โลกมวยปล้ำในช่วงปลายปี 2023 เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ประหนึ่งภูเขาไฟระเบิดเมื่อ WWE สมาคมมวยปล้ำระดับโลก พาตัว ซีเอ็ม พังค์ ซูเปอร์สตาร์นักมวยปล้ำชาวอเมริกัน ที่เคยสร้างสีสันและเป็นขวัญใจแฟน ๆ ในอดีต กลับมาร่วมงานอีกครั้ง โดยเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงท้ายของศึก Survivor Series: War Games 2023 จนแฟนมวยปล้ำตะโกนเรียกชื่อเขาดังสนั่นลั่นอารีนาที่ ชิคาโก
การมาของ ซีเอ็ม พังค์ สร้างความฮือฮาทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยเฉพาะอย่างหลัง เพราะแฟนมวยปล้ำสายทรูรู้กันดีว่า เขาคือนักมวยปล้ำเจ้าปัญหาที่ก่อวีรกรรมเสียหายไว้มากมายที่หลังฉาก มีเรื่องวิวาทขัดแย้งกับทีมงานยันนักมวยปล้ำคนอื่นจนเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนร่วมอาชีพ แม้แต่นักมวยปล้ำของ WWE ก็รู้สึกไม่พอใจที่ต้นสังกัดพาตัวปัญหารายนี้กลับมาโดยไม่บอกล่วงหน้า
ซีเอ็ม พังค์ กลับมาได้อย่างไร ? แล้ว WWE เล็งเห็นประโยชน์อันใดจากการดึงเจ้าของสมญานาม "Best in the World" กลับมาอยู่ด้วยกันอีกรอบ Main Stand จะมาเปิดเผยเบื้องหลังให้แฟนมวยปล้ำได้อ่านกัน
ตัวละครลับที่ชิคาโก
ศึกใหญ่ Survivor Series: War Games วันที่ 25 พฤศจิกายน 2023 คู่เอกประจำรายการระหว่างทีมธรรมะ Nightmare กับทีมอธรรม The Judgement Day ที่สู้กันแบบ 5 ต่อ 5 ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ ผลปรากฏว่าทีมพระเอกซึ่งนำโดย โคดี้ โรดส์, เซธ โรลลินส์, เจย์ อูโซ่, ซามี่ เซน และ แรนดี้ ออร์ตัน ที่สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาปล้ำได้ในรอบ 1 ปี เอาชนะทีมตัวโกงที่มี เดเมี่ยน พรีสต์, ฟินน์ เบเลอร์, โดมินิค มิสเตริโอ, เจดี แม็คโดนาห์ และ ดรูว์ แม็คอินไตร์ ไปได้
แต่ชัยชนะของทีมพระเอก ตลอดจนการรีเทิร์นของ แรนดี้ ออร์ตัน กลับถูกขโมยซีนตอนปิดรายการด้วยริฟฟ์กีตาร์เพลง Cult of Personality ของวง Living Colour ที่ดังกระหึ่มสนามออลสเตท อารีนา รัฐอิลลินอยส์ พร้อมกับเสียงเฮของแฟนมวยปล้ำในชิคาโกเมื่อพวกเขาได้เห็นการปรากฏกายของ ซีเอ็ม พังค์ นักมวยปล้ำรุ่นเก๋า และขวัญใจเจ้าถิ่น เดินออกมาที่แคทวอล์ค เป็นการกลับมาที่ WWE บ้านหลังเดิมครั้งแรกในรอบ 9 ปี
ถือว่าเป็นไปตามคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้ ซีเอ็ม พังค์ มีข่าวพัวพันกับ WWE มานานหลายปีว่าเขาจะกลับมาร่วมงานกับสมาคมนี้อีกครั้งแต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง กระทั่งเมื่อ WWE ตัดสินใจจัดศึกใหญ่ Survivor Series: War Games ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ข่าวลือระหว่าง WWE กับ ซีเอ็ม พังค์ ก็ปะทุขึ้นมาอีกรอบ ชนิดที่ว่าในรายการ RAW กับ Smackdown! สัปดาห์สุดท้ายก่อนเข้าศึก War Games ก็มีแฟนมวยปล้ำที่ชิคาโกตะโกนเรียกชื่อขวัญใจของพวกเขากันยกใหญ่
นอกจากนั้น Living Colour วงอเมริกันร็อกผิวดำชื่อดังแห่งยุค 1980s อยู่ ๆ ก็หยิบเพลง Cult of Personality เพลงที่ดังที่สุดของวงและเป็นเพลงเปิดตัวของ ซีเอ็ม พังค์ มาปัดฝุ่นรีมาสเตอร์ใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ ช่วยจุดกระแสข่าวลือว่า ซีเอ็ม พังค์ จะมาปรากฏตัวที่ War Games ซึ่งในที่สุดเขาก็มาจริง ๆ ท่ามกลางเสียงกู่ร้องดีใจของแฟนเจ้าบ้าน
แม้แฟนมวยปล้ำบางส่วนและนักมวยปล้ำในสมาคมหลายคนไม่ยินดีกับการกลับมาของเขาก็ตาม...
การกลับมาแบบ "Top Secret"
แน่นอนว่าแฟนมวยปล้ำย่อมมีคำถามต่อ WWE ว่าไปพาตัว ซีเอ็ม พังค์ กลับมาได้อย่างไร ?
PWInsider สื่อมวยปล้ำชั้นนำ รายงานว่าหลังจาก ซีเอ็ม พังค์ แยกทางกับ AEW สมาคมมวยปล้ำคู่แข่งของ WWE ตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 บอร์ดบริหารของ WWE เริ่มพูดถึงการดึง ซีเอ็ม พังค์ กลับมาที่สมาคม แต่เป็นเพียงเรื่องพูดคุยกันภายในที่ไม่ได้จริงจังมาก ทว่าย้อนไปเมื่อเดือนเมษายน มีข่าวรั่วไหลว่า ซีเอ็ม พังค์ แวะมาที่หลังฉากของรายการ RAW และได้กระทบไหล่กับเพื่อนเก่าหลายคน
แว่วว่าตอนแวะมาหลังฉากรายการ RAW ครั้งนั้น ซีเอ็ม พังค์ มีโอกาสพูดคุยและเคลียร์ใจกับ ทริปเปิล เอช อดีตนักมวยปล้ำตัวโกงในตำนาน ที่นั่งเก้าอี้หัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟ คนที่เขาเคยมีปัญหาด้วยในอดีต
ตัดภาพมาที่ 1 สัปดาห์ก่อน War Games ซีเอ็ม พังค์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นิค ข่าน ซีอีโอของ WWE และ ทริปเปิล เอช อีกรอบเรื่องการคัมแบ็กแบบลับ ๆ การเจรจาสำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ WWE จะเดินแผนนำ ซีเอ็ม พังค์ กลับมาพบกับผู้ชม โดยก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนให้ ซีเอ็ม พังค์ ปรากฏตัวในศึกใหญ่ Royal Rumble เดือนมกราคม ปี 2024 ในฐานะ 1 ใน 30 ผู้เข้าแข่งขันลุ้นตั๋วชิงแชมป์โลกใน WrestleMania เดือนเมษายน ปีเดียวกัน แต่ WWE คิดว่ากว่าจะถึงวันแข่ง Royal Rumble ข่าวอาจรั่วไหลบนอินเทอร์เน็ต จนทำให้การกลับมาของเขาไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์หรือสร้างอิมแพ็กต์มหาศาลต่อคนดูอีกแล้ว
ดังนั้น ทริปเปิล เอช จึงเลือกว่า ไหน ๆ War Games ก็จัดที่ชิคาโกบ้านเกิดของ ซีเอ็ม พังค์ แถมสนามออลสเตท อารีนา ที่ใช้แข่งขันก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านเขา ขับรถมา 20 นาทีก็ถึง ดังนั้น ทริปเปิล เอช เลยให้ ซีเอ็ม พังค์ กลับมาที่ศึก War Games เสียเลยในฐานะตัวละครลับก่อนปิดรายการ โดยช่วงท้ายของคู่เอก เขาสั่งเคลียร์พื้นที่หลังฉากให้ทีมงานออกไป เพื่อให้ ซีเอ็ม พังค์ เข้ามาโดยไม่มีใครเห็น พร้อมแจ้งให้ทีมมอนิเตอร์ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนเตรียมเพลง Cult of Personality กับโลโก้ของ ซีเอ็ม พังค์ รอไว้เพื่อเปิดใช้งาน
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่ ทริปเปิล เอช วางไว้ เมื่อการคัมแบ็กของชายผู้มีสมญานาม "Best in the World" ใน War Games สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการมวยปล้ำ โลกโซเชียลมีเดียต่างลุกเป็นไฟ ชนิดที่ว่าชัยชนะในกรงเหล็กของทีมพระเอก และการกลับมาของ แรนดี้ ออร์ตัน ถูก ซีเอ็ม พังค์ ขโมยซีนไปหมดสิ้น
แล้วเมื่อโชว์จบลง WWE ก็นำเสื้อยืดลายใหม่ของ ซีเอ็ม พังค์ มาวางจำหน่ายในช็อปออนไลน์ของตัวเองทันที แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมการไว้หมดเป็นที่เรียบร้อย และรู้กันแค่ผู้บริหารระดับสูงแค่ 2-3 คนเท่านั้น ส่วนนักมวยปล้ำในสมาคมกับทีมงานหลังฉากคนอื่นไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย และพวกเขาต้องมาเจอเซอร์ไพรส์พร้อมคนดูในวันนั้น
เมื่อนรกเย็นลง
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ระหว่าง WWE กับ ซีเอ็ม พังค์ แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จภายใต้ชายคาของ WWE ในช่วงปี 2005-2014 คว้าแชมป์โลก WWE 2 สมัย, แชมป์โลกเฮฟวี่เวต 3 สมัย, แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 1 สมัย, แชมป์แท็กทีม 1 สมัย, แชมป์ ECW 1 สมัย แถมเป็นเจ้าของกระเป๋า Money in the Bank 2 สมัยติด (2008-2009) เรียกได้ว่าคว้ามาแล้วแทบทุกสิ่งกับ WWE
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายกลับไม่สู้ดีนัก ซีเอ็ม พังค์ รู้สึกว่าตลอดเวลาที่อยู่กับ WWE เขาไม่ได้รับการผลักดันจากสมาคมเท่าที่ควร เขาไม่ใช่คนสำคัญอันดับ 1 ของสมาคมแบบ จอห์น ซีน่า, ทริปเปิล เอช, บาติสต้า หรือ เดอะ ร็อก ที่ WWE เอาอกเอาใจเป็นพิเศษ แม้ได้ถือแชมป์โลกแต่ก็ไม่เคยได้เป็นคู่เอกใน WrestleMania อย่างที่ใฝ่ฝันปรารถนา โดยเฉพาะ WrestleMania ปี 2012 ที่ WWE ดันให้การปะทะกันของ จอห์น ซีน่า vs. เดอะ ร็อก เป็นคู่เอก ส่วนแมตช์ป้องกันแชมป์โลกระหว่างเขากับ คริส เจอริโก้ กลายเป็นแค่คู่รอง ทำเอา ซีเอ็ม พังค์ ผิดหวังมากถึงจะป้องกันแชมป์ไว้ได้ก็ตาม
เมื่อแบกความคับข้องใจที่คิดว่า WWE ไม่เห็นคุณค่าในตัวเขา แถมยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ทริปเปิล เอช ผู้เป็นอริกันทั้งในจอและนอกจอสมัยที่ HHH ยังปล้ำอยู่ และยังถูกจับให้เจอกันอีกใน WrestleMania ปี 2014 จนในที่สุด ซีเอ็ม พังค์ จึงตัดสินใจวอล์กเอาต์ออกจากสมาคมในเดือนมกราคม 2014 และไม่กลับมาที่ WWE อีกเลย ส่วนแมตช์ใน WrestleMania ปีนั้นก็เปลี่ยนให้ แดเนียล ไบรอัน สู้กับ HHH จนคว้าชัยชนะและสิทธิ์ชิงแชมป์โลก 3 เส้ากับ บาติสต้า และ แรนดี้ ออร์ตัน ก่อนนำมาสู่การคว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวตแบบสะใจคนดู และสร้าง YES! Moment ในตำนานขึ้นมา
กระนั้นเมื่อกาลเวลาผันผ่านไป 9 ปี เส้นทางชีวิตของ ซีเอ็ม พังค์ กับ WWE ก็มาบรรจบกันอีกครั้ง แถมหนึ่งในแกนนำที่พา พังค์ กลับมาที่ WWE ก็เป็น ทริปเปิล เอช ที่เปลี่ยนบทบาทตัวเองมาเป็นหัวหน้าทีมครีเอทีฟโชว์ของ WWE เขาพูดในงานแถลงข่าวหลัง War Games โดยเชื่อมั่นว่านี่คือเวลาอันเหมาะสมที่ ซีเอ็ม พังค์ จะกลับสู่บ้านหลังเดิม ในวันที่ต่างคนกลายเป็นผู้ใหญ่ และทิศทางการทำงานของบริษัทเปลี่ยนไปจากสมัยนั้นแล้ว
ทริปเปิล เอช เอ่ยว่า "พูดถึง ซีเอ็ม พังค์ ไม่ว่าคุณจะพูดถึงเขาอย่างไร ชอบหรือเกลียดเขา มีเรื่องดีหรือเรื่องแย่อะไรต่าง ๆ ที่คนพูดถึงเขาตลอดเวลา เขาคือแม่เหล็ก เขาคือบทสนทนาของผู้คน มันยากที่จะมองข้ามเรื่องนี้ สำหรับผม ถ้านี่คือสิ่งที่แฟน ๆ ต้องการ WWE ก็ต้องการเช่นกัน งั้นเรามาลุยกันเลย แล้วค่อยมาคิดกันต่อว่าจะทำอย่างไรถัดไป"
"เวลามันผ่านมานานเกือบ 10 ปีแล้ว หากคุณยังเป็นคนเดียวกับเมื่อ 10 ปีก่อนมันคงแย่มาก ทุกคนโตขึ้น ทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลง ผมเปลี่ยนไปแล้ว เขาเปลี่ยนไปแล้ว บริษัทนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน เราทุกคนกลับมาอยู่ที่จุดเริ่มต้นแบบเดียวกัน จะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ ผมว่ามันน่าสนใจ มันอาจฟังดูเฝือ แต่อยากบอกว่าผมและทุกคนตื่นเต้นที่เขากลับมาที่ WWE บ้านที่เขาคู่ควร"
หลักฐานที่ยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายกลับมาจูบปากคืนดีกันเรียบร้อยคือรูปคู่ที่ ทริปเปิล เอช กับ ซีเอ็ม พังค์ ถ่ายด้วยกันหลังจบศึกใหญ่ War Games แถม ทริปเปิล เอช ยังเป็นคนโพสต์รูปนี้ลงโซเชียลมีเดียอีกต่างหาก พร้อมแคปชั่นว่า "มีอากาศหนาวเกิดขึ้นในนรกโลกันตร์"
ตัวปัญหาที่เพื่อนไม่ต้อนรับ
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต้อนรับ ซีเอ็ม พังค์ กลับ WWE เพราะเป็นที่ร่ำลือกันว่าเขาคือ "นักมวยปล้ำเจ้าปัญหา" จากพฤติกรรมไม่พึงประสงค์สมัยอยู่กับ AEW สมาคมมวยปล้ำคู่แข่งของ WWE ไล่ตั้งแต่พูดด่า "แฮงแมน" อดัม เพจ คู่อริในชีวิตจริงแบบนอกบทออกทีวี, มีปัญหากับแก๊ง The Elite กลุ่มมวยปล้ำรุ่นใหญ่ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและเสาหลักของ AEW, ทำตัวเป็นกูรูสั่งสอนนักมวยปล้ำรุ่นน้องหลังฉาก รวมถึงมีเรื่องวิวาทกับ แจ็ค เพอร์รี่ ในศึกใหญ่ ALL IN LONDON จนทำให้ โทนี่ ข่าน ประธาน AEW ที่แม้จะรักและเป็นแฟนคลับของ ซีเอ็ม พังค์ แค่ไหนก็ต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญาไล่เขาออก
ส่วนฝั่งของ WWE ก็ไม่น้อยหน้า โดยในอดีตเขาเคยมีปัญหากับ วินซ์ แม็คแมน อดีตเจ้าของ WWE ที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเขา, เคยด่า ทริปเปิล เอช ในที่ประชุมหลังฉากว่ามาเกาะความดังของเขาตอนเป็นแชมป์โลก ก่อนจะหมดความอดทนวอล์กเอาต์ออกมาดื้อ ๆ แล้วไม่กลับไปที่ WWE อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2014 หรือกระทั่งโพสต์ทวิตเตอร์แซะ เดอะ มิซ อดีตเพื่อนรักที่ไปรับงานอีเวนต์ของ WWE ที่ซาอุดีอาระเบีย ทำนองว่าผิดหวังที่ยอมก้มหัวให้กับเงินเปื้อนเลือดจากซาอุฯ จนทำให้โดนคนฝั่ง WWE โกรธเคืองอย่างหนัก
วีรกรรมของ ซีเอ็ม พังค์ ทั้งในอดีตและปัจจุบันกระฉ่อนไปทั่ววงการมวยปล้ำจนเป็นที่เอือมระอาของผู้คนที่อยู่ในวงการ รวมถึงเพื่อนร่วมอาชีพที่ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย จากนักมวยปล้ำฝีมือดีที่แฟน ๆ ชื่นชอบ กลายเป็นตัวตลกที่ถูกนำมาล้อกันบนโลกออนไลน์ กระทั่งในที่สุด ซีเอ็ม พังค์ ก็รีเทิร์นสังเวียนมวยปล้ำอีกรอบอย่างที่เห็นกันหลังจบศึก Survivor Series : War Games ที่แฟนมวยปล้ำในชิคาโกอ้าแขนรับเขากลับบ้านด้วยความยินดี
แต่ไม่ใช่กับนักมวยปล้ำ WWE ที่ยังอยู่บนสังเวียน โดยเฉพาะ เซธ โรลลินส์ แชมป์โลกเฮฟวี่เวต ที่ถึงกับหัวเสียด่ากราดและแจกนิ้วกลางใส่ ซีเอ็ม พังค์ นอกจอทีวีจนผู้บรรยายอย่าง คอรีย์ เกรฟส์ กับ ไมเคิล โคล ต้องเข้ามาห้าม ก่อนจะพุ่งไปหา ทริปเปิล เอช เพื่อขอคำอธิบาย ทว่าก็ไม่ได้รับคำตอบก่อนโดนจับแยกตัวออกไป ขณะที่ รีอา ริปลีย์ แชมป์โลกหญิงก็ถูกจับภาพได้ว่ายกนิ้วกลางให้ ซีเอ็ม พังค์ แถมยังทำท่าล้อเลียนนักมวยปล้ำเจ้าถิ่น
แฟนมวยปล้ำจำนวนมากโฟกัสไปที่ เซธ โรลลินส์ เป็นพิเศษ ด้วยความสงสัยว่ารีแอคชั่นที่เขามีต่อ ซีเอ็ม พังค์ หลังจบ War Games คือ "เรื่องจริง" หรือ "บทที่ถูกเขียนไว้" เพราะย้อนไปก่อนหน้านั้น เซธ โรลลินส์ รับรู้วีรกรรมฉาวของชายผู้มีชื่อจริงว่า ฟิล บรูคส์ มาตลอด และเคยให้สัมภาษณ์โจมตี Best in the World ทำนองว่าไม่อยากร่วมงานด้วย และเปรียบเขาดั่งมะเร็งร้ายแห่งวงการมวยปล้ำ
"โอ้ ฟิลลี่ ฟิล ไปไกล ๆ เลย มึงคือมะเร็งร้าย จงออกไปจากชีวิตกูตลอดกาล กูไม่ชอบมึง มึงมันไอ้โง่ นี่เราเพิ่งรู้กันเหรอ ผมไม่อยากให้มันกลับมา ให้มันไปทำอย่างอื่นเหอะ บ๊ายบาย แล้วเจอกันใหม่" เซธ โรลลินส์ พูดออกสื่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ซีเอ็ม พังค์ รีเทิร์น WWE ชนิดที่ เซธ โรลลินส์ ไม่รู้ตัว และไม่อาจคัดค้านปฏิเสธไอเดียนี้กับ ทริปเปิล เอช ได้ เขาจึงต้องเล่นไปตามเกมของบริษัท โดยออกมาพูดเกี่ยวกับอีกฝ่ายหลังจบ War Games ต่อหน้าแฟน ๆ ที่ส่งเสียงเรียกชื่อ ซีเอ็ม พังค์ ดังสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งอยากเห็นทั้งสองคนนี้สู้กัน
"พวกนายรู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ดังนั้นฉันจะไม่มัวมาเสียเวลาชีวิตเพื่อพูดถึงคนที่มันจากที่นี่ไปเมื่อ 8 ปีก่อน คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มันกำลังจะทำลายที่นี่ (WWE) ดังนั้นฉันจะใช้เวลาและชีวิตของฉันพูดถึงคนที่อยู่ที่นี่มาตลอด นั่นคือทุกคนที่อยู่เบื้องหลังในการทำให้ WWE ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้" เซธ โรลลินส์ กล่าว และเขาก็ตอกย้ำความตั้งใจนี้อีกครั้งในศึก RAW วันที่ 27 พฤศจิกายน 2023 ว่าเขาจะไม่เสียเวลาพูดถึง ซีเอ็ม พังค์ จอมเสแสร้งอีกต่อไป
ด้านของ โคดี้ โรดส์ ท็อปสตาร์ฝ่ายธรรมะอีกคนของ WWE ถึงแม้ไม่แสดงออกชัดเจนว่ายินดีหรือไม่กับการมาของ ซีเอ็ม พังค์ แต่เขาก็ให้ความเห็นแบบกลาง ๆ เชิงเข้าใจว่า WWE คงมองเห็นประโยชน์จากตัวของ ซีเอ็ม พังค์ ในอนาคตจึงไม่รู้สึกติดใจอะไร "ถ้าเขาสามารถช่วยทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ให้ดีขึ้นได้ ก็มาเลย ยินดีต้อนรับ"
ส่วนนักมวยปล้ำคนอื่น ๆ แม้มีรายงานว่าจะมีทั้งคนที่ยินดีและไม่โอเคกับ ซีเอ็ม พังค์ แต่หลายคนก็รู้สึกผิดหวังกับ ทริปเปิล เอช ที่นำตัวนักมวยปล้ำเจ้าปัญหามาที่ WWE แม้ปกติสมาคมแห่งนี้จะชอบทำเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่เป็นประจำ แต่ก็เป็นดาบสองคมที่อาจทำให้นักมวยปล้ำและทีมงานหลังฉากเริ่มหมดหมดความเชื่อมั่นในตัวเจ้านายอย่าง ทริปเปิล เอช ในอนาคต
ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่หลังคัมแบ็ก
ถึงจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบทั้งจากคนในและนอกสนามสำหรับ ซีเอ็ม พังค์ แต่ WWE ก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจบ War Games กลายเป็นที่พูดถึงแบบถล่มทลาย มันเขย่าวงการมวยปล้ำทั้งโลก โดยเฉพาะบรรดาคลิปวิดีโอการกลับมาของ ซีเอ็ม พังค์ ที่ WWE โพสต์ลงตามโซเชียลมีเดีย YouTube, TikTok และ Twitter (หรือ X) ทำยอดวิวรวมกันไปมากกว่า 71 ล้านวิวภายใน 2 วัน เอาแค่ทวิตเตอร์ก็มียอดไป 24 ล้านวิว เยอะที่สุดนับตั้งแต่ WWE โพสต์วิดีโอลงบนแพลตฟอร์มนี้
ขณะที่ยอดขายตั๋วใน RAW หลังจบศึก War Games ที่สนามบริดจ์สโตน อารีนา เมืองแนชวิลล์ ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พอมีการประกาศว่า ซีเอ็ม พังค์ จะมาปรากฏตัวในรายการ ก็ทำยอดขายไปถึง 9,889 ที่นั่ง เกือบเต็มความจุหลัก 11,000 ที่นั่ง และมีแฟน ๆ มาให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นถึงขอบสนามมากมาย (แม้มีแฟนบางส่วนชูป้ายต่อต้านเขาก็ตาม)
นอกจากนี้ชื่อของ ซีเอ็ม พังค์ และ WWE กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่แฟนมวยปล้ำพูดถึงกันมากบนโลกอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทั้งชื่นชมยินดีหรือด่าทอ กลายเป็นหัวข้อ Talk of the Town ของโลกมวยปล้ำและกลบข่าวคราวของค่ายมวยปล้ำคู่แข่งแบรนด์ต่าง ๆ ในเวลานั้นไปหมดสิ้น ส่วนเพลงเปิดตัว Cult of Personality ของวง Living Colour ก็มียอดคนฟังทางสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้นเพราะการมาของ ซีเอ็ม พังค์
แน่นอนว่า ทริปเปิล เอช และทีมบริหารของ WWE ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าดีลของ ซีเอ็ม พังค์ ที่รายงานว่าเซ็นสัญญากันแบบหลายปี คุ้มค่า มีแต่ได้กับได้ และน่าจะสร้างผลประโยชน์ให้กับสมาคมได้มหาศาล ต่อให้เขามีอดีตที่ไม่โสภากันเท่าไรก็ตาม
และด้วยความที่เป็นสมาคมใหญ่ซึ่งเก๋าเกมในเรื่องการบริหารธุรกิจ และเป็นเบอร์ 1 ของวงการมวยปล้ำสไตล์ "สปอร์ต เอนเตอร์เทน" อย่างไม่มีใครโต้แย้ง WWE เชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของ ซีเอ็ม พังค์ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางได้ และกล้าพอที่จะตัดหางปล่อยวัดทันทีโดยไม่รู้สึกเสียดายหากก่อเรื่องหลังฉากอีก
ได้โอกาสล้างแค้น AEW
อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องในทางอ้อมก็คือ WWE หวังใช้การกลับมาของ ซีเอ็ม พังค์ ชำระแค้นที่มีต่อ AEW ค่ายมวยปล้ำคู่แข่งที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้แก่พวกเขาในอดีต
เรื่องดังกล่าวต้องย้อนความไปถึงตอนที่ AEW เตรียมที่จะทำโชว์รายสัปดาห์ชื่อ AEW Dynamite ออกอากาศทางช่อง TNT ทุกคืนวันพุธ โดยเริ่มออกสตาร์ทโชว์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2019 กับจุดมุ่งหมาย เพื่อผลิตโชว์มวยปล้ำคุณภาพออกมาแข่งขันกับทาง WWE สมาคมที่ครองอันดับ 1 ของวงการมานาน
ช่วงเวลานั้น WWE กำลังผูกใจเจ็บที่เห็น AEW คว้าตัวนักมวยปล้ำฝีมือดีของ WWE ไปหลายคน เช่น จอน ม็อกซ์ลีย์ (หรือ ดีน แอมโบรส สมัยอยู่ WWE) หรือ คริส เจอริโก้ สุดยอดนักมวยปล้ำในตำนานที่หมดสัญญาแล้วย้ายออกมาเป็นสตาร์ของ AEW พร้อมช่วยดูงานหลังบ้านให้ด้วย รวมถึงนักมวยปล้ำดาวดังคนอื่นที่ WWE เล็งไว้แต่ถูก AEW ปาดหน้าเอาตัวไป
นั่นเลยทำให้ WWE ตัดสินใจดัน NXT ค่ายพัฒนาทักษะนักมวยปล้ำรุ่นใหม่ ที่รีแบรนด์ตัวเองเป็นค่ายมวยปล้ำลำดับ 3 ของสมาคม (ต่อจาก RAW และ Smackdown!) ที่อัดแน่นด้วยโชว์มวยปล้ำคุณภาพที่มีแฟนมวยปล้ำสายทรูติดตามดูผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากมาย ภายใต้การดูแลของ ทริปเปิล เอช โดยเขาผลักดันให้ NXT กลายเป็นโชว์รายสัปดาห์ ฉายทุกคืนวันพุธทางช่อง USA Network เวลาเดียวกับ AEW Dynamite เป๊ะ ๆ โดย NXT ชิงโอกาสฉายก่อน Dynamite ในวันที่ 18 กันยายน 2019 เพื่อเรียกคะแนนความนิยมและโกยฐานแฟนมวยปล้ำตัดหน้าคู่แข่ง ก่อนที่ AEW Dynamite จะออกอากาศตามกันมาในเดือนถัดมา
การต่อสู้ระหว่าง WWE NXT กับ AEW Dynamite ในเวลานั้นถูกกล่าวขานว่าเป็น "สงครามคืนวันพุธ" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างงัดกลเม็ดไอเดียต่าง ๆ รวมถึงออกแบบโชว์มวยปล้ำคุณภาพมาซัดใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่การต่อสู้ระหว่างสองค่ายจบลงเพียงแค่เวลา 2 ปี เมื่อ AEW Dynamite เอาชนะ WWE NXT ไปได้ ด้วยเรตติ้งและคุณภาพที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ NXT ของ ทริปเปิล เอช ตัดสินใจ "ทิ้งตัวตนอันแข็งแกร่ง" จากเดิมที่ผลิตแมตช์มวยปล้ำคุณภาพจนชนะใจแฟนมวยปล้ำสายทรู เปลี่ยนแนวทางมาเป็น "สปอร์ต เอนเตอร์เทน" ตามรอย RAW กับ Smackdown! ทำโชว์มวยปล้ำผสมความบันเทิงที่ได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง ซ้ำร้ายยังเลือกผลักดันนักมวยปล้ำฝีมือไม่เอาไหนบางคนให้ขึ้นไปคว้าแชมป์ NXT แทนที่จะให้คนเก่งฝีมือดีจริง ๆ เป็นแชมป์ สิ่งเหล่านี้ทำให้แฟนของ NXT รู้สึกผิดหวัง ก่อนหันไปติดตาม AEW Dynamite ที่รักษาแนวทางของตัวเองอย่างเหนียวแน่น นั่นคือทำโชว์มวยปล้ำคุณภาพไม่เคยเปลี่ยน จนในที่สุด AEW ก็เป็นผู้ชนะ
ส่วน NXT ของ ทริปเปิล เอช ไม่เพียงแต่ถูกแปะป้ายว่าเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ยังถูก วินซ์ แม็คแมน บิ๊กบอสแห่ง WWE เวลานั้นสั่งรีแบรนด์กลับมาเป็นค่ายพัฒนาทักษะดาวรุ่งตามเดิม และตัว ทริปเปิล เอช ยังสูญเสียอำนาจการบริหารงานหลังฉากไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและเคืองแค้น AEW มาโดยตลอด เหมือนเป็นตราบาปสุดด่างพร้อยในชีวิตการทำงาน
ไม่เพียงเท่านั้น AEW ของ โทนี่ ข่าน นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงผู้เป็นซีอีโอของค่าย ยังตอกย้ำชัยชนะของพวกเขาให้อยู่เหนือ WWE ไปอีกขั้นด้วยการดึง ซีเอ็ม พังค์ อดีตซูเปอร์สตาร์ของ WWE มาร่วมสมาคมในเดือนสิงหาคม ปี 2021 สิ่งนี้ยิ่งทำให้ WWE และ ทริปเปิล เอช เจ็บแค้นขึ้นไปอีก เพราะการมาของ ซีเอ็ม พังค์ ครานั้นทำให้เรตติ้งของ AEW พุ่งกระฉูดจนขึ้นมาต่อกรกับสมาคมยักษ์ใหญ่ที่ผูกขาดวงการมวยปล้ำมานานอย่าง WWE อย่างสมศักดิ์ศรี
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้ว AEW ต้องแยกทางกับ ซีเอ็ม พังค์ ถึงสองครั้งในปี 2022 (แบบชั่วคราว) และ 2023 (แบบถาวร) เพราะพฤติกรรมอื้อฉาวหลังฉากของเขา แม้ว่า โทนี่ ข่าน ซีอีโอ AEW จะเป็นแฟนคลับและรัก ซีเอ็ม พังค์ ถึงขั้นเป็นคนที่พาเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง แต่เมื่ออีกฝ่ายทำตัวห่วยแตกจนนักมวยปล้ำ AEW หลายคนส่งเสียงต่อต้านไม่ต้องการร่วมงานด้วย โทนี่ ข่าน ก็ต้องกัดฟันไล่เขาออกไป
ไม่เพียงแค่สูญเสีย ซีเอ็ม พังค์ แต่ AEW ช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ยังสูญเสียฐานแฟนคลับของตัวเอง เมื่อพวกเขาทำรายการโชว์ต่าง ๆ แย่ลง แมตช์การปล้ำและการสร้างเนื้อเรื่องของพวกเขาดูด้อยคุณภาพจนถูกคนดูวิจารณ์หนัก สวนทางกับฝั่ง WWE ที่เรตติ้งกลับมาดีวันดีคืนในช่วงปี 2022-2023 ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากขึ้น และแมตช์การปล้ำก็มีสีสันหวือหวามากขึ้น ภายใต้การดูแลของ ทริปเปิล เอช
นั่นจึงเป็นโอกาสทองที่ WWE และ ทริปเปิล เอช จะได้เอาคืนศัตรูคู่อาฆาตไปในตัว ซึ่งในที่สุด WWE ก็คว้าตัว ซีเอ็ม พังค์ กลับมาสู่บ้านหลังเดิมได้จริง ๆ และต่อให้ไม่บอกออกสื่อ แฟนมวยปล้ำก็คงรู้ดีว่า ทริปเปิล เอช ตั้งใจใช้ ซีเอ็ม พังค์ และเรตติ้งของ WWE ที่กลับมาพุ่งแรงอีกระลอกบดขยี้ AEW ที่กำลังเป๋ให้สิ้นซาก หรือหากไม่ล่มสลายก็ขอให้เสียความนิยมแบบที่ไม่สามารถต่อกรกับ WWE ได้อีกต่อไป
The Visionary VS. Best in the World
สำหรับ WWE หลังได้ตัว ซีเอ็ม พังค์ กลับมาแล้ว พวกเขาเริ่มวางแผนให้เขาได้มีส่วนร่วมกับโชว์ต่าง ๆ ของสมาคม ไม่ว่าเป็นโชว์รายสัปดาห์อย่าง RAW (ซึ่งจะมาถี่แค่ไหนต้องรอติดตาม) หรือศึกใหญ่ของแต่ละเดือน ซึ่งขั้นต้นจะมีการประเมินสภาพร่างกายและศักยภาพของ ซีเอ็ม พังค์ ในวัย 45 ปี ก่อนว่า WWE สามารถใช้งานเขาในรูปแบบไหนได้บ้าง
แล้วก็ดูเหมือน WWE จะรู้ว่าควรใช้งาน ซีเอ็ม พังค์ แบบใด เมื่อในรายการ RAW หลังจบ War Games พวกเขาให้ ซีเอ็ม พังค์ ปรากฏตัวออกมาพูดขอบคุณคนดู ก่อนประกาศเจตนารมย์บนเวทีตามสไตล์นักมวยปล้ำแบดแอสที่เข้ากับบุคลิกของตัวเองอย่างยิ่ง "ในที่สุด The Best in the World กลับมาแล้ว กลับมายืนตรงกลางเวทีนี้ บอกเลยว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาเพื่อน แต่มาหาเงินโว้ย"
ทั้งนี้ สิ่งที่แฟนมวยปล้ำคาดการณ์และอยากเห็นที่สุดคือการผลักดันให้ ซีเอ็ม พังค์ โคจรมาเจอกับ เซธ โรลลินส์ ในศึก WrestleMania ในวันที่ 6-7 เมษายน ปี 2024 ไม่ว่าจะเป็นแมตช์ชิงแชมป์โลกหรือแมตช์เดี่ยวตัวต่อตัวแบบไม่มีอะไรเดิมพัน เพื่อจะได้สานต่อเรื่องราวความบาดหมางในชีวิตจริง แล้วมาเคลียร์กันให้จบสิ้นในศึกใหญ่ครั้งที่ 40 ณ ฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ซีเอ็ม พังค์ จะได้ปล้ำเป็นคู่เอกของรายการไม่คืนใดก็คืนหนึ่งของอีเวนต์เสียด้วย
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น มารอดูกันว่า ซีเอ็ม พังค์ จะทำให้ตัวเองกลับมาเป็น "Best in the World" สมกับที่ WWE หยิบยื่นโอกาสให้แก้ตัวอีกครั้งหรือไม่ เพราะต้องยอมรับกันว่านี่คือ "ตั๋วเดินทางเที่ยวสุดท้าย" ที่ ซีเอ็ม พังค์ จะได้โลดแล่นในสมาคมมวยปล้ำซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยเม็ดเงิน อำนาจ สื่อ และโอกาสที่จะกลับมาดังอีกรอบ
ซึ่งหากเขาไม่ก่อเรื่องราวแย่ ๆ อีก นี่คือโอกาสทองฝังเพชรที่ ฟิล บรูคส์ จะได้เก็บเงินก้อนโตครั้งสุดท้ายก่อนรีไทร์ไปแบบสวยงาม ชนิดที่ว่าอนาคตอาจถูกผลักดันเข้าสู่หอเกียรติยศ Hall of Fame ในฐานะตำนานของสมาคมเป็นการล้างมลทินในอดีตไปด้วย
แต่หาก ซีเอ็ม พังค์ ยังเป็นคนเดิมที่ทุกคนรังเกียจ WWE ก็จะกลายเป็นสุสานมวยปล้ำระดับโลกที่จะฝังเขาให้จมดิน ต่อให้มีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็คงไม่มีใครนับถือชื่นชมเขาอีกต่อไปแม้กระทั่งสิ้นลมหายใจ
แหล่งอ้างอิง
https://www.pwinsider.com/article/177673/everything-you-want-to-know-about-the-return-of-cm-punk-to-wwe.html?p=1
https://www.thesportster.com/wwe-cm-punk-deal-last-minute-save-return-royal-rumble/
https://www.thesportster.com/history-of-hatred-between-triple-h-cm-punk/
https://www.fightful.com/wrestling/triple-h-cm-punk-s-return-came-together-quickly-wwe-where-he-belongs
https://www.fightful.com/wrestling/cody-rhodes-cm-punk-s-return-wwe-if-he-can-help-where-we-re-going-come-board
https://www.yahoo.com/entertainment/cm-punk-drama-why-does-143520149.html
https://www.sescoops.com/news/seth-rollins-not-wasting-breath-anyone-tried-tearing-wwe-down