Feature

เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ : ผู้รักษาประตูที่เป็นกุญแจ "รัน" ทุกระบบการเล่นในทุกที่ที่เขาไป  | Main Stand

หลาย ๆ คนคงรู้จัก เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ในฐานะตำนานผู้รักษาประตูของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, ยูเวนตุส, ฟูแล่ม และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

 


เพื่อนร่วมอาชีพและบรรดานักวิจารณ์ ต่างยกให้เขาเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล การันตีได้จากถ้วยแชมป์และรางวัลส่วนตัวกว่าหลายสิบรายการที่เขาเคยได้รับมาท้ังหมด

แต่กว่าที่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จะประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ เขาต้องบากบั่นกับอุปสรรคใดบ้าง และก้าวผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้อย่างไร สามารถติดตามได้ที่ Main Stand

 

นักโวยที่เข้าตา ฟาน กัล 

ในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ ฟอร์เฮาท์ ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เติบโตขึ้นพร้อมความหลงใหลในลูกฟุตบอลตั้งแต่จำความได้ เขาเริ่มต้นจากสโมสรสมัครเล่นในท้องถิ่นอย่าง ฟอร์โฮลต์ และ วีวี นอร์ดไวค์ ก่อนพรสวรรค์ด้านรูปร่างสูงใหญ่และปฏิกิริยาอันยอดเยี่ยมจะเริ่มโดดเด่นขึ้นในช่วงต้นยุค 1990

แม้คำว่า "ดาวรุ่ง" มักถูกใช้เรียกเขาในแบบที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ ฟาน เดอร์ ซาร์ พิสูจน์ให้เห็นว่า หน้าที่ของผู้รักษาประตูไม่ได้มีแค่การปัดลูกยิง แต่คือการสั่งการแนวรับ การอ่านเกม และการส่งต่อความมั่นใจให้เพื่อนร่วมทีมทั้งสนาม

เส้นทางการค้าแข้งอาชีพของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เริ่มต้นที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในยุคที่สโมสรคือหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป หลุยส์ ฟาน กัล คือคนแรกที่เห็นแววของหนุ่มร่างสูงรายนี้ และดึงเขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ 

แม้ในช่วงแรก ฟาน เดอร์ ซาร์ จะเป็นเพียงผู้รักษาประตูสำรอง แต่เพียงแค่ได้อยู่ในทีมชุดใหญ่ เขาก็ได้ซึมซับบรรยากาศการแข่งขันระดับสูง โดยในฤดูกาล 1991–92 เจ้าตัวมีโอกาสร่วมสัมผัสความสำเร็จของทีม แม้ไม่ได้ลงเล่น แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าถ้วยแชมป์ ยูฟ่า คัพ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ทำให้เขาเรียนรู้วิธีคิดและวิธีเล่นในฟุตบอลระดับยุโรป ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมือหนึ่งของทีมในฤดูกาล 1993–94 ลงเล่นแทบทุกนัด และช่วยให้อาแจ็กซ์คว้าแชมป์ เอเรดิวิซี ได้สำเร็จ ความมั่นคงและความนิ่งของเขาในทุกจังหวะเซฟบอล ทำให้ทีมมั่นใจได้เต็มร้อย

ตอนนั้น ฟาน กัล ให้คำชมถึง ฟาน เดอ ซาร์ และทำให้เขาพยายามผลักดันเด็กคนนี้มาตลอดก็คือ "พรแสวง" ที่มาพร้อมกับร่างกายที่เหมาะกับการเป็นปรากรด่านสุดท้าย 

"สิ่งที่ทำให้เขามาถึงตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ก ฟาน เดอร์ ซาร์ ไม่ใช่คนที่เกิดมาและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ หรือเก่งขึ้นโดยบังเอิญ แต่ทั้งหมดในตัวเขาถูกสร้างขึ้นจากกาารทำงานหนัก"  

ปีทองที่แท้จริงมาถึงในฤดูกาล 1994–95 เมื่ออาแจ็กซ์คว้าทั้งแชมป์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยที่ ฟาน เดอร์ ซาร์ กลายเป็นแกนหลักของทีม แม้เป็นผู้รักษาประตู เขาก็สร้างความแตกต่างในทุกเกม ทั้งเซฟประตูสำคัญและการนำทีม ความยอดเยี่ยมของเขาในปีนั้นทำให้ได้รับรางวัล ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งยุโรป สมศักดิ์ศรีกับฟอร์มอันเหนียวแน่นและมีความเป็นผู้นำที่ชัดเจนถึงขนาดที่ ฟาน กัล ยังต้องบอกว่า ฟาน เดอร์ ซาร์ คือคนสำคัญสำหรับแท็คติกที่นำความสำเร็จสูงสุดในอาชีพให้กับเขาด้วย 

"เอ็ดวิน เป็นผู้รักษาประตูที่แตกต่างจากคนอื่นในยุคนั้น เขาไม่เพียงแต่ป้องกันประตูได้ดี แต่ยังเล่นกับบอลด้วยเท้าได้เยี่ยม ซึ่งทำให้เราสามารถเริ่มการสร้างเกมจากแนวหลังได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้อาแจ็กซ์เหนือกว่าทีมอื่น ๆ"

"ผมต้องการผู้รักษาประตูที่กล้าออกมาเล่นสูงและช่วยทีมคุมพื้นที่หลังแนวรับ และฟาน เดอ ซาร์ ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาคือเหตุผลสำคัญที่เราสามารถเล่นในระบบที่ต้องการได้"

ระหว่างปี 1996–1999 อาแจ็กซ์ยังคงครองความยิ่งใหญ่ทั้งในลีกและฟุตบอลถ้วย และมีโมเมนต์สุดแปลกตาที่แฟนบอลไม่มีวันลืม  ฟาน เดอร์ ซาร์ ยิงจุดโทษเอง ในเกมถล่ม ฮีเรนวีน 8–1 ทำให้ชื่อของผู้รักษาประตูปรากฏบนสกอร์บอร์ด เป็นหนึ่งในภาพจำที่บ่งบอกถึงความมั่นใจและความโดดเด่นของเขา

ตลอดเส้นทางกับสีเสื้อ อาแจ็กซ์ ฟาน เดอร์ ซาร์ลงสนามกว่า 226 นัด ทำ คลีนชีต 98 ครั้ง และคว้าแชมป์รวม 14 รายการ ก่อนตัดสินใจออกเดินทางสู่ต่างแดน เพื่อเผชิญความท้าทายใหม่

 

จากตูรินสู่ลอนดอน

ปี 1999 เป็นปีที่ เอดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก้าวเข้าสู่บทใหม่ในอาชีพ เมื่อเขาย้ายจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มายัง ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวราว 8.8 ล้านยูโร เพื่อเข้ามาเป็นตัวแทนของ อันเจลโล่ เปรุซซี่ นายทวารที่เริ่มอายุมากขึ้น และครองมือ 1 ของทีมมาพักใหญ่

การย้ายครั้งนี้ไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญในชีวิตนักเตะของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประวัติศาสตร์ให้กับสโมสร "ม้าลาย" ด้วยการเซ็นสัญญาผู้รักษาประตูต่างชาติเป็นครั้งแรก

ช่วงสองปีแรกในตูริน แม้ ฟาน เดอร์ ซาร์ จะไม่ได้คว้าแชมป์ลีกกัลโช่เซเรีย อา แต่เขาก็มีส่วนช่วยทีมคว้า อินเตอร์โตโต้คัพ และแม้ทีมจะจบในฐานะรองแชมป์ลีก เขาก็ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากแฟนบอลยูเวนตุส ด้วยความนิ่งสงบและความสามารถเฉพาะตัวที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูขวัญใจของแฟนบอล แต่เส้นทางในอิตาลีไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ปี 2001 ยูเวนตุส ตัดสินใจทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อคว้า จานลุยจิ บุฟฟ่อน หนึ่งในผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดในโลกเข้ามาอยู่ในทีม 

ไม่วาจะด้วยเหตุผลใดกระตามที่ทำให้ ยูเว่ ตัดสินใจแบบนั้น แต่การมาถึงของ บุฟฟ่อน ได้ทำให้ ฟาน เดอร์ ซาร์ ต้องหลุดไปนั่งสำรอง และเส้นทางการค้าแข้งเริ่มมีข้อจำกัด

หลังพิจารณาอย่างรอบคอบ ฟาน เดอร์ ซาร์ ตัดสินใจเดินหน้าเลือกทางของตัวเอง เขาเลือกย้ายออกจาก ยูเวนตุส และมุ่งสู่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับ ฟูแล่ม ด้วยค่าตัวราว 10 ล้านยูโร การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ในอังกฤษ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญที่เปิดโอกาสให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา

ฟาน เดอร์ ซาร์ พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด แต่การตัดสินใจกล้าหาญและมองหาโอกาสใหม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางอาชีพของนักเตะได้ตลอดเวลา ตอนเปิดตัว เขากล่าวอย่างมั่นใจว่า

"ผมมีความสุขและโล่งใจที่ได้เซ็นสัญญากับฟูแล่ม … แผนงานของพวกเขาน่าประทับใจมาก และผมอยากใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อช่วยทีมไปให้ถึงเป้าหมายนั้น"

อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี 2001–2005 เขาลงสนาม 127 นัด แต่ไม่ได้พาทีมคว้าแชมป์ใด ๆ ฟูแล่มไม่สามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งรอบตัวเขาได้ และเมื่ออายุ 33 ปี ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

"ฟูแล่มไม่ใช่สโมสรของผมอีกต่อไป … นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้เล่นให้ทีมใหญ่และลุ้นแชมป์รายการสำคัญ"

 

ยอดนายด่านปีศาจแดง

ฤดูร้อนปี 2005 เอดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ก้าวเข้าสู่บทใหม่ในชีวิตนักเตะ ด้วยการย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวราว 4 ล้านยูโร การย้ายทีมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเซ็นสัญญาผู้รักษาประตูเท่านั้น แต่ยังเป็นการเติมเต็มช่องว่างใหญ่หลังบ้านอีกด้วย

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ชื่นชม ฟาน เดอร์ ซาร์ ว่าเป็น "การเซ็นสัญญาผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล" คำชมที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในฝีมือของชายชาวดัตช์

ฤดูกาลแรก ฟาน เดอร์ ซาร์ ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เขาพาทีมคว้าแชมป์ ลีกคัพ ด้วยชัยชนะเหนือ วีแกน แอธเลติก 4–0 แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะหลังจากนั้น เขาพาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ถึง 4 สมัย แถมด้วยแชมป์ ลีกคัพ อีก 1 สมัย

ความนิ่งสงบ การอ่านเกมอย่างเฉียบขาด และความมั่นใจที่แพร่ไปทั่วแนวรับ ทำให้เขากลายเป็นแกนหลักของทีมทันที

ฤดูกาล 2007–08 เป็นปีที่ ฟาน เดอร์ ซาร์ สร้างตำนานใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด เขามีส่วนสำคัญในการพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีกครั้ง ด้วยการเซฟสำคัญในรอบชิงกับ เชลซี ก่อนที่ในฤดูกาล 2008–09 นอกจากจะคว้าแชมป์สโมสรโลกแล้ว เขาทำลายสถิติ ไม่เสียประตูยาวนานที่สุดในพรีเมียร์ลีกถึง 1,311 นาที สถิติที่ยังคงถูกพูดถึงและเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้รักษาประตูรุ่นใหม่ต่อไป

แม้ช่วงปลายอาชีพ ฟาน เดอร์ ซาร์ ต้องเผชิญกับ อาการบาดเจ็บ และปัญหาครอบครัว

ภรรยาของเขาประสบภาวะเลือดออกในสมองในปี 2009 แต่เขาก็กลับมาลงสนามได้อีกครั้ง สุดท้าย เขาตัดสินใจอำลาทีม และแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2010–11 ด้วยความสง่างาม

"ผมไม่ได้เกลียดความคิดเรื่องการเกษียณ … ผมแค่รู้สึกว่าผมได้ไปถึงจุดสูงสุดแล้วและอยากหยุดในจังหวะที่ยังยอดเยี่ยมอยู่"

คำพูดนี้ไม่เพียงเป็นบทสรุปของอาชีพนักฟุตบอลแต่ยังสะท้อนถึงชายผู้ยืนเฝ้าเสาด้วยความภาคภูมิและความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง ฟาน เดอร์ ซาร์ ไม่ได้เพียงป้องกันประตู เขาสร้างตำนาน สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างชื่อของตัวเองให้คงอยู่ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

 

ชีวิตหลังสนาม

หลังจากแขวนถุงมือเพียงปีเดียว ฟาน เดอร์ ซาร์ กลับสู่ อาแจ็กซ์ ในปี 2012 แต่คราวนี้ไม่ได้สวมถุงมือหรือยืนอยู่บนเส้นประตูอีกต่อไป เขาก้าวเข้าสู่บทบาท ผู้บริหารฝ่ายการตลาด ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยยกระดับสโมสรจากมุมมองธุรกิจและการจัดการ ทั้งยังใช้ประสบการณ์ในสนามฟุตบอลเป็นแรงผลักดันให้เกิดนโยบายที่ผสมผสานความเข้าใจเกมและแนวคิดเชิงธุรกิจ

ในปี 2016 ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่แอบแว่บกลับมาลงสนามให้ นอร์ดไวค์ ต้นสังกัดสมัยเป็นนักเตะเยาวชนเป็นการเฉพาะกิจ 1 นัด ก้าวขึ้นเป็นซีอีโอของ อาแจ็กซ์ บทบาทนี้ทำให้เขามีอิทธิพลต่อทุกมิติของสโมสร ทั้งการเงิน การตลาด และกลยุทธ์พัฒนานักเตะเยาวชนหนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการสร้าง ระบบพัฒนาผู้เล่นเยาวชน อย่างยั่งยืน โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานักเตะรุ่นใหม่ที่กลายเป็นดาวเด่นระดับโลก เช่น ฮาคิม ซีเย็ค, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ก, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, และ อันโตนี่

ไม่เพียงแค่ฝึกฝนพวกเขาให้เก่งในสนาม แต่ ฟาน เดอร์ ซาร์ ยังนำแนวทาง การขายนักเตะเชิงกลยุทธ์ เข้ามาใช้การขายดาวรุ่งเหล่านี้สร้าง รายได้มหาศาลให้กับสโมสร, ช่วยให้อาแจ็กซ์สามารถแข่งขันกับสโมสรใหญ่ในยุโรปได้อย่างยั่งยืน และกลายเป็นหนึ่งในยุคทองของระบบอาแจ็กซ์ยุคใหม่

ภายใต้การบริหารของ ฟาน เดอร์ ซาร์ อาแจ็กซ์ไม่ได้เป็นเพียงสโมสรฟุตบอลอีกต่อไปแต่เป็นแพลตฟอร์มสร้างดาวรุ่งระดับโลก และองค์กรที่มีวิสัยทัศน์เชิงธุรกิจชัดเจน

นี่คือบทพิสูจน์ว่า ชายผู้เคยยืนเฝ้าเสาและสร้างตำนานในสนาม สามารถสร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจฟุตบอลได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ก่อนตัดสินใจลาออกในปี 2023

แม้ตัวของ ฟาน เดอ ซาร์ จะมีปัญหาสุขภาพใหญ่อยู่หนนึงเมื่อปี 2023 หลังออกจากตำแหน่งซีอีโอของ อาแจ็กซ์ ไม่นาน เมื่อเกิดภาวะเลือดออกในสมอง จนต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU แต่ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาเป็นปกติ และเพิ่งจะสวมถุงมือลงเฝ้าเสาให้ทีม World XI ในฟุตบอลแมตช์การกุศล Soccer Aid ประจำปี 2025 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อไม่นานมานี้

นอกจากนี้ ฟาน เดอ ซาร์ ยังถูกเสนอชื่อเข้าทำเนียบหอเกียรติยศของ พรีเมียร์ลีก ถึง 2 ปีติด ในปี 2024 และ 2025 ซึ่งเหลือแค่เวลาเท่านั้นว่า เขาจะเข้าสู่ Hall of Fame เมื่อใด เพราะผลงานในสนาม ตลอดจนการสร้างแรงบันดาลใจแก่นายทวารรุ่นหลัง คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้ว

สำหรับแฟนฟุตบอล ฟาน เดอร์ ซาร์ ไม่ได้เป็นแค่ผู้รักษาประตูผู้ยิ่งใหญ่แต่คือ สัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่น, ความอดทน และแรงบันดาลใจ ที่ยังส่งต่อไปยังทุกคนที่รักฟุตบอลอย่างแท้จริง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://bleacherreport.com/articles/586888-edwin-van-der-sar-to-retire-from-manchester-united-at-the-end-of-epl-season
https://www.skysports.com/football/news/2295586/van-der-sar-wants-fulham-exit
https://www.transfermarkt.com/edwin-van-der-sar/leistungsdaten/spieler/3516/plus/0?saison=ges
https://en.wikipedia.org/wiki/Edwin_van_der_Sar#cite_note-29
https://thefootballfaithful.com/van-der-sar-sends-best-wishes-to-weird-ten-hag-ahead-of-man-utd-move-as-ajax-wrap-up-title/
https://english.ajax.nl/search/?q=van+der+sar+

Author

รณกฤต ตุลยะปรีชา

วัยรุ่นคู้บอน

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1