การแข่งขันกีฬาชิงแชมป์โลก หากจะว่าไปแล้วก็คงไม่ต่างอะไรกับละครสัตว์คณะใหญ่ หรือเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินดัง ที่มีการจัด ณ หลายสถานที่ และต้องมีการขนส่งสิ่งของที่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องชนิดสัปดาห์ต่อสัปดาห์
มอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP ก็เช่นกัน … 5 ทวีป 17 ประเทศ 20 สนาม ระยะทางรวมกว่า 87,000 กิโลเมตร กับอุปกรณ์น้ำหนักรวมกันกว่า 430 ตัน … นี่คือภารกิจสุดหิน ที่สำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของหลายฝ่าย รวมถึงพันธมิตรระดับโลก
ติดตามเรื่องราวภารกิจขนส่งรอบโลกเพื่อแฟนความเร็วของ DHL ในศึก MotoGP ได้ที่ Main Stand
ภารกิจรอบโลก
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทุกวันนี้ มอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP สามารถเรียกได้ว่า "เวิลด์ทัวร์" อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อปฏิทินการแข่งขันในแต่ละฤดูกาล มีการแข่งขันในหลายประเทศ แถมบางประเทศ ยังมีการแข่งมากกว่า 1 สนามเสียด้วย
จากปฏิทินการแข่งขันของฤดูกาล 2023 ... 5 ทวีป 17 ประเทศ 20 สนาม นี่คือการเดินทางระยะทางรวมกว่า 87,000 กิโลเมตรรอบโลก ไม่เพียงเท่านั้น มอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP ยังมีการแข่งขันถึง 3 รุ่น ที่มีทุกสนาม ทั้งรุ่นใหญ่ MotoGP, รุ่นรอง Moto2 และ รุ่นเล็ก Moto3 (ส่วน MotoE มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า การแข่งขันมีเฉพาะในทวีปยุโรป)
นั่นหมายความว่า รถแข่งทุกรุ่นรวมกันมีมากกว่า 50 คัน (ทุกทีมมีรถแข่งสำรอง) เมื่อรวมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งของทีมและฝ่ายจัดการแข่งขันแล้ว เท่ากับว่าในแต่ละสนาม มีการขนส่งสิ่งของทั้งหมดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 350 ตันเลยทีเดียว
พันธมิตรมืออาชีพ
"การขนส่งในการแข่งขัน MotoGP แต่ละสนามนั้น นอกจากจะมีสิ่งของที่ต้องขนส่งมากมายแล้ว ระยะเวลายังถือว่ากระชั้นชิดมากด้วยครับ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละทีมยังต้องได้รับของครบถ้วน ขาดตกบกพร่องไม่ได้ และต้องได้ของโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งขันสนามต่อไป ที่หลายครั้งเกิดขึ้นแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์"
การ์เลส จอร์บา (Carles Jorba) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ (Operations Senior Director) ของ Dorna Sports ผู้ถือลิขสิทธิ์การแข่งขัน MotoGP เปิดเผยแบบเอ็กซ์คลูซีฟต่อทีมงาน Main Stand ถึงความสำคัญในการขนส่งในการแข่งขัน MotoGP
ภารกิจที่นอกจากจะต้องรวดเร็วแล้ว ยังไม่มีที่ว่างให้กับความผิดพลาดเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ MotoGP จะต้องมีพันธมิตรที่ไว้ใจได้เพื่อรับผิดชอบภารกิจการขนส่ง ... DHL บริษัทผู้นำด้านการขนส่ง จึงได้เข้ามาเป็น Official Logistics Partner ของการแข่งขัน MotoGP ทุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 2015
แม้ DHL จะเป็นผู้รับผิดชอบในภารกิจการขนส่งให้กับ MotoGP ที่ในแต่ละสนาม มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องขนถึงราว 800 ตู้คอนเทนเนอร์ และใช้รถบรรทุกถึงราว 40 คัน ทว่าในรายละเอียดระหว่างการแข่งขันรายการต่าง ๆ นั้นก็มีความแตกต่างกันอยู่
"อย่างที่ทราบกันดีครับว่า MotoGP นั้นมีการแข่งขันทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอื่น ๆ เวลาที่มีการแข่งขันในทวีปยุโรป เราจะขนส่งโดยใช้รถบรรทุก แต่เวลาออกไปแข่งต่างทวีปนั้น เราต้องใช้เครื่องบินด้วย ซึ่งต้องใช้เครื่อง Boeing 747 ถึง 4 ลำเพื่อการนี้" การ์เลส กล่าวเสริม
งานที่ต้องแข่งกับเวลา
หากดูโปรแกรมการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2023 อีกครั้ง คุณจะพบว่า มีหลายช่วงเวลาที่มีการแข่งขันแบบ 2 หรือ 3 สัปดาห์ต่อเนื่อง ซึ่งมีการแข่งในทวีปเอเชียกับโอเชียเนียอยู่ในนั้นด้วย
มองแบบใกล้ตัวแฟนความเร็วชาวไทย จากสนาม 15 ของซีซั่นที่ มันดาลิกา อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย ต่อสนาม 16 ที่ ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย และสนาม 17 ที่ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย ทั้ง 3 สนามถูกจัดขึ้นแบบ 3 สัปดาห์ต่อเนื่อง
ภารกิจการขนส่งที่แข่งกับเวลาเช่นนี้ การ์เลส เปิดเผยกับเราว่า ขั้นตอนทุกอย่างต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่การแข่งขันยังไม่เสร็จสิ้น และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายด้วยเช่นกัน
"ในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันแข่งขันจริง แต่ละทีมต้องเริ่มเก็บของลงตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่ง DHL Express ขนส่งข้ามประเทศโดยเครื่องบิน จะเป็นกล่องทรงเฉพาะเลยครับ ตั้งแต่ยังแข่งไม่จบ เก็บของบางส่วนเข้าคิวรอการขนส่งไว้ก่อน พอแข่งจบก็ค่อยแพ็ครถแข่งตามไป บริษัทขนส่งท้องถิ่นที่เราประสานงานไว้จะเข้ามาขนของที่สนามแข่ง ไปส่งที่สนามบิน พร้อมทำเรื่องเคลียร์กับศุลกากร ก่อนโหลดขึ้นเครื่อง 747 และออกเดินทาง ซึ่งเครื่องบินทั้ง 4 ลำจะออกเดินทางไม่พร้อมกัน ลำไหนเต็มก่อน ออกก่อน"
"เมื่อเครื่องบินถึงสนามบินปลายทางแล้ว DHL จะทำเครื่องเคลียร์กับศุลกากร ขนของขึ้นรถบรรทุก เดินทางไปที่สนามแข่ง โดยของทั้งหมดจะต้องถึงที่สนามแข่งรายการต่อไปภายในวันอังคารไม่ก็พุธ เพราะในวันพุธ ทีมแข่งต่าง ๆ จะต้องเริ่มประกอบแพดด็อก (พื้นที่ทำงานในการเซตติ้งและซ่อมรถแข่ง) เพื่อให้พร้อมสำหรับสัปดาห์การแข่งขันที่จะเริ่มรอบฝึกซ้อมในวันศุกร์ครับ"
สู่วิถีรักษ์โลก
แม้การแข่งขันยังดำเนินต่อไป แต่การรักษาสิ่งแวดล้อม ก็เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในเวทีความเร็วอย่าง MotoGP เช่นกัน ซึ่งนอกจากการแข่งขันแล้ว การขนส่งก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง สู่วิถีรักษ์โลกตามไปด้วย ดังที่ การ์เลส บอกกับทีมงาน Main Stand ว่า
"ทุกวันนี้ รถแข่ง MotoGP มีการพัฒนาเชื้อเพลิงแบบยั่งยืน (Sustainable Fuel) สำหรับการแข่งขันแล้ว สำหรับการขนส่งในทวีปยุโรปด้วยรถบรรทุก ทาง DHL ก็เริ่มมีการนำเชื้อเพลิงแบบยั่งยืนมาใช้แล้วเช่นกัน ส่วนการขนส่งทางเครื่องบินนั้น เรามีแผนในการเปลี่ยนเครื่องจาก Boeing 747 เป็น Boeing 777 ที่มีขนาดเล็กและใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 30-40% เมื่อเทียบกับเครื่อง 747"
"การเปลี่ยนเครื่องนั้นเรากำลังจะเริ่มทำแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ จากตอนแรกที่เราใช้เครื่อง 747 4 ลำ ก็เริ่มนำเครื่อง 777 เข้ามาก่อน 1 ลำ เพื่อทดแทนเครื่อง 747 ก่อนเพิ่มจำนวนเครื่อง 777 ลดจำนวนเครื่อง 747 จนครบฟลีท 4 ลำ พร้อมกันนั้น เราก็ได้ร้องขอให้ทีมแข่ง เปลี่ยนกล่องที่ใช้บรรจุรถแข่งและอุปกรณ์ใหม่ เพื่อให้เข้ากับเครื่อง 777 ที่มีขนาดเล็กลง เริ่มจากคลาส Moto2 และ Moto3 ก่อน"
และเมื่อถามว่า เหตุใด DHL ถึงเป็นผู้นำด้านการขนส่งแห่งวงการความเร็ว ที่แม้แต่ MotoGP ยังเลือกใช้ การ์เลส ตอบกับทาง Main Stand ว่า
"เพราะพวกเขาคือเบอร์ 1 ของวงการน่ะสิครับ (หัวเราะ) อันที่จริงแล้ว พวกเขามีเครือข่ายในการขนส่งที่กว้างขวางมาก อีกทั้งยังให้การสนับสนุนกับทางเราอย่างเต็มที่ ซึ่งผมคิดว่า หากไม่ได้พวกเขา การขนส่งในการแข่งขัน MotoGP ที่ถือเป็นงานช้าง คงไม่ราบรื่นขนาดนี้ครับ"