Feature

เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ : เบื้องหลังความสำเร็จของตำนานสองแผ่นดิน | Main Stand

หลาย ๆ คนคงรู้จัก เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ในฐานะตำนานผู้รักษาประตูของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, ยูเวนตุส, ฟูแล่ม และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงการกลับมาบริหารงานให้กับอาแจ็กซ์อีกครั้ง

 

และเพื่อนร่วมอาชีพหรือบรรดานักวิจารณ์ต่างก็ยกให้เขาเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล การันตีได้จากถ้วยแชมป์และรางวัลส่วนตัวกว่าหลายสิบรายการที่เขาเคยได้รับมาท้ังหมด

แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าที่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จะประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ เขาต้องบากบั่นกับอุปสรรคใดบ้าง และเขาก้าวผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้อย่างไร สามารถติดตามได้ที่ Main Stand

 

ชีวิตเริงร่าในบ้านเกิดแดนกังหัน

เด็กชายเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กำเนิดขึ้น ณ เมืองวูร์เฮาต์ (Voorhout) ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเยาวชนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลคนอื่น ๆ พร้อมกับฝึกฝนบอลวิชาฟุตเรื่อยมา ก่อนจะได้มาเรียนรู้อย่างจริงจังกับ ฟอร์โฮลเต (Foreholte) สโมสรในบ้านเกิด และต่อด้วย นูร์ดวิก (VV Noordwijk) เป็นสโมสรถัดมา

ช่วงปี 1990 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่ฉายแววโดดเด่นกว่าใคร เพราะมีรูปร่างสูงใหญ่บวกกับฝีไม้ลายมือในการป้องกันประตูระดับเทพซึ่งสวนทางกับคำนำหน้าว่าดาวรุ่ง ส่งผลให้เขาถูก หลุยส์ ฟาน กัล ผู้ช่วยผู้จัดการทีม (เวลาต่อมาเป็นผู้จัดการทีม) ของอาแจ็กซ์ ณ ขณะนั้น อยากได้ตัวมาบ่มเพาะไว้ก่อน และ ฟาน เดอร์ ซาร์ เองก็เต็มใจรับขอเสนอ ดีลนี้จึงเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก

โดยในช่วงแรกของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับอาแจ็กซ์ เขาต้องไปซ้อมอยู่กับทีมสำรองก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อปรับตัวให้เข้ากับทีมตามขั้นตอน และรอเพียงแค่เวลาที่ หลุยส์ ฟาน กัล จะเรียกตัวเขาให้ไปฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ 

เพียงแค่หนึ่งปีต่อมา ในฤดูกาล 1991-92 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็ได้สัมผัสความสำเร็จครั้งแรก นั่นคือการคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียวก็ตาม ซึ่งในสมัยนั้นรอบชิงชนะเลิศยังใช้การแข่งขันแบบสองนัด และเป็น อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่เอาชนะ โตริโน่ ไปด้วยสกอร์รวม 2-2 (กฎประตูทีมเยือน)

ฤดูกาลถัดมาถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาสของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เพราะเขาได้ลงสนามให้กับต้นสังกัดพอสมควรเป็นจำนวนทั้งสิ้น 25 นัดและสามารถเก็บคลีนชีตไป 8 ครั้งรวมทุกรายการ จนกระทั่งฤดูกาล 1993-94 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็สามารถสถาปนาตนเองให้เป็นผู้รักษาประตูคนสำคัญของสโมสรได้ด้วยผลงานการลงเฝ้าเสาทุกเกมทุกรายการ จะมีพลาดเพียงแค่สองเกมท้ายในลีกเท่านั้น แถมยังได้ชูถ้วยแชมป์เอเรดิวิซี ลีก ดัตช์ ในฤดูกาลนั้นอีกด้วย

และฤดูกาล 1994-95 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ สามารถพาต้นสังกัดกวาดถ้วยรางวัลได้อย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเอเรดิวิซี ลีก ดัตช์, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ วินเนอร์ส ก่อนจะปิดท้ายด้วยชัยชนะเหนือ เฟเยนูร์ด 3-0 ในการแข่งขันดัชต์ ซูเปอร์คัพ วินเนอร์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ปี 1994 (เวลาต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น The Johan Cruyff Shield) 

หลังจากนั้นชีวิตค้าแข้งของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับอาแจ็กซ์ก็รุ่งเรืองจนถึงขีดสุด โดยฤดูกาล 1995-96 อาแจ็กซ์ยังคงครองบัลลังก์แชมป์เอเรดิวิซี ลีก ดัตช์ และ ดัตช์ ซูเปอร์คัพ วินเนอร์ ได้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือถ้วยใหญ่อย่าง อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ที่เอาชนะ เกรมิโอ จากบราซิล ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ 4-3 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 1995 พร้อมกับได้รับรางวัลรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งยุโรปประจำปี 1995 

ความสำเร็จของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับสโมสรยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เนื่องจากตั้งแต่ปี 1996-1999 เขายังไม่หยุดนำยิ่งใหญ่มาสู่สโมสร โดยเก็บถ้วยแชมป์เอเรดิวิซี ลีก ดัตช์ 1 สมัยและ ดัชต์ ซูเปอร์คัพ 1 สมัย รวมถึง ดัชต์ คัพ วินเนอร์ อีก 2 สมัย 

แถมยังฝากโมเมนต์สุดหายากอย่างการเป็นผู้รักษาประตูที่มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ด ในเกมที่เอาชนะ กราฟสคัป 8–1 ในฤดูกาล 1997–98 ซึ่งเป็นการยิงลูกโทษ

สำหรับ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ภายใต้ยูนิฟอร์มอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เขาลงเฝ้าเสาไปทั้งสิ้น 226 นัด ฝากผลงาน 98 คลีนชีต กับอีก 14 ถ้วยแชมป์ และมีรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีของฟุตบอลดัตช์ 4 สมัยซ้อน ก่อนจะมองหาความท้าทายใหม่ในต่างแดนเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1998-99 

 

บากบั่น ณ ต่างแดน

ในปี 1999 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เกือบจะได้ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อแทนที่การโบกมือลาของ ปีเตอร์ ชไมเคิล ที่เตรียมย้ายไป สปอร์ติง ลิสบอน แต่ไม่ว่าด้วยปัจจัยใดก็ตามผู้รักษาประตูชาวเนเธอร์แลนด์รายนี้เลือกที่จะย้ายไปร่วมงานกับ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ ยูเวนตุส โดยค่าตัวของเขาสนนราคาอยู่ที่ 8.8 ล้านยูโร ซึ่งนับเป็นตัวเลขเหมาะสมกับค่าเงินในยุคนั้น และ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็ได้เป็นผู้รักษาประตูของยูเวนตุสคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ใช่คนอิตาลี

ช่วงเวลาสองฤดูกาลของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับยูเวนตุส เขาสามารถยึดมือหนึ่งของทีมได้อย่างไม่มีอะไรกดดัน แต่ในทางกลับกันรางวัลของทั้งสองซีซั่นมีแค่เพียงถ้วยอินเตอร์โตโต้ คัพ ปี 1999 และทำได้เพียงเป็นพระรองของลีกเซเรีย อา อิตาลี ทั้งฤดูกาล 1999-2000 และฤดูกาล 2000-2001 

และแล้วช่วงเวลาสุดอึดอัดของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อสโมสรไปดึงตัว จานลุยจิ บุฟฟ่อน มาจากปาร์มา ด้วยค่าตัวประมาณ 52 ล้านยูโรในช่วงซัมเมอร์ปี 2001 ส่งผลให้ผู้รักษาประตูเจ้าของความสูง 199 เซนติเมตรต้องตกไปเป็นตัวเลือกลำดับรองลงมาไปโดยปริยาย และต่อมาเขาก็แจ้งกับยูเวนตุสอย่างชัดเจนว่าตนเองอยากย้ายออกจากสโมสรให้เร็วที่สุด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จึงถูกส่งตัวไปซ้อมร่วมกับทีมสำรองของยูเว่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ทีมที่เซ้งตัว เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ไปใช้งานต่อคือน้องใหม่แห่งศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ณ ตอนนั้นอย่าง “เจ้าสัว” ฟูแล่ม ที่ควักเงินราว ๆ 10 ล้านยูโรพร้อมมอบสัญญาสี่ปีให้กับผู้รักษาประตูชาวเนเธอร์แลนด์รายนี้ 

“ผมมีความสุขและโล่งใจที่ได้เซ็นสัญญากับฟูแล่ม แผนการที่ฟูแล่มเสนอให้ผมนั้นน่าประทับใจมาก ผมชอบความทะเยอทะยานที่สโมสรมี ผมได้พูดคุยกับผู้จัดการทีมแล้ว เรามีบทสนทนาที่ดีเกี่ยวกับการเล่นของทีม"

"ฌอง ติกาน่า (กุนซือฟูแล่ม ณ ตอนนั้น) ต้องการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดพร้อมกับฟูแล่ม เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถทำได้กับโมนาโก ผมชอบความทะเยอทะยานแบบนั้น ผมเคยเล่นกับทีมชั้นนำระดับโลกที่อาแจ็กซ์ ยูเวนตุส และทีมชาติฮอลแลนด์ และตอนนี้ผมต้องการใช้ประสบการณ์ของผมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเดียวกับฟูแล่ม" เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กล่าว

โดยตลอดระยะเวลาปี 2001-2005 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ลงสนามให้กับฟูแล่มไปทั้งสิ้น 127 เกม แต่ไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นขึ้นเป็นอันเลยสักอย่างเดียว บวกกับการลงทุนเสริมทัพนักเตะของ โมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด ประธานสโมสรก็ไม่ได้ทุ่มงบแบบจัดหนักเหมือนก่อน เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จึงได้ออกมาสับการทำงานของสโมสรพร้อมกับประกาศกร้าวว่าต้องการย้ายสังกัดอีกครั้ง โดยได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Sky sports ดังนี้

"ฟูแล่มไม่ใช่สโมสรของผมอีกต่อไป ผมต้องการสัมผัสแชมป์แต่ผมรู้ว่าสิ่งนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นที่นี่ นี่คือเหตุผลที่ผมอยากย้ายกลับฮอลแลนด์ ผมอายุ 33 แล้ว และนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้เล่นให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่ที่มีโอกาสคว้าแชมป์รายการสำคัญ ๆ"

"ตอนเซ็นสัญญาเมื่อสามปีก่อนที่พวกเขาบอกผมเกี่ยวกับเงินที่พวกเขามี รวมถึงแผนการดึงสตาร์บิ๊กเนมเข้าสู่ทีม สนามใหม่ที่กำลังจะดำเนินการ กระบวนการต่าง ๆ และสัญญาว่าจะยกระดับฟูแล่มสู่จุดสูงสุดแม้กระทั่งบนเวทียุโรป”

"แต่สิ่งที่เอ่ยมาล้วนเป็นเพียงลมปากทั้งสิ้น สิ่งที่แย่ที่สุดคือฟูแล่มปล่อย หลุยส์ ซาฮา ออกจากทีมไป ซึ่งแน่นอนว่าเขาเป็นกุญแจสำคัญของทีม"

 

ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า

จนกระทั่งช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ก่อนเปิดฤดูกาล 2005-06 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ วัย 34 กะรัต ก็จรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวเพียง 4 ล้านยูโร โดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยกย่องการมาถึงของนายด่านวัยเก๋าว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในตำแหน่งผู้รักษาประตูนับตั้งแต่การจากไปของ ปีเตอร์ ชไมเคิล 

จากประสบการณ์ทั้งหมดที่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ สั่งสมมาจนขึ้นแท่นผู้รักษาประตูระดับแนวหน้าของโลก เพียงแค่ฤดูกาลแรกที่เขามาถึง เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าชัยในรอบชิงชนะเลิศลีกคัพ (ปัจจุบันคือ คาราบาว คัพ) เหนือ วีแกน แอธเลติก 4-0 ถึงแม้ว่าผลงานในลีกพวกเขาจะต้องเจ็บซ้ำเป็นอย่างมากเพราะในฤดูกาล 2005-06 เชลซี แชมป์ในซีซั่นดังกล่าวสามารถการันตีถ้วยแชมป์ไว้ในมือตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน ในเกมที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 

ฤดูกาลถัดมาแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ สมัยแรกของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับปีศาจแดงก็เกิดขึ้นในฤดูกาล 2006-07 รวมถึงมีชื่อติดทีมยอมเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) อีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์  มีส่วนสำคัญกับทีมเสมอถ้าหากเขาไม่มีปัญหาใด ๆ มารบกวน แถมอีกสามเดือนต่อมาหลังจากลีกปิดฉากลง เขายังพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จในเกมคอมมูนิตี้ชิลด์ โดยได้ลูกเซฟมหัศจรรย์สามครั้งติดในการดวลลูกโทษที่จุดโทษหลังเสมอกันในเวลา 1-1 

มาถึงฤดูกาล 2007-08 ปีนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยังทำผลงานในลีกได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดิม พวกเขาสามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ โดยเป็นการขับเคี่ยวกับ เชลซี จนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลด้วยแต้มห่างเพียงสองคะแนน ขณะที่ในเวทียุโรป ปีศาจแดงก็สามารถย้ำแค้นเชลซีได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง ฟาน เดอร์ ซาร์ รับบทฮีโร่เซฟลูกยิงของ นิโคลา อเนลก้า ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษหลังเจ๊ากันในเวลา 1-1 และจากผลงานข้างต้นที่กล่าวมานั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจต่อสัญญาใหม่กับนายด่านชาวเนเธอร์แลนด์ไปถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2009-2010 เป็นอย่างน้อย 

ซึ่ง เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ได้โชว์ศักยภาพรวมถึงยกระดับเกมรับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลถัดมาได้อย่างทันตาเห็น เนื่องจากเขาสามารถจารึกสถิติไม่เสียประตูนานที่สุดในพรีเมียร์ลีก รวมแล้วเป็นเวลากว่า 1,311 นาที และเป็นส่วนสำคัญให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เถลิงบัลลังก์แชมป์สโมสรโลกและพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อีกหนึ่งสมัย แต่น่าเสียดายที่ในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับ บาร์เซโลน่า ได้จึงทำให้พ่ายไป 2-0 

ช่วงพรีซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล 2009-10 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ได้รับอาการบาดเจ็บที่นิ้วส่งผลให้พลาด 12 เกมแรกของฤดูกาล ก่อนจะฟื้นฟูตัวเองกลับมาลงสนามได้ในเวลาต่อมา แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก ฟาน เดอร์ ซาร์ ถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอีกครั้ง ผนวกกับภรรยาของเขาดันมีอาการเลือดออกในสมองก่อนวันคริสต์มาส ปี 2009 อย่างไรก็ตาม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ไม่ปล่อยให้นักเตะคนสำคัญของสโมสรต้องต่อสู้เพียงลำพัง พร้อมกับขยายสัญญาต่อไปอีกหนึ่งปีถึงปี 2011

และแล้วช่วงเวลาสุดท้ายของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มาถึงจนได้ เมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-2011 นายด่านชาวเนเธอร์แลนด์จะโบกมือลาโรงละครแห่งความฝัน โดยเกมนัดส่งท้ายของ ฟาน เดอร์ ซาร์ เกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า 1-3 ปิดฉากความสำเร็จหกปีอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับ 26 โทรพี่ตลอดชีวิตการค้าแข้ง

"ผมไม่ได้เกลียดความคิดเรื่องการเกษียณอายุหรอกนะ ผมเฝ้ารอช่วงเวลานี้อยู่ตลอด ตอนนี้ผมอยู่จุดสูงสุดในอาชีพแล้ว และผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยถ้าหากผมจะปลดระวางตัวเองตอนที่ยังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมแบบนี้" เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กล่าวตอนตัดสินใจอำลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2011

 

บทบาทใหม่

หนึ่งปีถัดมาในปี 2012 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ได้ผันตัวเองไปทำงานอยู่เบื้องหลังกับสโมสรที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาอย่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในบทบาทผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ที่มีหน้าที่เจรจากับบรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลาย

จนในปี 2016 เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ได้รับการการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมารับบทบาทซีอีโอของอาแจ็กซ์ พร้อมกับมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขากลับมาสวมถุงมือเฝ้าเสาให้กับ นูร์ดวิก (Noordwijk) สโมสรเยาวชนในอดีตของเขา ซึ่งอยู่ในลีกสมัครเล่นระดับ 5 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ในเกมที่เสมอกับ โจดัน บอยส์ 1-1 

และที่สำคัญ เขายังมีส่วนในการเจรจาซื้อขายส่งออกแข้งดังมากมายสู่ลีกใหญ่ทั่วยุโรป สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้แก่ต้นสังกัดในแบบที่รับกันไม่หวาดไม่ไหว อาทิ ฮาคิม ซีเย็ค (เชลซี), ดอนนี ฟาน เดอ เบค, ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ แอนโทนี่ (แมนฯ ยูไนเต็ด) เป็นต้น

แต่ดีลที่ถูกใจสาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าอย่างจัง กลับไม่ใช่แข้งสตาร์ดังหรือดาวรุ่งพรสวรรค์ แต่เป็นการไฟเขียวให้ เอริค เทน ฮาก ย้ายไปกุมบังเหียน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2022-23 แถมยังอวยพรให้กุนซือรายนี้ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เขาเคยทำได้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเขาได้กล่าวไว้ว่า

“เอริก บางครั้งผมคิดว่าคุณเป็นผู้ชายที่แปลกดี แต่คุณก็ทำได้เกินความคาดหวังทั้งหมด ทั้งระบบฟุตบอลที่โดดเด่น เข้าถึงรอบรองชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นแชมป์ลีก และคุณกำลังจะไปอยู่กับสโมสรที่ใกล้กับหัวใจของผม ผมขอให้คุณพบเจอกับสิ่งที่ดีที่สุดที่นั่น ขอบคุณ เอริก เทน ฮาก จากก้นบึ้งของหัวใจ”

 

เหตุร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

หลังจากนั้น เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็ปฏิบัติหน้าที่แบบไม่มีขาดตกบกพร่องมาโดยตลอด จนกระทั่งเขารู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเกษียณตัวเอง โดยวันที่ 30 พฤษภาคม 2023 สโมสรอาแจ็กซ์ได้ประกาศเรื่องสำคัญว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จะก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอของสโมสร แต่ถึงกระนั้นทางบอร์ดบริหารกลับต้องการตัว ฟาน เดอร์ ซาร์ ให้รักษาการตำแหน่งนี้เอาไว้ก่อนจนถึงวันที่ 1 เดือนสิงหาคม ปี 2023 ถึงแม้สัญญาจริง ๆ ของเขาจะหมดลงในเดือนมิถุนายน ปี 2025 ก็ตาม

"หลังจากเกือบ 11 ปีบนกระดาน ผมจบแล้ว เราผ่านประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาด้วยกัน แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากเช่นกัน ผมรู้สึกขอบคุณผู้คนที่ผมได้พบและทำงานด้วย”

“เราผ่านสิ่งต่าง ๆ และประสบความสำเร็จร่วมกันมา มันไม่รู้สึกดีเลยที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตที่ต้องจากทีมที่ยอดเยี่ยมนี้ ผมรู้สึกว่าผมจำเป็นต้องเว้นระยะห่าง พักผ่อน และทำสิ่งอื่น ๆ บ้าง นี่คือเหตุผลที่ผมตัดสินใจลาออก” 

หลังลาออก ฟาน เดอร์ ซาร์ ตัดสินใจไปพักผ่อนกับครอบครัวที่โครเอเชีย แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิด จู่ ๆ เขาก็มีอาการเลือดออกในสมองจนต้องนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

เขาได้รับการรักษาในห้อง ICU ที่โรงพยาบาลในโครเอเชียประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะถูกส่งตัวกลับไปรักษาที่เนเธอร์แลนด์ต่อ เขายังอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์และครอบครัวอย่างใกล้ชิด

และแน่นอนว่าแรงภาวนาจากแฟน ๆ และคนในวงการฟุตบอลทั่วโลกที่ส่งให้กับ ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็เห็นผล เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมา แอนมารี ผู้เป็นภรรยา โพสต์ภาพคู่กับสามีลงในทวิตเตอร์ของเขา

เป็นภาพที่ใครเห็นแล้วก็เต็มไปด้วยความโล่งอก เพราะมันเป็นภาพที่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ นั่งยิ้มกว้างอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีสีหน้าสดใส แววตาเปล่งประกาย แสดงให้เห็นชัดว่าเขากำลังจะกลับมาแข็งแรงในเร็ววัน เพื่อกลับไปเป็น เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่จะได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างเต็มที่อีกครั้ง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://bleacherreport.com/articles/586888-edwin-van-der-sar-to-retire-from-manchester-united-at-the-end-of-epl-season
https://www.skysports.com/football/news/2295586/van-der-sar-wants-fulham-exit
https://www.transfermarkt.com/edwin-van-der-sar/leistungsdaten/spieler/3516/plus/0?saison=ges
https://en.wikipedia.org/wiki/Edwin_van_der_Sar#cite_note-29
https://thefootballfaithful.com/van-der-sar-sends-best-wishes-to-weird-ten-hag-ahead-of-man-utd-move-as-ajax-wrap-up-title/
https://english.ajax.nl/search/?q=van+der+sar+

Author

รณกฤต ตุลยะปรีชา

วัยรุ่นคู้บอน

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา