WrestleMania ศึกมวยปล้ำรายการใหญ่ที่สุดประจำปีของ WWE คืออีเวนต์สำคัญที่นักมวยปล้ำทั่วโลกใฝ่ฝันอยากขึ้นเวทีสักครั้งในชีวิต
LA Knight คือหนึ่งในคนที่ได้รับโอกาสครั้งนี้ หลังจากเขาเอาชนะใจแฟนมวยปล้ำของ WWE ด้วยบุคลิกและลีลาเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร แม้จะเคยถูกสมาคมใหญ่ปฏิเสธ หมางเมินเป็นแค่ตัวประกอบ อีกทั้งยังถูกมองว่าอายุมากเกินไป แต่เขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า อายุไม่ใช่อุปสรรคที่จะขัดขวางความฝัน หากคุณเจ๋งและมีความพยายามมากพอ
MainStand ขอนำเสนอเรื่องราวการเดินทางของ LA Knight หรือ ชอว์น ริคเกอร์ อดีตนักมวยปล้ำตัวประกอบ ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด จนได้ขึ้นเวทีใหญ่แห่งความฝันตอนอายุ 41 ปี ในศึก WrestleMania ครั้งที่ 40 เมื่อปี 2024
เด็กหนุ่มจากยุค Attitude
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Attitude Era (1997-2002) คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ WWE สมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก เพราะมันอุดมไปด้วยองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์ทุกด้านแบบที่มวยปล้ำสไตล์ "สปอร์ต เอนเตอร์เทน" ควรจะเป็น ทั้งเนื้อหาและภาษาที่ดุเดือดรุนแรง ลีลาการปล้ำที่สนุกสนานเร้าใจ นักมวยปล้ำทุกคนยอมทุ่มเทเจ็บตัวเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อทำให้แฟนมวยปล้ำมีความสุข มันสมจริงจนทำให้หลายคนหลงเชื่อว่าทุกสิ่งที่เห็นคือ "ของจริง" กระทั่งคิดว่านักมวยปล้ำสู้กันจริง ๆ อัดกันจริง ๆ และเกลียดกันจริง ๆ
สำคัญยิ่งกว่าคือ WWE ยุค Attitude Era ได้ให้กำเนิดนักมวยปล้ำที่ปัจจุบันกลายเป็นดาราค้างฟ้านับไม่ถ้วน นำโดย สโตน โคลด์ สตีฟ ออสติน นักมวยปล้ำหัวขบถที่อัดทุกคนแบบไม่สนว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร, เดอะ ร็อก ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลที่ครบเครื่องทั้งลีลาการปล้ำ และสกิลไมโครโฟนที่ดุเด็ดเผ็ดร้อน, ทริปเปิล เอช นักมวยปล้ำสายอธรรมที่ถูกขนานนามว่าเป็นดาวร้ายผู้น่ารังเกียจ หรือ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ สัปเหร่อจอมขมังเวทย์ ที่มีแฟนคลับติดตามเชียร์มากขึ้น ด้วยบุคลิกอันลี้ลับ และการปล้ำที่หนักหน่วงน่าเกรงขาม
อิทธิพลอันข้นคลั่กของ Attitude Era ถูกส่งต่อและเป็นแรงบันดาลใจแก่เด็ก ๆ หลายคนที่ชอบดูมวยปล้ำจนมีความฝันอยากเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ อยากประสบความสำเร็จแบบเดียวกับซูเปอร์สตาร์ที่พวกเขาชอบ และหนึ่งในคนที่หลงเสน่ห์ความมันในมวยปล้ำยุค Attitude แบบถอนตัวไม่ขึ้นคือ "ชอว์น ริคเกอร์" ไอ้หนุ่มวัยรุ่นอายุ 18 ปีจากเมืองเฮเกอร์สทาวน์ รัฐแมรี่แลนด์ เขาตกหลุมรักมวยปล้ำจนถึงขั้นทำท่าเลียนแบบนักมวยปล้ำบนเตียงทุกวันก่อนนอน
"ผมได้รับอิทธิพลจากยุค Attitude มาแบบ 100% เลย" ชอว์น ริคเกอร์ เล่าความหลัง "มันเป็นเหมือนกับขนมปังทาเนยของผมทุกเช้าสมัยเรียนไฮสคูล นั่นคือยุคของมวยปล้ำที่ดีที่ที่สุด และมันน่าตื่นเต้นมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะเอาอิทธิพลจากยุคนั้นมาใช้ทั้งหมดหรอก เพราะผมอยู่กับปัจจุบันและเป็นตัวของตัวเองจนถึงตอนนี้"
ความคลั่งไคล้ในมวยปล้ำ ทำให้เพื่อนของเขาสะกิดเชียร์ ชอว์น ริคเกอร์ ไปเล่นมวยปล้ำดีไหม ? แน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธคำแนะนำของเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ เขาเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ใส่กระเป๋าให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่ความฝัน
แล้วเส้นทางการเป็นนักมวยปล้ำของเด็กหนุ่มจากแมรี่แลนด์คนนี้ ก็เริ่มขึ้นตอนอายุ 20 ปี
คนที่ยังไม่ใช่ของ WWE
เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าหากคุณใฝ่ฝันจะเป็นนักมวยปล้ำที่โด่งดัง ก็ต้องเริ่มต้นฝึกวิชา เรียนรู้ทักษะมวยปล้ำขั้นต้นเสียก่อน ชอว์น ริคเกอร์ หอบเสื้อผ้าจากบ้านเกิดในเฮเกอร์สทาวน์ แมรี่แลนด์ มาอยู่ที่ ซินซินเนติ มาฝึกวิชากับ Heartland Wrestling Association (HWA) สมาคมมวยปล้ำอินดี้ และศูนย์พัฒนาทักษะดาวรุ่งภายใต้การดูแลของ WWE เขาใช้ชื่อในสังเวียน HWA ที่แสนจั๊กกะจี้หูว่า "Dick Rick" แล้วค่อย ๆ สั่งสมวิชาบนเวทีกันไป
แต่แน่นอนว่าการเป็นนักมวยปล้ำในสมาคมอินดี้ ไม่มีชื่อเสียง ต้องแลกกับความจริงที่ว่าคุณจะไม่มีรายได้ในกระเป๋ามากนัก นั่นเลยทำให้ ชอว์น ริคเกอร์ ต้องหาลำไพ่พิเศษในช่วงนอกเวลาปล้ำ ทั้งเป็นเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์, คนงานในโรงไม้, พนักงานร้านอาหาร, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และไปรับจ๊อบเป็นพระเอกโฆษณาสินค้าทางทีวี หาเงินมาเพื่อหล่อเลี้ยงความฝันในการเป็นนักมวยปล้ำของตัวเองต่อไป
ช่วงเวลาที่อยู่กับ HWA ชอว์น ริคเกอร์ ได้โอกาสจาก WWE ให้ลอง Tryout (ทดสอบความสามารถ) ขึ้นเวทีปล้ำแท็กทีมคู่ จอน ม็อกซ์ลีย์ (ที่ต่อมาโด่งดังในชื่อ ดีน แอมโบรส แห่ง The Shield) ในฐานะนักมวยปล้ำตัวประกอบ เจอกับ บิ๊กโชว์ นักมวยปล้ำรุ่นใหญ่ร่างยักษ์ ในปี 2006 ขณะที่สองปีต่อมา ชอว์น ริคเกอร์ ได้ลอง Tryout อีกรอบในดาร์คแมตช์กับทีม Cryme Tyme ในรายการ ECW ที่อยู่ภายใต้การควบคุมกิจการของ WWE โดยมี วินซ์ แม็คแมน ประธาน WWE และทีมงานเฝ้าจับตาดูผลงาน
อย่างไรก็ตาม หลังจบแมตช์ใน ECW ทาง WWE ติดต่อให้เขามาปล้ำอีกรอบ แต่ตอนนั้น ชอว์น ริคเกอร์ กำลังปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่อยู่ ทำให้เขามาถึงสถานที่ช้าไป 1 ชั่วโมง ซึ่งการมาเลทครั้งนั้นก็นานเกินพอที่จะทำให้ WWE ตัดสินใจไม่ติดต่อ ไม่ชวนเขามาร่วมงานอีกต่อไป
อันที่จริง ชอว์น ริคเกอร์ เคยพยายามพิสูจน์ตัวเองกับ WWE มาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่ WWE เปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันรายการ Tough Enough หาดารานักมวยปล้ำหน้าใหม่ของสมาคมเมื่อปี 2004 เขาสมัครแข่งรายการนี้ท่ามกลางคู่ต่อสู้กว่า 100 คน ที่จะคัดเลือกให้เหลือเพียงแค่ 8 คน และ 2 คนสุดท้ายที่ได้เซ็นสัญญาทำงานกับ WWE ตอนนั้น ชอว์น ริคเกอร์ ผ่านการทดสอบขั้นแรก และให้สแตนด์บายเป็นตัวสำรองของรายการ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครโทรหาเขา และไม่ได้เข้าแข่งในรายการนี้
แล้วเมื่อไม่มีสัญญาณตอบกลับจากโอกาสที่ท่านเคยได้ ชอว์น ริคเกอร์ ก็รู้ตัวว่าเขาคงไม่ใช่คนที่ WWE กำลังตามหา เป็นแค่ตัวประกอบคั่นเวลา เขาจึงหอบความผิดหวังใส่กระเป๋า แล้วขับรถไปหาทางเลือกบนสังเวียนอื่นที่ ลอส แอนเจลิส โดยมีเงินติดบัญชีแค่น้อยนิด จนถึงขั้นที่ไม่มีเงินจ่ายค่าที่จอดรถ และยืนมองรถตัวเองโดนเจ้าหน้าที่ยึดไปต่อหน้าต่อตา
"ผมบอกตัวเองตอนนั้นว่านี่ผมทำอะไรอยู่วะ ตอนอยู่ที่แอลเอ ผมโดนยึดรถเพราะค้างค่าจอด เพราะผมไม่มีเงินจ่ายค่าที่จอดรถบ้า ๆ นั่น ผมต้องทำงานโดยไม่มีรถขับอยู่ 8-9 เดือน ผมก็คิดนะว่าที่นี่ (แอลเอ) คงไม่เหมาะกับผม แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ผมต้องเดินหน้าต่อไป" ชอว์น ริคเกอร์ เล่าถึงช่วงเวลายากลำบากในอดีต
เมื่อไม่ได้โอกาสปล้ำกับ WWE บวกกับความล้มเหลวที่ไม่ผ่านการทดสอบกับค่ายพัฒนาทักษะของ WWE อย่าง NXT ในปี 2013-2014 จนถูกปล่อยตัวออกมา ชอว์น ริคเกอร์ จึงตัดสินใจเลือกเส้นทางสายอื่น ไปพิสูจน์ตัวเองกับสมาคมมวยปล้ำอิสระที่ต่าง ๆ
ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้กลับมาที่ WWE ในฐานะ "นักมวยปล้ำตัวหลัก"
สร้างเนื้อสร้างตัวที่ TNA
"บางทีผมอาจทำตัวงี่เง่า แต่ผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหยุดเดินหน้าเด็ดขาด" นั่นคือคำพูดของ ชอว์น ริคเกอร์ ที่บ่งบอกถึงตัวตนอย่างชัดเจนว่า "ห้ามท้อถอยจนกว่าจะถึงเส้นชัย"
เพราะความฝันที่ต้องการเป็นนักมวยปล้ำของ WWE และรู้ตัวว่าบุคลิกของเขา เหมาะกับสมาคมแห่งนี้มากที่สุด ชอว์น ริคเกอร์ จึงรีเซ็ตตัวเอง ออกไปเดินสายปล้ำกับสมาคมอิสระที่อื่น โดยใช้ชื่อบนเวทีว่า "อีลาย เดร็ค" เขาเดินสายปล้ำและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีไปเรื่อย จนกระทั่งเดินมาถึงหมุดหมายสำคัญที่ช่วยให้เขาได้ขยับเข้าใกล้ความฝันไปอีกก้าว นั่นคือเซ็นสัญญาเป็นนักมวยปล้ำของสมาคม TNA ในปี 2015
ภายใต้ชายคาของสมาคมระดับรองอย่าง TNA ชอว์น ริคเกอร์ ฉายแววเจิดจรัสในนาม อีลาย เดร็ค เขาพัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดดทั้งฝีมือการปล้ำ บุคลิกที่โดดเด่น แต่ที่เด็ดขาดกว่าก็คือสกิลพูดโปรโมผ่านไมโครโฟน ที่แซ่บจัดจ้านโดนใจคนดู ถึงขั้นที่มีรายการทอล์คโชว์บนเวทีเป็นของตัวเองเลยทีเดียว และยังเป็นจุดกำเนิดของประโยคฮิตติดปากของเขาอย่าง "YEAH!" ที่ใช้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
"สกิลการพูดของเขาคือสิ่งที่สอนกันไม่ได้" นิค อัลดิส อดีตนักมวยปล้ำของ TNA ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้จัดการทั่วไปของ WWE Smackdown! เล่าถึงสกิลไมโครโฟนอันเอกอุของเพื่อนเก่า "คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งคุณจำเป็นต้องมีหากต้องการประสบความสำเร็จในวงการนี้ก็คือความเชื่อมั่น แล้วเขาก็เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี"
ตอนอยู่กับ TNA ชอว์น ริคเกอร์ หรือ อีลาย เดร็ค ประสบความสำเร็จทุกด้าน คว้าแชมป์โลกทั้งแบบแชมป์เดี่ยวและแท็กทีม กลายเป็นขวัญใจแฟนมวยปล้ำ และเปลี่ยนชีวิตจากที่มีเงินติดบัญชีน้อยนิด กลายเป็นนักมวยปล้ำที่มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ กระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขาเกิดความขัดแย้งกับทีมบริหารของ TNA ทำให้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจแยกทางกันในปี 2019
หลังแยกทางกับ TNA อาชีพนักมวยปล้ำของ ชอว์น ริคเกอร์ อยู่ในภาวะสูญญากาศ ไม่มีใครโทรศัพท์ชวนเขาไปปล้ำที่ไหนอีกเลย (แม้แต่ NXT ที่เขาเคยปฏิเสธแบบไม่ใยดีตอนกำลังรุ่งกับ TNA) ยิ่งหลังจากนั้น โลกเผชิญกับภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แช่แข็งทุกวงการกีฬาไม่เว้นแม้แต่วงการมวยปล้ำอินดี้ ประกอบกับอายุของเขาที่เข้าสู่ปีที่ 39 แล้ว เขาก็เริ่มคิดที่จะเลิกเป็นนักมวยปล้ำ ไปทำมาหากินอย่างอื่น
"ตอนนั้นผมคิดว่ามันจบแล้ว" ชอว์น ริคเกอร์ เผยความรู้สึกในวันที่เขาไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตหลังออกจาก TNA
อย่างที่บอกไปว่า ชอว์น ริคเกอร์ คือชายผู้เป็นนักสู้แม้อยู่ในภาวะท้อถอย เขาตัดสินใจส่งอีเมล์ไปหา พอล เลเวสก์ หรือ "Triple H" ดาวร้ายตลอดกาลของ WWE ที่ตอนนั้นผันตัวมาเป็นคนคุมงานเบื้องหลังรายการต่าง ๆ ของ WWE ในปี 2020 เพื่อลองสู้อีกสักตั้ง หากว่าไม่มีการตอบกลับ เขาก็พร้อมที่จะปิดฉากชีวิตนักมวยปล้ำอาชีพของตัวเองในวัย 39
แต่เมื่ออีเมล์ฉบับดังกล่าวได้รับการตอบกลับโดย Triple H ชีวิตนักมวยปล้ำของ ชอว์น ริคเกอร์ ได้รับการต่ออายุออกไปอีกครั้ง และเขาก็ได้กลับมาสู่สมาคมในฝันอย่าง WWE เวลาต่อมา
แม้ว่าจะต้องมาเริ่มต้นใหม่กับค่ายพัฒนาทักษะนักมวยปล้ำหน้าใหม่อย่าง NXT อีกรอบในวัย 39 ปีก็ตาม...
กำเนิด LA Knight
ถึงจะต้องกลับมารีเซ็ตตัวเองจากศูนย์ที่ NXT แถมคู่ต่อสู้รอบข้างก็มีแต่นักมวยปล้ำเลือดใหม่ไฟแรง แต่ ชอว์น ริคเกอร์ ที่ได้โอกาสสำคัญจาก Triple H ไม่คิดปริปากบ่น เขาใช้โอกาสนี้สร้างความโดดเด่นแก่ตัวเอง กับบทบาทนักมวยปล้ำรุ่นใหญ่จอมคุยโวที่ชื่อ "LA Knight" โดยที่มาของชื่อก็มาจากช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตดิ้นรนต่อสู้เพื่อความฝันอยู่ที่ ลอส แองเจลิส นั่นเอง
"ขอพูดอะไรกับพวกแกหน่อย นี่ไม่ได้จะมาคุยเรื่องความฝัน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำธุระของข้าก็คือหวดตีใครก็ตามที่บังอาจมาเดินบนเส้นทางเดียวกับข้า ข้าไม่ได้มาทำตัวแฟนซีเพ้อฝันที่นี่ และไม่ได้หวังว่าพวกแกจะชอบในสิ่งที่ข้าทำ แต่ที่แน่ ๆ ข้าจะทำสิ่งที่เจ๋งที่สุดให้ตัวเอง แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่า Greatest Of All Time เรียกข้าว่า LA Knight! นั่นแหละสัจธรรมของชีวิต" ชอว์น ริคเกอร์ ในมาด LA Knight ตอกบัตรให้ทุกคนรู้จักในโชว์แรกของเขากับ NXT เมื่อเดือนมีนาคม 2021
แม้จำนวนคนดูใน NXT ที่ออกอากาศทุกวันพุธ (ก่อนย้ายมาวันอังคาร หลัง WWE พ่ายแพ้ใน "สงครามวันพุธ" ต่อ AEW) จะน้อยกว่าโชว์หลักอย่าง RAW และ Smackdown! แบบเทียบไม่ติด แต่ LA Knight ก็ใส่เต็มทุกสัปดาห์ไม่ว่าจะมีคนดูมากน้อยแค่ไหน เขาใช้ความโดดเด่นเรื่องการพูดผ่านไมโครโฟน และประสบการณ์ปล้ำบนเวทีที่ผ่านมาอย่างโชกโชน เผชิญหน้าต่อสู้กับนักมวยปล้ำรุ่นน้องฝีมือดีมากหน้าหลายตาทั้ง ออกัส เกรย์, คาเมรอน ไกรม์ส, บรอน เบรคเกอร์, เกรย์สัน วอลเลอร์ ฯลฯ
สิ่งที่น่าประทับใจก็คือถึงจะเปิดตัวในฐานะนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรม แต่บุคลิกและความปากแซ่บของ LA Knight เรียกเสียงเชียร์จากแฟนมวยปล้ำใน NXT ได้มากทีเดียว ชนิดที่ว่า HHH และ ชอว์น ไมเคิลส์ สองตำนานมวยปล้ำ WWE ที่ดูแล NXT อยู่ตอนนั้น ชื่นชอบในฝีไม้ลายมือ และคาแร็กเตอร์อันโดดเด่นของ LA Knight ก่อนเอาไปรายงานกับ วินซ์ แม็คแมน ให้พิจารณาถึงการผลักดัน LA Knight ไปสู่ค่ายหลัก
ผลจากกระแสตอบรับที่ดีใน NXT ทำให้ WWE ตัดสินใจผลักดัน LA Knight ขึ้นเป็นนักมวยปล้ำตัวหลักของ WWE ฝั่ง Smackdown! โชว์รายสัปดาห์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ของสมาคมถัดจากรายการ RAW สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ ชอว์น ริคเกอร์ ในกิมมิคใหม่ LA Knight ดีใจมาก
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ เขาจะไม่ได้ปรากฏตัวในฐานะนักมวยปล้ำของ WWE แต่เป็นผู้จัดการทีมซะอย่างนั้น
แก่เกินแกงจนโดนคุมกำเนิด
"คนกำลังจะเกิด แต่โดนคุมกำเนิดซะงั้น" ประโยคนี้น่าจะอธิบายความรู้สึกของ LA Knight ได้เป็นอย่างดี เมื่อ วินซ์ แม็คแมน เซ็นอนุมัติให้ผลักดันชายคนนี้ขึ้นโชว์หลักของ Smackdown! แต่ต้องปรากฏตัวในชื่อและบุคลิกใหม่ "แม็กซ์ ดูปรี" ผู้จัดการคู่แท็กทีมมวยปล้ำสายนายแบบ Maximum Male Models ที่มี Ma.ce กับ Man.soor เป็นนักมวยปล้ำประจำทีม พ่วงด้วยผู้จัดการสาวสวย แม็กซีน ดูปรี อีกคน
LA Knight ในบทบาทใหม่ แม็กซ์ ดูปรี ถูกกำชับจากทีมเครเอทีฟว่าให้เล่นบทผู้จัดการทีม MMM อย่างเดียว ไม่ต้องขึ้นปล้ำ และมีสถานะเป็นเพียงผู้จัดการทีมตัวประกอบใน Smackdown! เหตุเพราะ วินซ์ แม็คแมน ที่เป็นคนคุมครีเอทีฟหลังฉากตอนนั้นอยากให้ แม็กซ์ ดูปรี เป็นป๋าดันนักมวยปล้ำรุ่นใหม่มากกว่า และเขาคิดว่าคนอายุ 40 อย่าง แม็กซ์ ดูปรี แก่เกินแกงที่จะขึ้นเวทีสู้กับนักมวยปล้ำคนอื่น คนดูคงไม่อยากดูคนแก่อายุ 40 ปล้ำหรอก
ทั้งที่ LA Knight พยายามชี้แจงเหตุผลว่าสภาพร่างกายของเขาสมบูรณ์ ไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยบาดเจ็บหนัก และฟิตกว่าคนอายุ 40 ทั่วไป แต่ก็เปลี่ยนใจบิ๊กบอสอย่าง "มิสเตอร์ แม็คแมน" ไม่ได้
"ผมไม่รู้เลยว่าไอ้ แม็กซ์ ดูปรี นั่นคือใครวะ ? แต่ก็นั่นแหละ พอเป็นแบบนั้นผมก็ลองคิดดูว่าผมจะเล่นกับบทบาทนี้ได้ยังไง มันจะประสบความสำเร็จไหม แน่ใจหรือเปล่าว่าจะทำออกมาได้ดี มันคืออะไรแบบที่เคยทำมาก่อนหรือเปล่า แต่ที่สุดผมก็ตอบตัวเองได้ว่านั่นไม่ใช่ผม มันไม่ใช่สำหรับผมเลยว่ะ" LA Knight พูดถึงบทหัวหน้าทีมนายแบบ MMM ที่เขายอมรับว่าเป็นกิมมิคที่เขาไม่อินเลยแม้แต่น้อย
LA Knight สวมวิญญาณ แม็กซ์ ดูปรี เล่นไปตามเกมที่ WWE กำหนด แต่ยิ่งฝืนทำมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นแม้จะได้ออกทีวีทุกสัปดาห์ก็ตาม จนในที่สุดเขาก็เดินไปบอก Triple H ว่าไม่อยากเล่นบท แม็กซ์ ดูปรี แล้ว อยากกลับมาเป็น LA Knight กิมมิคสร้างชื่อของเขาตามเดิมสมัยอยู่กับ NXT
ซึ่งก็ประจวบเหมาะพอดีที่ว่า Triple H ขึ้นมานั่งเก้าอี้หัวหน้าครีเอทีฟรายการมวยปล้ำของ WWE พอดี แทน วินซ์ แม็คแมน ที่ต้องลงจากตำแหน่งเพราะพัวพันกับคดีล่วงละเมิดทางเพศอดีตพนักงานหญิงในบริษัท ทำให้ LA Knight ได้รับไฟเขียวให้บอกลาบท แม็กซ์ ดูปรี อันไร้สาระนี่ ทำลายทีม MMM ทิ้งซะ แล้วกลับมาเป็น LA Knight คนเดิมที่ทุกคนรู้จักในช่วงปลายปี 2022
และการต่อสู้เพื่อปกป้องอาชีพของตัวเองครั้งนั้น คือการตัดสินใจที่ถูกต้องอีกครั้งในชีวิตของ ชอว์น ริคเกอร์ หรือ LA Knight คนนี้
2023 ยุคทองของ LA KNIGHT YEAH!
เมื่อได้กลับมาสวมบท LA Knight ครั้งที่สอง คราวนี้ก็ถึงเวลาติดจรวดพุ่งขึ้นฟ้า เมื่อ LA Knight ใช้บุคลิกและสิ่งที่เขาทำได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ "สกิลไมโครโฟน" ค่อย ๆ ซื้อใจคนดูมวยปล้ำใน Smackdown! ให้มาเป็นแฟนคลับของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์ เขาทำให้แฟนมวยปล้ำ WWE หันมาเชียร์เขา ด้วยแคชเฟสสุดคมอย่าง "Let Me Talk To Ya! (ขอพูดอะไรกับคุณหน่อย)" ที่เขาพูดเปิดหัวทุกสัปดาห์ พร้อมกับทำให้คนดูตะโกนเรียกชื่อเขาอย่างพร้อมเพรียงว่า "LA Knight YEAH!"
ถึงจะต้องยอมรับว่าสกิลการปล้ำของ LA Knight ยังเป็นรองนักมวยปล้ำหลายคนใน WWE แต่ด้วยบุคลิกและคาแร็กเตอร์ที่สุดเท่ ปรากฏตัวพร้อมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำแขนกุด กางเกงยีนรัดรูป รองเท้าหนัง แว่นตากันแดดทรงกลม และแคชเฟสที่มีเสน่ห์ ทำให้แฟนมวยปล้ำตกหลุมรัก LA Knight อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนักมวยปล้ำของ WWE ที่อาจไม่ต้องปล้ำเก่งมาก แต่ต้องมีคาแร็กเตอร์โดดเด่น เรียกรีแอ็คชั่นในแง่บวกจากผู้ชมได้
คาแร็กเตอร์และการแต่งตัวของ LA Knight เด่นชัดจนแฟนมวยปล้ำวิจารณ์ว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจากสองนักมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่อย่างแห่งยุค Attitude อย่าง สโตน โคลด์ สตีฟ ออสติน กับ เดอะ ร็อก ซึ่ง LA Knight เอาบุคลิกและจุดเด่นของทั้งคู่มาผสมกัน แล้วมาปรับใช้กับตัวเองจนประสบความสำเร็จ แม้จะมีเสียงค่อนขอดจาก เควิน แนช ตำนานนักมวยปล้ำของ WWE และอดีตแก๊ง nWo วิจารณ์ว่า LA Knight สร้างตัวตนจากการก๊อปปี้นักมวยปล้ำยุค Attitude แบบไร้ความสร้างสรรค์
"ผมได้คุยกับเพื่อนของเขาในเรื่องนี้แล้ว พวกเขาบอกว่าอย่าไปฟังสิ่งที่เขา (เควิน แนช) พูดเลย แต่แล้วไง ผมต้องคิดมากด้วยเหรอ เอาล่ะ มันเหมือนกับว่าถ้าชายคนนี้จ้องจะเอาอาหารของผมออกจากโต๊ะบ้างก็คงดี ทว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระฉิบเป๋ง แต่ในเวลาเดียวกัน ทำไมผมต้องคิดมากกับเรื่องนี้ด้วยวะ" LA Knight ตอบกลับคำวิจารณ์ของตำนานรุ่นใหญ่อย่างมีอารมณ์
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเสียงเชียร์ของแฟนมวยปล้ำได้เมื่อ LA Knight ได้รับการผลักดันจาก WWE แบบเต็มที่ โดยเฉพาะในปี 2023 ที่เขาได้มีโมเมนต์สำคัญประดับชีวิตมากมาย เช่นได้รับเกียรติโดน ดิ อันเดอร์เทเกอร์ ตำนาน WWE จับใส่ Tombstone Piledriver คาเวทีในศึก RAW ต่อด้วยปล้ำกับ เบรย์ ไวแอตต์ เป็นคู่ประกอบรายการของศึกใหญ่ Royal Rumble จากนั้นก็ได้ขึ้นเวทีปล้ำแมตช์ 7 เส้า ชิงกระเป๋าเอกสารของศึกใหญ่ Money in the Bank ที่ลอนดอน อังกฤษ พร้อมกับเสียงเชียร์ของแฟน ๆ ที่อังกฤษอย่างล้นหลาม แม้สุดท้ายจะแห้วไม่ได้กระเป๋าก็ตาม
กระแสของ LA Knight ยังแรงต่อเนื่องเมื่อเขาได้จับคู่กับ จอห์น ซีน่า ยอดนักมวยปล้ำขวัญใจแฟนๆ ปล้ำแมตช์แท็กทีมสู้กับแก๊ง The Bloodline ของ จิมมี่ อูโซ่ กับ โซโล่ ซิโคอา ในศึกใหญ่ Fastlane เดือนตุลาคม ที่เรียกเสียงเฮกันดังสนั่นทั่วสนาม ก่อนถึงช่วงเวลาสำคัญเมื่อเขาได้โอกาสชิงแชมป์โลก WWE กับ โรมัน เรนส์ ในศึกใหญ่ Crown Jewel ที่ซาอุดีอาระเบีย เดือนพฤศจิกายน ถึงหลายคนจะมองออกว่า LA Knight เป็นแค่เหยื่ออีกคนที่จะขึ้นมาโดน "หัวหน้าเผ่า" จับกดนับสามเพื่อยืดสถิติครองแชมป์โลกให้ยาวนานเพิ่มไปอีก แต่ LA Knight ก็ทำหน้าที่ของเขาได้ดีจนจบแมตช์
ตลอดปี 2023 LA Knight ไม่มีแชมป์ติดมือสักเส้น แต่เขาก็ประสบความสำเร็จและแจ้งเกิดในสมาคมมวยปล้ำ WWE แบบเต็มภาคภูมิ พิสูจน์ได้จากเสียงเชียร์ของแฟน ๆ ที่พร้อมใจกันเรียกชื่อ "LA Knight YEAH!" กันแบบกระหึ่มทุกสังเวียนที่เขาปล้ำ มีแฟนคลับมาดักรอขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นที่สนามบินกันมากมาย อันเป็นสิ่งที่เขายอมรับว่าไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต แถมสินค้าที่ระลึกของเขาก็ขายดิบขายดี ติดท็อป 10 ของร้าน WWE Shop ต่อเนื่องทุกเดือน
เชมัส ซูเปอร์สตาร์มวยปล้ำรุ่นใหญ่ของ WWE คอมเมนต์ถึงการแจ้งเกิดของ LA Knight ว่า "เขารู้ดีว่าต้องทำอะไร เพราะเขาทำสิ่งนี้มาหลายปีแล้ว เขาดำดิ่งลงไปในคาแร็กเตอร์เขาเล่นจริง ๆ และคนดูก็ตอบรับเขาเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญสำหรับวงการนี้ก็คือการได้รับรีแอ็คชั่นจากคนดู และเขาทำงานของตัวเองได้ดีมาก"
และผลพวงจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งปี นักมวยปล้ำผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยถูก วินซ์ แม็คแมน มองว่า "แก่เกินไป" อย่าง LA Knight ก็ได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่จาก WWE เป็นการตอบแทน
มันคือสิ่งที่นักมวยปล้ำทุกคนใฝ่ฝันถึง และอยากมีส่วนร่วมสักครั้งในชีวิต..
นั่นคือได้ปล้ำในศึกใหญ่ที่สุดโลกอย่าง WrestleMania
ปักหมุด WrestleMania ตอนหลักสี่
ศึกมวยปล้ำรายการใหญ่ที่สุดของ WWE และใหญ่ที่สุดในโลก WrestleMania ครั้งที่ 40 จัดขึ้นที่สนาม ลินคอล์น ไฟแนนเชียล ฟิลด์ สเตเดียม เพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา วันที่ 6-7 เมษายน 2024 โดยคู่เอกคืนแรกคือแมตช์แท็กทีมระหว่าง เดอะ ร็อก-โรมัน เรนส์ vs. โคดี้ โรดส์-เซธ โรลลินส์ ส่วนคู่เอกคืนที่สองคือศึกรีแมตช์ชิงแชมป์โลกระหว่าง โรมัน เรนส์ กับ โคดี้ โรดส์ ที่มุ่งหมายล้างแค้นเอาเข็มขัดแชมป์มาสู่ครอบครัวตระกูลโรดส์ ให้ได้
ความน่าสนใจต่อมาคือ WrestleMania ครั้งนี้ มีนักมวยปล้ำที่จะได้เปิดตัวปล้ำใน Main Card ของ WrestleMania ถึง 12 คนด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ LA Knight เมก้าสตาร์ที่แจ้งเกิดแบบเต็มตัวในปี 2023 โดยเขาจะได้ปล้ำแมตช์ตัวต่อตัวกับ เอเจ สไตล์ส นักมวยปล้ำตัวเก๋ามากฝีมือ และคู่แค้นในจอที่ WWE ผูกเรื่องให้ตีกันมาตั้งแต่ศึก Royal Rumble เดือนมกราคม จนถึงศึกใหญ่ Elimination Chamber เดือนกุมภาพันธ์ ก่อนมาตัดสินกันให้รู้ดำรู้แดงที่ฟิลาเดลเฟีย วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน นี้
แล้วแมตช์นี้ก็จบลงอย่างน่าประทับใจเมื่อ LA Knight โชว์ฟอร์มสู้กับ เอเจ สไตลส์ ได้แบบสนุก หนักหน่วง จนนักวิจารณ์ยกนิ้วชื่นชมว่าแมตช์ออกมาดีกว่าที่คาดคิดไว้ ก่อนเป็น LA Knight จับ เอเจ ใส่ท่า BFT กดนับสามปิดฉากเอาชนะไป
อันที่จริงไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร สำหรับ LA Knight มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เท่ากับการได้ปักหมุดขึ้นเวทีปล้ำ WrestleMania ครั้งแรกในชีวิต มันคือฝันที่เขารอคอยมาตลอดการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ แม้จะต้องรอโอกาสขึ้นเวทีปล้ำศึกใหญ่ที่สุดในโลก ตอนอายุ 41 ปี แต่เขาก็ยืนยันว่าจะทุ่มเทและใช้โอกาสครั้งสำคัญนี้ ทำให้แฟนมวยปล้ำต้องจดจำ LA Knight แบบไม่มีวันลืม
"ผมอยากสร้างโมเมนต์ที่ยอดเยี่ยม และสร้างตำนานให้คนจดจำ" LA Knight หรือ ชอว์น ริคเกอร์ บอกก่อนขึ้นปล้ำกับ เอเจ สไตล์ส ใน WrestleMania 40 "บางคนบอกว่ามันช้าไปหลายปีเลยนะ บางคนก็บอกว่านี่แหละช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะนี่คือ WrestleMania ครั้งที่ 40 และผมก็ได้อยู่ในนั้นแล้ว"
แหล่งอ้างอิง
https://theathletic.com/5374056/2024/04/01/la-knight-wrestlemania-xl-40-shaun-ricker/?
https://www.usanetwork.com/usa-insider/la-knight-career-wwe-explained
https://www.essentiallysports.com/wwe-news-la-knight-opens-up-on-his-inspiration-from-attitude-era-stars-despite-open-criticism-from-wwe-legend-i-have-no-choice/
https://www.thesportster.com/facts-trivia-things-la-knight-career-before-wwe-eli-drake/
https://www.wrestlinginc.com/1461401/la-knight-reveals-thought-max-dupri-wwe-character/