ๆ หรือการเล่นรู้ใจกันเช่นการข้ามบอลหลอก หรือวิ่งทำทางดึงตัวประกบให้เสมอ 

แม้ในช่วงยุค 1990s จะถือเป็นช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล อยู่ในยุคตกต่ำ แต่อย่างน้อย ฟาวเลอร์ กับ แม็คก้า ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากในการคว้าถ้วยแชมป์ 2 รายการได้แก่ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1991-92 และ ลีก คัพ ในฤดูกาล 1994-95 

โดยเฉพาะในลีกคัพซีซั่นดังกล่าว ที่ลิเวอร์พูลเข้าไปชิงชนะเลิศกับ โบลตัน และชนะ 2-1 นั้น แฟนบอลถึงกับมีชื่อเรียกนัดชิงนัดนี้โดยเฉพาะว่า "แม็คก้า ไฟนัล" หรือ "นัดชิงชนะเลิศของแม็คก้า" เลยทีเดียว เนื่องจากเขาพาบอลตะบึงไปทั่วสนามแบบไม่มีใครหยุดได้ แถมยังเป็นผู้ยิงประตูได้ด้วย

จบเกมก่อนรับถ้วยแชมป์ ตำนานปีกทีมชาติอังกฤษอย่าง เซอร์ สแตนลี่ย์ แมทธิวส์ ยังถึงขั้นพูดกับ แม็คก้า ว่า "ผมชอบวิธีการเลี้ยงบอลของคุณมาก และผมพูดได้เลยว่า การเห็นแม็คมานามานเล่น มันยิ่งทำให้ผมเห็นตัวเอง ผมหวังว่าวงการฟุตบอลอังกฤษจะมีปีกแบบเขาเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ" 

 

ลิเวอร์พูลอยู่ในดวงใจเสมอ 

แม้ทั้งคู่จะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายนักกับ ลิเวอร์พูล แต่ความเป็นสเกาเซอร์ของ ฟาวเลอร์ และ แม็คก้า ต้องบอกว่าคำไหนคำนั้น และ ลิเวอร์พูล เป็นอันดับ 1 ในดวงใจของพวกเขาเสมอ 

โดยเฉพาะฝั่ง แม็คก้า ที่ย้ายออกในปี 1999 ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด แบบไม่มีค่าตัวตามกฎบอสแมนนั้นยิ่งชัด เพราะตัวของเขาถือว่าเป็นนักเตะที่โดนแฟนบอลสาปส่งตอนจะย้ายออก เรียกได้ว่า "รักมาก เจ็บมาก" ก็คงไม่ผิดนัก 

แม็คมานามาน ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ไม่นานก็สัมผัสความสำเร็จสูงสุดด้วยการคว้าทั้งแชมป์ลีก แชมป์ยุโรป และแชมป์สโมสรโลก ... อย่างไรก็ตาม เขาได้เปิดเผยภายหลังว่า บรรยากาศการฉลองแชมป์ และความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมดตอนที่อยู่กับ มาดริด คือสิ่งที่เขาอยากจะทำร่วมกับ ลิเวอร์พูล มากที่สุด ถือเป็นความฝันสูงสุดของเขาเลยก็ว่าได้ 

"ย้อนกลับไปตอนที่เราฉลองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ผมคิดเสมอว่าจะเป็นยังไงนะ ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมอยู่กับลิเวอร์พูล" แม็คก้า กล่าว

"ผมอยู่ มาดริด แค่ 10 เดือน และเราก็คว้าแชมป์ที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเต็มไปด้วยการร้องเพลงภาษาสเปน การโยนประธานสโมสรขึ้นฟ้า มันควรจะสนุกใช่มั้ย แต่ไม่เลย ผมรู้สึกว่าตัวเองแสร้งดีใจไปด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่ดูแปลก ๆ ในแง่มุมของผม"

"ผมหยิบโทรศัพท์ และพาตัวเองออกจากห้องแต่งตัว เดินไปตามทางเดินหาที่นั่งเงียบ ๆ คนเดียวและเปิดข้อความในโทรศัพท์ดู"

"สิ่งที่เกิดขึ้นพาลให้ผมย้อนกลับไปคิดว่าผมอยากจะทำแบบนี้กับลิเวอร์พูลมาก ๆ เลย เพราะถ้าสมมุติว่าเป็นเรา ผมจะเป็นคนที่ฉลอแชมป์สุดเหวี่ยง และจะอยู่แถวหน้าสุดในทุก ๆ ภาพถ่ายแน่นอน ... กลับกันที่ เรอัล มาดริด ผมเป็นแค่ส่วนประกอบของการฉลองแชมป์เท่านั้น"  แม็คก้า กล่าวถึงประสบการณ์และความฝันที่แท้จริงของเขา 

ดังนั้นจึงเป็นที่มาของเหตุการณ์ในฤดูกาล 2002-03 ในตอนนั้น ฟาวเลอร์ ไปดูเกมที่ แม็คก้า เล่นให้กับ เรอัล มาดริด ในช่วงท้ายซีซั่น ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ราชันชุดขาวคว้าแชมป์ลีก

และหลังจากนั้น แม็คก้า ได้เชิญ ฟาวเลอร์ เป็นหนึ่งในแขกที่จะได้แห่ถ้วยแชมป์ของเขาด้วย ซึ่ง ฟาวเลอร์ ก็ตกปากรับคำ ไปฉลองความสำเร็จให้เพื่อนรัก แม้ตัวเองจะไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ ฟาวเลอร์  ก็อยากให้แม็คก้าสดชื่นสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ... เหนือสิ่งอื่นใด คือการทำให้อย่างน้อย แม็คก้า ได้รู้สึกถึงความเป็น ลิเวอร์พูล มากขึ้นสักนิดก็ยังดี 

"ผมได้ไปขึ้นรถบัสฉลองแชมป์กับ แม็คก้า ที่ มาดริด ด้วยนะ ... ผมยังจำได้พวกเขาเชิญผมขึ้นไปบนรถบัสและผมก็เห็นนักเตะอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้ และ ราอูล กอนซาเลซ ผมว่านี่มันบ้าแล้ว" ฟาวเลอร์ กล่าว

"พวกเขาฉลองกันสุดเหวี่ยง มีจังหวะให้จอดลงไปพบปะกับแฟน ๆ แล้วทุกคนก็เต้นรำกัน บรรยากาศสนุกสนานมาก และมันทำให้ผมได้รู้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ฉลองแชมป์ลีกเลยมั้ง" เขาหัวเราะอย่างสนุกสนาน และในวันนั้น แม็คก้า ก็มีความสุขอย่างเต็มที่เพราะมีเพื่อนรักมาร่วมฉลองความสำเร็จนั้น 

ฟาวเลอร์ และ แม็คก้า รัก ลิเวอร์พูล แค่ไหนคงไม่ต้องพูดกันให้เยอะ ทุกครั้งที่สโมสรมีการรวมตัวตำนานมาลงแข่งขันในแมตช์การกุศลต่าง ๆ พวกเขามักปรากฏตัวเสมอ 

และแม้ทุกวันนี้สังขารของพวกเขาจะล่วงเลยไปตามอายุ ทว่าสิ่งสำคัญคือ ฟาวเลอร์ และ แม็คก้า มีอะไรให้แฟน ๆ ได้ดูเสมอ พวกเขาไม่เคยทิ้งลาย สไปซ์ บอยส์ ที่มีมุกมาแซวกันเอง มีการพริ้วไหวเมื่อต้องออกหน้ากล้องและเซอร์วิสแฟนบอลของตัวเอง บอกได้เลยว่า ลีลาในสนามของพวกเขาตอนนี้ ดีไม่แพ้นอกสนามเลยล่ะ 

และถ้าคุณอยากจะเห็นความเข้าขารู้ใจทั้งในและนอกสนามของ ฟาวเลอร์ และ แม็คก้า นี่คือโอกาสดีจริง ๆ เพราะพวกเขากำลังจะมาเล่นในรายการ Battle of The Reds Thailand 2024 ที่เป็นการพบเจอกันระหว่างตำนานปีศาจแดง และหงส์แดง ซึ่ง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กับ สตีฟ แม็คมานามาน จะเป็นหนึ่งในทีมตำนานหงส์แดงที่จะเล่นเกมนี้ด้วย

เตรียมตัวจองบัตรแล้วไปตามรอยกันได้เลยว่า ดาวเด่นแห่ง สไปซ์ บอยส์ ตัวพ่อแห่งยุค 1990s คู่นี้สุดแค่ไหน พร้อมรับชมตำนานทั้งสองทีมดวลกันให้เห็นกับตา ณ สนามศุภชลาศัย ในวันที่ 12 ตุลาคมนี้ เพราะนี่คือการรวมตัวกันของตำนานแดงเดือดถึง 30 ชีวิตและนับว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาเลยทีเดียว

คิก ออฟ เวลา 18:30 น. จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้
ช่องทางการซื้อตั๋วเข้าชม : https://bit.ly/3MdjtuP
หรือ ซื้อได้ที่ 7-11 ทุกสาขา

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่

FB : https://www.facebook.com/BattleofTheRedsThailand2024/
IG : https://www.instagram.com/battleoftheredsthailand2024/
Tiktok : https://www.tiktok.com/@battleoftheredsthailand

และ **Meet & Greet ตำนานนักเตะทั้งทีม รายละเอียดเพิ่มเติมไลน์ @iamlegend  https://lin.ee/o54pI6Ud

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.liverpoolfc.com/news/three-things-we-learned-steve-mcmanaman-we-are-liverpool-podcast
https://www.thisisanfield.com/2020/04/hat-tricks-links-to-chelsea-5-things-we-learned-as-fowler-mcmanaman-breakdown-liverpool-career/
https://www.lfchistory.net/articles/article/4612
https://en.wikipedia.org/wiki/Robbie_Fowler

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ