Feature

สืบจากดีลอลวน : การขับเคี่ยวกันระหว่าง จอห์น เฮนรี่ และ ท็อดด์ โบห์ลี ในบทบาทเจ้าของทีมฟุตบอล | Main Stand

ตลาดซื้อขายนักเตะรอบซัมเมอร์ 2023 นี้มีประเด็นที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องอยู่ลุ้นกันเกือบจะทุก ๆ ชั่วโมง โดยเฉพาะ เชลซี และ ลิเวอร์พูล กับการช่วงชิง มอยเซส ไคเซโด้ และ โรเมโอ ลาเวีย 

 

จนกระทั่งแฟนฟุตบอลทุกคนจะรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่านักเตะตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกมทั้งสองรายนี้ตกลงปลงใจมาอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยสิงโตน้ำเงินครามเปิดตัวมิดฟิลด์เอกวาดอร์ไปแล้วด้วยค่าตัวสูงสุดเป็นสถิติของพรีเมียร์ลีก ขณะที่ดาวโรจน์ชาวเบลเยียมคาดว่าจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้

จากประเด็นดังกล่าว นับเป็นทั้งการชิงไหวชิงพริบกันของทั้งสองสโมสร ซึ่งต่างก็มีกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าของลิเวอร์พูล มีกลุ่มทุนเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) นำโดย จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ ขณะที่เชลซี มี ท็อดด์ โบห์ลี ในฐานะประธานและซีอีโอของเอลดริดจ์ อินดัสตรีส์ (Eldridge Industries) เป็นเจ้าของร่วม และที่สำคัญทั้งสองล้วนแต่เป็นเจ้าของทีมเบสบอลอาชีพในบ้านเกิดอีกด้วย

ทั้ง จอห์น เฮนรี่ และ ท็อดด์ โบห์ลี เคยขับเคี่ยวกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ว่าด้วยการดึงตัวนักกีฬามาร่วมทีมของแต่ละคน เฉกเช่นการช่วงชิงไคเซโด้และลาเวียมาก่อนหรือไม่ และปรัชญาการทำทีมกีฬาของทั้งสองคนเป็นแบบไหน

มาติดตามไปพร้อม ๆ กันได้ที่ Main Stand

 

จากเจ้าของทีมกีฬาอเมริกา สู่เจ้าของทีมฟุตบอลอังกฤษ

ทั้ง จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ ท็อดด์ โบห์ลี ต่างก็เป็นทั้งเจ้าของและเจ้าของร่วมทีมกีฬาหลาย ๆ ชนิดทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งจุดเริ่มต้นของทั้งสองคนมาจากความชื่นชอบในกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ หนึ่งในนั้นก็คือ เบสบอล

ในรายของ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ ซึ่งเติบโตในตระกูลที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ด้วยการที่เขาเป็นคนที่มีหัวการค้าคนหนึ่งที่รู้เรื่องการลงทุนและสนใจในเรื่องการซื้อขาย รวมถึงเรื่องการตลาดสินค้าทางการเกษตร

ที่สุดแล้วเขาได้นำจุดเด่นของตัวเองมาผนวกรวมกับความสนใจในกีฬาเริ่มหันมาลงทุนและทำธุรกิจของตัวเองเรื่อยมา ก่อนที่ชื่อเสียงของจอห์นจะก้าวขึ้นมาประดับวงการเบสบอลแดนพญาอินทรีอย่างเต็มตัวในปี 2002 เมื่อบริษัท NESV หรือชื่อใหม่ในเวลาต่อมาว่า “เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG)” ซึ่งเขาเป็นผู้บริหาร เข้าเทคโอเวอร์ทีมเบสบอลในระดับเมเจอร์ลีก (MLB) อย่าง บอสตัน เรด ซอกส์

กระทั่งช่วงปี 2010 จอห์น เฮนรี่ ตัดสินใจรับความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิต เมื่อเขาตัดสินใจซื้อ ลิเวอร์พูล สโมสรกีฬาที่บ้านเกิดเขาเรียกว่า ซอคเกอร์ แม้จะไม่มีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับทีมมากนัก แต่ทิศทางของทัพหงส์แดงในเวลานั้นเขามองว่าคล้ายคลึงกับสถานการณ์แรก ๆ สมัยที่เขาซื้อทีมเรด ซอกส์

ณ ขณะนั้น ลิเวอร์พูลเป็นหนี้ก้อนใหญ่วงเงิน 379 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ผู้ถือหุ้นเดิม แน่นอนว่าเหล่า เดอะ ค็อป ต่างก็พร้อมใจกันบอกว่าทั้งคู่เปรียบเสมือน “ปลิง” ที่เข้ามาสูดเลือดเนื้อสโมสรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าเพื่อพัฒนาทีม

ท้ายสุดผู้บริหารจาก FSG ตกลงปลงใจว่าจะซื้อทีมหงส์แดง โดยมี จอห์น เฮนรี่ และ ทอม เวอร์เนอร์ เป็นเจ้าของมาจนถึงปัจจุบัน

ทางฝั่งของ ท็อดด์ โบห์ลี ที่หลงใหลในกีฬามาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจใด ๆ เขาเคยเป็นนักมวยปล้ำสมัยเยาวชน ติดตามกีฬาแดนมะกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงรู้จักสโมสรฟุตบอลเชลซีด้วยจากสมัยที่เคยไปร่ำเรียนในวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE)

โอกาสชิมลางงานผู้บริหารในวงการกีฬาหนแรกของโบห์ลีเกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อเขาไปจับมือกับ มาร์ค วอลเตอร์ ร่วมกันซื้อทีมลอสแอนเจลิส ดอดจ์เจอร์ส ทีมระดับเมเจอร์ลีกเบสบอล โดยโบห์ลีถือหุ้นทีม 20%

ดังที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ การรู้จักฟุตบอลอังกฤษอย่างดีและรู้จักทีมสิงโตน้ำเงินครามมาก่อนทำให้เขาเคยยื่นข้อเสนอซื้อเชลซีมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2019 เพียงแต่ตอนนั้น โรมัน อบราโมวิช ยังไม่พอใจกับเม็ดเงินที่โบห์ลีเสนอมา

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ ท็อดด์ โบห์ลี หยุดความคิดที่จะซื้อทีมฟุตบอลดังแห่งลอนดอนตะวันตกแต่อย่างใด ที่สุดแล้วในช่วงเดือนพฤษภาคม 2022 ข้อเสนอที่เขาและหุ้นส่วนเสนอซื้อทีมด้วยกันก็ปิดดีลได้สำเร็จ 

จนกลายเป็นว่าเชลซีคืออีกหนึ่งทีมกีฬาที่มีโบห์ลีเป็นเจ้าของต่อจากทีมกีฬาอื่น ๆ ในบ้านเกิด ไม่ว่าจะเป็นแอลเอ ดอดจ์เจอร์ส, แอลเอ เลเกอร์ส และ แอลเอ สปาร์ค (ทีมบาสเกตบอลหญิง)

 

จอห์น เฮนรี่ - มันนี่บอล

การห้ำหั่นกันในการคว้าตัวนักกีฬามาสู่ทีมตัวเองของทั้ง จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ ท็อดด์ โบห์ลี ในวงการเมเจอร์ลีก เบสบอล ไม่ได้เกิดขึ้นกระหึ่มวงการสักเท่าไร 

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งเป็นเพราะ “ปรัชญา” และ “แนวทาง” ของทั้งสองคนค่อนข้างจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในรายของ จอห์น เฮนรี่ เป็นคนที่เชื่อมั่นในปรัชญาการทำทีมที่เรียกว่า “มันนี่บอล (Moneyball)” ซึ่งเป็นแนวทางการทำทีมเบสบอล โอ๊คแลนด์ แอธเลติกส์ ในปี 2001 ซึ่งสถานะของโอ๊คแลนด์เป็นทีมที่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังและไม่ได้มีนักเบสบอลดาวดังประดับทีม และถ้าใครโดดเด่นขึ้นมาแล้วหมดสัญญา หากมีการเรียกค่าเหนื่อยที่สูงเกินงบประมาณสโมสรก็จะไม่รั้งตัวไว้ 

อย่างไรก็ดี โอ๊คแลนด์ แอธเลติกส์ กลับทำอะไรที่แตกต่าง แต่สุดท้ายก็บรรลุถึงความสำเร็จได้เหมือนกัน 

สโมสรพลิกวิกฤตจากที่เก็บตัวหลักเสริมตัวใหม่ไม่ได้ตามเป้าแล้วไปดึงทีมงานโค้ชของทีมคลีฟแลนด์ อินเดียนส์ ที่ชื่อ พอล ดีโปเดสต้า ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องการวิเคราะห์องค์ประกอบทีมในแง่ของตัวเลข สถิติ เข้ามาแทน และนี่กลับเป็นดีลอันชาญฉลาดของทีม การได้ดีโปเดสต้าเข้ามาทำงานร่วมกับ บิลลี่ บีน ในฐานะโค้ช จึงสร้างจุดลงตัวที่สุดให้ทีม ด้วยวิธีใช้ศาสตร์ตัวเลขโดยไม่ต้องใช้เงินเกินตัว

แทนที่จะดึงนักเบสบอลประวัติดีมาเติมเต็ม แต่ดีโปเดสต้ากลับชี้แนะว่าทีมควรจะมีนักกีฬาที่ทำแต้มได้อย่างสม่ำเสมอมากกว่า ต่อให้เป็นนักเบสบอลเกรดรอง แต่ถ้าตัวเลขชี้ออกมาว่ามีการทำแต้มเฉลี่ยต่อเกมในระดับน่าพอใจแถมค่าจ้างถูกกว่าเหล่าบรรดาดาวดัง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเข้ามาเป็นนักกีฬาของทีม

กลายเป็นว่ากลยุทธ์มันนี่บอลที่พวกเขาใช้กลายเป็นการจ่ายค่าเหนื่อยในระดับ “น้อยกว่า” ทีมชั้นนำของลีกมากมาย อาทิ น้อยกว่าที่ นิวยอร์ก แยงกีส์ จ่ายต่อปีถึง 4 เท่าตัว 

มากไปกว่านั้น โอ๊คแลนด์ แอธเลติกส์ ยังพลิกสถานะกลายเป็นทีมไปเล่นเพลย์ออฟได้บ่อย ๆ ท่ามกลางทีมเสือสิงกระทิงแรดที่ทุนหนากว่า และในปี 2002 พวกเขาเคยทำผลงานกระฉ่อนชนะติดต่อกัน 20 เกมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีมอีกด้วย

ทั้งหมดทั้งมวลนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจชั้นยอดแก่ จอห์น เฮนรี่ ในการเริ่มต้นบริหารทีมบอสตัน เรด ซอกส์ 

ความพิเศษประการหนึ่งที่ เรด ซอกส์ มีไม่เหมือนกับโอ๊คแลนด์ นั่นคือพวกเขาเป็นทีมที่มีงบประมาณพอที่จะเสริมตัวผู้เล่นแข็งแกร่งมาสู่ทีมได้มากกว่า ดังตัวเลขที่ จอห์น เฮนรี่ เข้าเทคโอเวอร์ทีมด้วยราคาสูงถึง 660 ล้านเหรียญสหรัฐ 

จนใครหลายคนบอกว่า วิถีทางดังกล่าวเปรียบเสมือนว่าทีมดังแห่งมลรัฐแมสซาชูเซตส์เป็น “โอ๊คแลนด์ แอธเลติกส์ เวอร์ชั่นอัปเกรด” 

บอสตัน เรด ซอกส์ เลือกดึงผู้จัดการทีมทั่วไปที่ชื่อ ธีโอ เอปสไตน์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยข้อมูล ตัวเลข และสถิติ มาร่วมทีม เฉกเช่นกับที่โอ๊คแลนด์มีสองคนสมองเพชรอย่างบีนและดีโปเดสต้า พวกเขาเดินวิถีทางแบบชาญฉลาด กล่าวคือเป็นการเสริมนักเบสบอลที่สถิติอยู่ในระดับที่น่าพอใจและจ่ายไหวแบบไม่ต้องแข่งกับทีมใดอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้บอสตัน เรด ซอกส์ ยกระดับจากทีมที่ไม่ได้เป็นแชมป์เวิลด์ซีรีส์ในรอบเกือบศตวรรษ มาสู่ทีมชั้นนำของลีก โดยรวมแล้วในยุคของจอห์น เฮนรี่ พวกเขาเป็นแชมป์รายการดังกล่าวถึง 4 สมัย คือ 2004, 2007, 2013 และล่าสุด 2018 

 

โบห์ลีกับดอดจ์เจอร์ส “ใจถึง พึ่งได้”

ขณะที่ จอห์น เฮนรี่ ยึดมั่นในกลยุทธ์มันนี่บอล ทางฝั่งของ ท็อดด์ โบห์ลี เป็นเจ้าของทีม (ร่วม) ก็พร้อมจ่ายแบบจัดหนักจัดเต็มมากกว่า 

การเข้ามาเทคโอเวอร์ แอลเอ ดอดจ์เจอร์ส ในปี 2012 โดย ท็อดด์ โบห์ลี และเหล่าผู้บริหารกลุ่มใหม่ ภายใต้กลุ่มนักลงทุนที่ชื่อ “Guggenheim Baseball Management” เปรียบเสมือนการชุบชีวิตทีมเบสบอลชื่อดังแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ภายหลังจากทีมเกิดภาวะทางการเงินภายใต้การบริหารของ แฟรงค์ แม็คคอร์ต

“แคร์แฟน ๆ ดอดจ์เจอร์ส” นี่คือสิ่งที่ ท็อดด์ โบห์ลี และเหล่าผู้บริหารทีมยึดถือมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้วยการทุ่มเงินเพื่อดึงดาวดังน้อยใหญ่มาเติมเต็ม พร้อม ๆ กับการควานหาทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สโมสรขาดทุนหรือเป็นหนี้ก้อนโต 

นับแต่ที่ ท็อดด์ โบห์ลี เข้ามาเป็นทีมบริหารร่วม ดูเหมือนว่าแฟน ๆ ของทีมหลายคนจะยกย่องในตัวโบห์ลีทั้งในแง่ของความทุ่มเทที่มีต่อทีม การให้ความสำคัญกับแฟนเบสบอล ตลอดจนความสัมพันธ์อันดีร่วมกับชุมชนใกล้ดอดจ์เจอร์ส สเตเดียม 

ดังบทความจากสื่อดัง The Athletic ที่เคยรวบรวมความเห็นของแฟน ๆ ที่มีต่อ ท็อดด์ โบห์ลี และเหล่าผู้บริหารร่วม ตลอดเส้นทางร่วมทศวรรษกับแอลเอ ดอดจ์เจอร์ส

“10 ปีที่ผ่านมาภายใต้การคุมทีมของกลุ่มผู้บริหารเหล่านี้ช่างน่าทึ่ง พวกเขาลงทุนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาคว้าตัว เฟรดดี้ ฟรีแมน ในปีนี้ (2022 เซ็นสัญญา 6 ปี มูลค่า 162 ล้านเหรียญสหรัฐ) หลังจากที่ ดอดจ์เจอร์ส แพ้ แอตแลนตา เบรฟส์ เมื่อปีที่แล้วโดยที่เขา (ฟรีแมน) เล่นให้ทีมคู่แข่ง เขาเป็นหนึ่งในฮิตเตอร์ที่ดีที่สุดในเกมนั้นเลย และจากนั้นเขาก็ถูกคว้ามาร่วมทีม” คริสเตียน โจนส์ ผู้ซึ่งเป็นแฟนแอลเอ ดอดจ์เจอร์ส มาตั้งแต่ปี 1986 กล่าว

“ทั้งหมดที่ผมสามารถพูดได้คือ สิ่งที่เขา (โบห์ลี) ทำมีความหมายต่อเรามาก เขาเป็นแฟนตัวยงของทีม เขาแคร์ทีมมาก ๆ ยังรวมถึงประเด็นอื่น ๆ ด้วย อย่างเรื่องสนาม ความสัมพันธ์กับชุมชน ท็อดด์ได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งจากความพยายามทั้งหมดที่เขาทำ” ไคล์ แม็คเคนนี่ แฟนเบสบอลดอดจ์เจอร์ส เผยความรู้สึก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจะตัดสินทีมกีฬาทีมหนึ่งว่าประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ปัจจัยที่ช่วยชี้วัดคือการเป็นแชมป์ 

สำหรับลอสแอนเจลิส ดอดจ์เจอร์ส ในยุคโบห์ลี ทีมเคยยิ่งใหญ่ถึงขั้นคว้าแชมป์ระดับเวิลด์ ซีรีส์ เป็นสมัยแรกในปี 2020 เป็นความสำเร็จรอบ 32 ปี นับแต่ที่เคยได้แชมป์รายการนี้เมื่อปี 1988 และยังไม่นับแชมป์ระดับภูมิภาค ในโซนตะวันตก หรือ West Division titles ที่ทีมเคยได้มาถึง 8 สมัยติดต่อกัน (2013-2020) 

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แฟน ๆ จะมองกลุ่มผู้บริหารในแง่ “บวก” ในฐานะเจ้าของทีมประเภท “ใจถึงพึ่งได้”

 

ขยับสู่วงการฟุตบอล 

หลังกระโดดเข้าสู่วงการฟุตบอลอย่างเต็มตัวของทั้ง จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ ท็อดด์ โบห์ลี จากที่ทีมเบสบอลของทั้งคู่มีดีลซื้อขายตามปกติและไม่มีใครบริหารทีมแบบผิดวิถีตัวเองมากเท่าไร 

แต่พอมาสู่แวดวงลูกหนัง กลายเป็นว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร โดยเฉพาะลิเวอร์พูลของเฮนรี่

เฮนรี่ ภายใต้กลุ่มทุน FSG เข้ามาลุยในเกมฟุตบอลก่อนโบห์ลีเป็นเวลาเกินทศวรรษ ระยะแรกเขาดำเนินธุรกิจด้วยวิถีมันนี่บอลที่เคยใช้กับบอสตัน เรด ซอกส์ กล่าวคือ ใช้เงินอย่างระมัดระวังและไม่ได้ผลีผลามทุ่มเงินแข่งกับทีมใด ทีมไหนโก่งค่าตัวมาเขาก็จะหยุดเจรจาโดยไม่ลังเล 

และต่อให้ใครที่มีค่าตัวสูงจริง ๆ หากเป็นประโยชน์กับทีมในอนาคตก็ไม่ลังเลที่จะคว้ามาเติมแกร่ง เช่น การได้ตัวแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สนนราคาที่คว้าจาก ฮัลล์ ซิตี้ แค่ 8 ล้านปอนด์ หรือการยอมทุ่มทุนดึง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาเติมอนาคตในแผงรับสโมสรด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ซึ่งผลตอบแทนของทั้งสองดีลคือการช่วยกันยกระดับทีมสู่ความสำเร็จมากมาย ทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงพาตัวเองขึ้นเป็นแข้งแถวหน้าของโลก

หรือแม้แต่แผนการต่อเติมแอนฟิลด์แทนที่จะสร้างสนามใหม่ นี่ก็เป็นโมเดลเดียวกับที่เขาทำกับสนามทีมเรด ซอกส์ มาก่อน ด้วยความเชื่อว่าสนามเดิมมีมนต์ขลังในตัวเองอยู่แล้ว

ขณะที่ ท็อดด์ โบห์ลี กับเชลซี การเข้ามาของกลุ่มทุนอเมริกาครั้งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสโมสรในทุก ๆ ทิศทาง เป็นการขับเคลื่อนด้วยวิถี “อเมริกันเกม” นับแต่ขวบปีแรกที่เข้ามาเทคโอเวอร์ 

ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบอร์ดบริหารเก่า เปลี่ยนตัวกุนซือ และนักเตะ ซึ่งทำคล้ายกับปีแรกที่เขาเป็นเจ้าของทีมแอลเอ ดอดจ์เจอร์ส กล่าวคือ เขาทยอยโละผู้เล่นชุดเดิมที่ค่าเหนื่อยแพงแต่ผลงานไม่ได้โดดเด่นอะไร แล้วเลือกปรับซื้อนักเตะใหม่ พร้อมเซ็นสัญญาระยะยาวมากกว่า 5 ปี

อนึ่ง เมเจอร์ลีกเบสบอลไม่ได้กำหนดเพดานค่าเหนื่อย แถมสัญญานักกีฬาเบสบอลเมเจอร์ลีกโดยเฉลี่ยแล้วจะมีระยะเวลายาวนานกว่านักกีฬาฟุตบอล ผู้เล่นคนสำคัญจากแต่ละทีมมักจะได้รับการเสนอสัญญาแบบ 10 ปี หรือมากกว่านั้น 

เชลซี ยุคเศรษฐีแดนพญาอินทรี ใช้เทคนิคดังกล่าวสบช่องโหว่ของกฎกีฬาลูกหนัง และยังคงปฏิบัติเรื่อยมาจนฤดูกาลที่สองที่มีเจ้าของทีมใหม่ ทำเอาองค์กรลูกหนังทั้งพรีเมียร์ลีก, สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ตลอดจนคนในวงการเองล้วนแต่วิพากษ์วิจารณ์แบบดุเด็ดเผ็ดมัน

 

เมื่อตลาดนักเตะผันผวน และทำไมต้องขับเคี่ยวกัน 

เนื่องจากตลาดซื้อขายนักเตะเกิดความผันผวนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักเตะหลาย ๆ คนจึงถูกซื้อขายกันในราคาที่บางครั้งกระโดดเกินกว่าดีลอื่น ๆ ไปมาก

และนั่นก็ทำให้วิถีทางของหลาย ๆ สโมสรต้องเผชิญเรื่องการปรับตัวเพื่อเข้ากับสถานการณ์แบบยากจะหลีกเลี่ยง หนึ่งในนั้นก็คือ ลิเวอร์พูล 

จากที่เน้นวิถีทางมันนี่บอลและสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความสำเร็จอยู่ไม่น้อย 

มาถึงวันนี้ หากจะบอกว่าลิเวอร์พูลได้เปลี่ยนแนวทางของตัวเองไปแล้วก็คงไม่ผิด ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือช่วงการเจรจากับ มอยเซส ไคเซโด้

ภายหลังที่เสียสองกองกลางคนสำคัญอย่าง ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ 2023-24 พลพรรคหงส์แดงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคว้าผู้เล่นตำแหน่งกองกลางมาทดแทน โดยเฉพาะนักเตะสไตล์ตัวรับ หรือกองกลางหมายเลข 6 

ซึ่งนักเตะที่เคยเป็นข่าวอย่างหนักหน่วงคือไคเซโด้ ซึ่งแข่งขันอย่างเข้มข้นกับเชลซีของ ท็อดด์ โบห์ลี โดยตรง 

สิงห์บลูส์เองก็เผชิญสถานการณ์เดียวกัน นั่นคือต้องการมิดฟิลด์ตัวรับระดับเวิลด์คลาส เพื่อเล่นร่วมกันกับ เอนโซ แฟร์นานเดซ โดยทีมขาดนักเตะตำแหน่งนี้หลังอำลาของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ นำมาซึ่งการขับเคี่ยวดังที่สื่อน้อยใหญ่รายงานไม่เว้นวัน

และเมื่อคำว่า “Official” ยังไม่เกิดขึ้นกับทีมใดทีมหนึ่ง ระหว่างนั้นตลาดนักเตะก็เกิดปรากฏการณ์สำคัญไปแล้วมากมาย หนึ่งในนั้นคือการคว้า ดีแคลน ไรซ์ นักเตะสไตล์เดียวกับไคเซโด้เข้าสู่ทีมอาร์เซนอล ในวงเงิน 105 ล้านปอนด์ 

เช่นเดียวกับมาตรฐานราคาค่าตัวยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกที่เหมือนถูกกำหนดมาตรฐานใหม่ว่าอยู่ระหว่าง 50-100 ล้านปอนด์ไปแล้ว

กับการเจรจาคว้าไคเซโด้ แน่นอนว่าทาง ไบรท์ตัน ไม่มีทางให้น้อยกว่านั้น และนั่นก็ทำให้ทัพนกนางนวลแดนใต้ตั้งราคาแข้งเบอร์ 25 ของทีมแตะหลักเดียวกันกับไรซ์ เป็นเหตุให้ตัวเลขต่ำกว่านั้นที่เชลซีเคยเสนอถูกปัดตกทั้งหมด

จากนั้นตัวละครใหม่อย่างลิเวอร์พูลก็ปรากฏตัวขึ้นมา หงส์แดงยอมทุ่มเงินหลักสถิติ 110 ล้านปอนด์ เพื่อสู้กับเชลซีที่เคยยื่นข้อเสนอในเวลาก่อนหน้านั้นที่ 100 ล้านปอนด์ และการห้ำหั่นกันก็เริ่มจากจุดนั้น

นี่ถือเป็นค่าตัวที่ไบรท์ตันพอใจ ที่เหลือก็อยู่ที่ใจของนักเตะว่าอยากไปทีมใด 

ก่อนที่แข้งทีมชาติเอกวาดอร์จะเลือกไปอยู่เชลซี ภายหลังทีมสิงห์บลูส์ทุ่มเงินเกทับไปอีกที่ 115 ล้านปอนด์ อันเป็นสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในพรีเมียร์ลีก ส่วนหนึ่งเพราะเขาตกลงกับ เดอะ บลูส์ ไปแล้ว, เป็นทีมที่เขาเชียร์ และเป็นทีมที่มีนักเตะที่ชื่นชอบอย่าง โคลด มาเกเลเล่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เคยค้าแข้ง 

มากกว่านั้น ลิเวอร์พูลยังพลาดได้ตัว โรเมโอ ลาเวีย ไปอีก แม้ทีมจะเพิ่มตัวเลขค่าตัวจากเดิม 45 ล้านปอนด์มาเป็น 60 ล้านปอนด์เพื่อหวังดึงไปร่วมทัพ 

ทว่าอย่างที่เรารู้กัน ที่สุดแล้วแข้งวัย 19 ปีรายนี้ก็เลือกไปเชลซี โดยเหตุผลตามที่สื่อวิเคราะห์คือ ความไม่ตั้งใจจริงของหงส์แดงตั้งแต่แรกที่หวิดจะปิดดีลได้ แต่สุดท้ายดันไปยื่นข้อเสนอให้ไคเซโด้ด้วย

จากบทเรียนดังกล่าวบ่งบอกให้รู้ว่ากลยุทธ์มันนี่บอลที่ลิเวอร์พูลเคยใช้ก่อนหน้านี้ไม่ได้สัมฤทธิ์ผลกับตลาดนักเตะยุคปัจจุบันอีกต่อไป สโมสรเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาอยู่ในกลไกของตลาดนักเตะที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

และนั่นก็ทำให้ เดอะ ค็อป อาจจะได้เห็นกลุ่มทุน FSG ทุ่มเงินหนักขึ้นแบบยากจะหลีกเลี่ยง เพราะอย่างน้อย ๆ ทีมคู่ค้าในอนาคตเริ่มเห็นแล้วว่าหงส์แดงมีเงินแตะหลักร้อยล้านปอนด์สำหรับการหานักเตะตำแหน่งกลางรับ รวมถึงตำแหน่งอื่น ๆ ที่อาจจะสนใจในอนาคต

ขณะที่เชลซีหลังเป็นผู้ชนะในดีลของทั้งไคเซโด้และลาเวีย จริงอยู่ที่ ท็อดด์ โบห์ลี ยึดถือวิถีทางเดิมของตัวเอง ใช้เงินทุ่มซื้อนักเตะในตำแหน่งที่ขาดหายเพื่อเติมเต็มความสำเร็จ เสมือนเป็นการทำเพื่อแฟนบอลของตัวเองไปด้วย 

อย่างไรก็ตาม เชลซีเองก็มีเรื่องให้ต้องไตร่ตรองดี ๆ เช่นกัน การที่โบห์ลีแหละผองเพื่อนผู้บริหารนำรูปแบบการตลาดเบสบอลอเมริกันมาใช้ ทำให้เชลซีกลายเป็นสโมสรที่โดนจับตาเรื่องบัญชีการเงิน 

อย่างล่าสุดในเกมประเดิมพรีเมียร์ลีกของทั้งสองทีม ได้ปรากฏตัวตนของทั้งโบห์ลีและเฮนรี่ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมกับข่าวลือการขับเคี่ยวกันอีกระลอก นอกจากเจ้าของทีมหงส์แดงจะมาดูเกมในสนามแล้ว เขายังได้เตรียมข้อมูลมาคุยกับพรีเมียร์ลีก เพื่อขอความชัดเจนกรณีที่สิงโตน้ำเงินครามใช้เงินเกือบ 800 ล้านปอนด์ในช่วง 3 ตลาดซื้อขายหลังสุดไปด้วย

นั่นเท่ากับว่าทีมสิงห์บลูส์เผชิญ “ความท้าทาย” อีกครั้ง และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องอย่างไม่ต้องสงสัย

กล่าวโดยสรุป ในภายหน้าแฟนฟุตบอลคงจะได้เห็นทั้งเชลซีและลิเวอร์พูลมีวิถีทางเพื่อการ “ปรับตัว” ให้เข้ากับวงการฟุตบอลสมัยใหม่ที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 

ยิ่งไปกว่านั้น เราอาจจะได้เห็นดีลการห้ำหั่นสุดอลวนแบบนี้เกิดขึ้นกับทุก ๆ สโมสรในอนาคตอันใกล้อย่างยากจะหลีกเลี่ยง

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.blockdit.com/posts/63f4be0abb89b7022644ca86 
https://www.theanfieldwrap.com/2017/07/liverpool-and-fenway-sports-group-how-john-henry-and-co-have-learned-lessons-from-the-boston-red-sox/ 
https://www.goal.com/en-za/news/who-is-todd-boehly-net-worth-chelsea-bid-sports-teams/blta71f01f8794bb81e  
https://theathletic.com/3190555/2022/04/06/from-outsiders-to-architects-of-the-red-sox-golden-age-20-years-in-john-henrys-ownership-leaves-lasting-legacy/ 
https://theathletic.com/3414767/2022/07/12/chelsea-todd-boehly-dodgers-fans/ 
https://www.theguardian.com/football/2022/apr/30/todd-boehly-chelsea-takeover-la-dodgers-lakers 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา