ตั้งแต่ฟุตบอลไทยลีกก้าวสู่ความเป็นอาชีพเต็มตัวเมื่อ 2009 มีกุนซือไทยและต่างชาติมากหน้าหลายตา ตบเท้าเข้ามาโชว์มันสมองข้างสนาม
แต่ละคนดีกรีหรูหรา ผ่านประสบการณ์โชกโชน แต่สุดท้ายเมื่อจบภารกิจทั้งสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ต่างคนก็แยกย้ายไปตามฟ้าลิขิต ชื่อเสียงค่อยๆ หายไปจากวงการลูกหนังไทยที่ถูกยกให้เป็น “ลีกกินโค้ช”
แต่แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานกว่า 10 ปี ทว่าชื่อของ “สมชาย ชวยบุญชุม” กลับคงอยู่คู่ลูกหนังไทย ยังมีทีมจากลีกสูงสุดและลีกพระรองคอยติดต่อไปทำงานชนิดหัวกระไดไม่เคยแห้ง
ทำไมกุนซือที่โดนสบประมาทว่าเป็นโค้ชตกยุค จะยังคงมีงานคุมทีมไม่ขาดมือ ไปติดตามกับ BallThaiStand
ปรัชญาลูกหนังแบบญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เน้นความฟิต บู๊กระจาย
“น้าฉ่วย” สมชาย ชวยบุญชุม ถือเป็นกุนซือที่ผ่านประสบการณ์คุมทีมมากมายไม่ว่าจะเป็นระดับเยาวชนทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี คว้าแชมป์อาเซียน ตามด้วยคิวลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก เมื่อปี 2011
นักเตะชุดนั้นมีทั้ง นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ลงสนามเจอกับเพื่อนร่วมสายกระดูกขัดมันอย่าง เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น มหาอำนาจลูกหนังแห่งทวีปเอเชีย
สุดท้าย “น้าฉ่วย” สามารถพาทีมหักปากกาเซียน คว้าแชมป์กลุ่มตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ชนิดที่เอาชนะ เกาหลีใต้ และเสมอญี่ปุ่นได้ด้วย
จากนั้นนักเตะในชุดนี้ถูกต่อยอดเป็นกำลังหลักพาทีมชาติไทย คว้าแชมป์ซีเกมส์ และก้าวไปถึงกลายเป็นเจ้าอาเซียน พร้อมทะลุไปถึงรอบ 12 ทีมของฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกในเวลาต่อมา
การคุมทีมของกุนซือลายครามไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากการติดตั้งระเบียบวินัยและเพิ่มความฟิตให้กับนักเตะสามารถบดขยี้คู่แข่งได้ตลอด 90 นาที ซึ่งทุกกระบวนการล้วนเข้มข้นตั้งแต่สนามฝึกซ้อม
สาเหตุที่เน้นความฟิต เพราะ “น้าฉ่วย” มองว่านักเตะทุกคนมีเบสิกที่ดีอยู่แล้ว ที่ขาดหายไปคือความฟิต หากความฟิตถึง นักเตะไทยสู้ได้ทุกทีม การฝึกซ้อมแบบคางเหลืองเช่นนี้เอง ทำให้ “W-Hot” วัชระ บัวทอง อดีตมือกาวของทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ถึงกับต้องแต่งเพลง “น้าฉ่วย” ในแบบฉบับแร็ปเปอร์ลงในช่อง Youtube
โดยเนื้อหาสื่อไปถึงการฝึกซ้อมของ “น้าฉ่วย” ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง 400 เมตร 10 รอบ หรือวิ่งขึ้นภูเขาเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร แม้จะดูน่าเบื่อ แต่เป้าหมายคืออยากให้นักเตะได้ดี
หากสอดส่องไปยังชาติที่พัฒนาและเต้ยลูกหนังในเอเชีย อย่าง เกาหลีใต้ หรือ ญี่ปุ่น ก็ใช้วิธีการแบบนี้สร้างรากฐานความฟิต ความอึด ให้กับนักเตะในทีมเหมือนกัน
ดังนั้นศาสตร์ลูกหนังที่เน้นพละกำลังไม่ใช่กลยุทธ์ที่ตกเทรนด์ เพราะความอึดและบึกบึนเป็นสิ่งที่นักกีฬาควรมีอยู่แล้ว
“เมื่อก่อนผมก็จำวิธีทำบอลเด็กมาจาก ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ผมสงสัยมาตลอดทำไมเก่งจัง ซึ่งผมได้ค้นพบว่า บอลเด็กต้องมีวินัยและความฟิตเป็นตัวนำ เราต้องเคี่ยวเข็ญให้เด็กมีความฟิต วิ่งไล่บอลได้ตลอดเกม มันต้องสร้างความฟิตตั้งแต่เด็ก"
การทำทีมแบบใช้ “ความฟิต” กลายเป็นเคล็ดไม่ลับพาทีมที่ “น้าฉ่วย” คุมบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะการพาทีม “รอดตกชั้น” มานักต่อนักแล้ว
ค่าจ้างราคาย่อมเยา
ปัจจุบัน “น้าฉ่วย” ผ่านการอบรมระดับเอ ไลเซนส์ ล่าสุดได้ยื่นสมัครหวังเรียนถึง “โปร ไลเซนส์” สุดท้ายเอกสารไม่ครบทำให้อดเข้าร่วมอบรม
สาเหตุที่กุนซือวัย 69 ปี ตัดสินใจทุบกระปุกเอาเงินกว่า 500,000 บาท มาสมัครเรียน เพื่อหวังเป็นใบเบิกทางรับงานกุนซือระดับไทยลีก 1 หรือ “รีโว ไทยลีก” ตามกฎระเบียบใหม่ที่ระบุชัดเจนว่ากุนซือในลีกสูงสุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2023/24 ต้องผ่านการอบรมระดับสูงสุดเท่านั้น
การคุมทีมระดับสูงและประสบการณ์คุมทีมโชกโชน กุนซือหลายคนจะได้รับเงินเดือนสูงตามไปด้วย บางคนหลัก 3 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไป ถ้าโค้ชต่างชาติอาจจะได้เงินเดือนแตะล้านบาทก็มี
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกุนซือรายนี้ เพราะการคุมทีมแต่ละครั้งเขาไม่ได้รับเงินเดือนมหาศาล และมีงบประมาณในการทำทีมจำกัดจำเขี่ย
“น้าฉ่วย” เคยเปิดเผยถึงการรับงานคุมทีมว่า “จริงๆ เรื่องเงินไม่ได้สำคัญมาก ให้แสนหรือแสนนิดๆ ก็ไปแล้ว หรือทีมไหนเงินไม่เยอะ แต่มีเป้าหมายมีความจริงใจก็ไปช่วย บางครั้งได้ไม่ถึงแสนก็มี คือเราไม่ใช่คนดังจะไปเรียกเงินเดือนหลายแสนเขาก็ไม่จ้างเรารู้ตัวเอง”
“เราจะคุยแนวทางกับสโมสร เป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าผู้บริหารมั่นใจและเชื่อใจก็รับงาน เน้นการทำงานแล้วสบายใจมากกว่า เมื่อสบายใจทำงานมันก็ง่าย ผลงานที่ผ่านมาเลยออกมาดี”
ทำผลงานเกินงบประมาณทำทีม
"น้าฉ่วย" ผ่านประสบการณ์คุมทีมระดับสโมสรเพียบไม่ว่าจะเป็น สมุทรสงคราม, ทีทีเอ็ม เชียงใหม่, การท่าเรือ, สุโขทัย, ราชนาวี, ศรีสะเกษ,หนองบัว พิชญ ,ตราด และ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด เป็นทีมล่าสุด
จะเห็นเลยว่าแต่ละทีมไม่ใช่เงินที่เงินทุนหนา แต่ต้องการทำผลงานได้ตามเป้าหมายของผู้บริหารวางไว้ ส่วนใหญ่ต้องการแค่ “รอดตกชั้น” ซึ่ง “น้าฉ่วย” สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย
นอกนั้นก็เป็นทีมระดับลีกรองที่ต้องการเลื่อนชั้น “น้าฉ่วย” ก็จัดให้อย่างสาสม ไม่ว่าจะเป็น สุมทรสงคราม, สุโขทัย หรือ หนองบัว พิชญ ส่วน ศรีสะเกษ เกือบจะตีตั๋วสู่ลีกสูงสุดในปี 2019 แต่มาโดนตัด 12 แต้มจากกรณีค้างเงินเดือนนักเตะ ซึ่งเกิดขึ้นในยุคอีสาน ยูไนเต็ด แต่โดนฟีฟ่าลงโทษย้อนหลังก็เลยอกหักไป
แม้จะโดนสบประมาทว่าเป็นคนทำบอลสไตล์โบราณ รับแล้วโต้จนคนอื่นจับทางได้หมดแล้ว แต่หากทีมเป็นรองและงบน้อยก็ต้องเล่นแนวนี้อยู่แล้ว แต่จริงๆ “น้าฉ่วย” ถือว่าเป็นกุนซือที่เน้นเกมรุก หลายทีมที่คุมก็ยิงประตูไม่น้อยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ “น้าฉ่วย” เคยอาสาคุมทีมชาติไทย ชุดใหญ่ แทนที่ อากิระ นิชิโนะ ที่สวมคอนเวิร์สกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เขายังเรียกเงินค่าจ้างแค่ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเท่านั้น แต่สุดท้ายดีลนี้ไม่เกิดขึ้น
“เอาจริง ๆ ถ้าให้ผมคุมทีมชาติไทยนะ ผมไม่ขอมากเลย ผมขอแค่ 50,000 บาท พอแล้วจริงๆ”
“งานผมจะมา 2 ช่วงคือ ช่วงก่อนเปิดฤดูกาล แต่ละปีจะมีบ้าง ไม่มีบ้าง แต่ในช่วงเลก 2 มีทีมที่สุ่มเสี่ยงจะตกชั้น คราวนี้ก็จะโทรหาผม ส่วนใหญ่ผมก็ทำทีมรอดตกชั้นได้ อยากเลื่อนชั้นผมก็เคยจัดให้”
อนาคตของ “น้าฉ่วย” ในการคุมทีม
แม้จะอกหักพลาดการลงอบรมโค้ชระดับโปรไลเซนส์ ทำให้พลาดโอกาสคุมทีมในระดับไทยลีก 1 แต่ฟุตบอลไทยสมัยนี้ หากหาคนที่โปรไฟล์สูงๆ มาห้อยไว้ แล้วให้ “น้าฉ่วย” ไปคุมทีมก็พอเป็นไปได้ในอนาคต
แต่ตอนนี้มีทีมในไทยลีก 2 กำลังจ้อง “น้าฉ่วย” ตาเป็นมันและมีบางทีมได้ยื่นข้อเสนอไปแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในฤดูกาลหน้า เขาจะกลับมาคุมทีมข้างสนามอีกครั้งอย่างแน่นอน
หากตัดอคติออกไปจะเห็นว่า “น้าฉ่วย” เป็นโค้ชที่มีฝีมือ สายตาเฉียบแหลมอ่านเกมขาด ดูนักเตะเป็น นักเตะหลายคนโนเนมเขาปั้นให้เล่นอาชีพได้สบายๆ แถมค่าเหนื่อยถูก
ผู้ช่วยหลายคนก็ก้าวไปเติบโต ล่าสุดก็เป็น “โค้ชหาญ” หาญณรงค์ ชุณหคุณากร ที่เพิ่งพา ตราด เลื่อนชั้นไปเล่นในไทยลีกฤดูกาลหน้า
ในโลกของฟุตบอลไม่มีสูตรตายตัว หลายคนอาจมองว่า “น้าฉ่วย” เป็นกุนซืออายุเยอะ เป็นกุนซือตกยุค แต่สุดท้ายหากทำทีมบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จ
ดังนั้นคำว่า “โค้ชตกยุค” ก็แค่คำพูดที่ทำให้คนอื่นดูไม่ดี แต่หากเอาแค่ผลงาน “น้าฉ่วย” ถือว่าเป็นกุนซือสัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนนึงของวงการ คนมีฝีมือแบบนี้ใครก็อยากได้ตัวไปทำงาน
แต่เสียดายอย่างเดียวที่แกไม่เคยมีโอกาสได้สำแดงเดชกับการคุมทีมใหญ่ เงินหนา เท่านั้นเอง