Feature

เมื่อมิลานต้องแบ่งเป็นสองสี : ย้อนรอยมิลาน ดาร์บี้ สุดเดือด จนแข่งขันไม่จบเกม | Main Stand

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าทีมไหนบ้างที่ได้เข้ารอบในการแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศในปีนี้ ซึ่งแฟนบอลของกัลโช่ เซเรีย อา ต้องตื่นตาตื่นใจอีกครั้งเพราะในรอบนี้มีศึก “มิลานดาร์บี้” อยู่ด้วย 

 


เมืองมิลาน ที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่น แต่เรื่องของฟุตบอลก็มีการขับเคี่ยวไม่แพ้กัน พลพรรคปีศาจแดงดำอย่าง เอซี มิลาน และ ทัพงูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน ทั้งคู่ต่างสร้างความดุเดือดในเกือบทุกครั้งที่ได้เจอกันใน ‘ดาร์บี้ เดลลา มาดอนนีน่า’

อย่างเช่นในฤดูกาล 2004/05 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ทั้งคู่เคยเจอกันมาแล้ว จนเกิดภาพสุดคลาสสิกที่ มาร์โก มาร์เตรัซซี่ ยืนเคียงข้าง รุย คอสต้า ท่ามกลางไฟที่ลุกท่วม ในตอนนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง และทำไมถึงแข่งขันกันไม่จบเกม ?

มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับ Main Stand 

 

จุดเริ่มต้นของความบาดหมาง

ย้อนไปในเดือนธันวาคม ปี 1899 ชายชาวอังกฤษที่ชื่อ เฮอร์เบิร์ต คิลพิน ที่เกิดในน็อตติงแฮม เขาเข้ามาทำมาหากินในเมืองมิลานจนมีฐานะร่ำรวย เฮอร์เบิร์ตเป็นคนที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งทีมคริกเก็ตและฟุตบอลประจำเมืองมิลานขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า “มิลาน ฟุตบอล แอนด์ คริกเก็ต คลับ”

มิลาน ฟุตบอล แอนด์ คริกเก็ต คลับ กลายเป็นสโมสรเอซี มิลาน ในเวลาต่อมา และนี่คือสโมสรแรกในเมืองมิลาน ทำให้ในตอนนั้นเมืองมิลานถูกผูกขาดด้วยสโมสรเดียวก็คือทัพปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน กับแนวคิดในการสร้างทีมที่ว่า “เราจะเป็นทีมปีศาจ สีของเราจะแดงเหมือนไฟ และมีสีดำเพื่อให้ศัตรูเกรงกลัว” นี่เป็นคำพูดของคิลพินตอนที่เขาก่อตั้งสโมสรนี้ขึ้นมา

ในตอนแรก ผู้คนในเมืองมิลานก็สนับสนุนเอซี มิลาน เพราะในเมืองมิลานมีแค่สโมสรเดียว แต่นานวันไปการเปลี่ยนแปลงภายในก็เกิดขึ้น ภายใต้อุดมการณ์ที่สวยหรูของบอร์ดบริหารที่มักจะมี ความชาตินิยม อยู่เบื้องหลัง และมีการเล่นพรรคพวกในกลุ่มผู้บริหารชาวอังกฤษเกิดขึ้น 

สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ถึงจุดแตกหักคือ การที่ผู้บริหารกีดกันไม่ให้นักเตะต่างชาติได้ลงสนามและเล่นพรรคเล่นพวกมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นคลื่นใต้น้ำและปะทุออกมาในที่สุด 

เรื่องราวความหัวโบราณของสโมสรแห่งเดียวในเมืองมิลานสะสมมาเรื่อย ๆ จน 9 ปีต่อมาความอึดอัดดังกล่าวก็ได้หมดไป กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการทำทีมซึ่งเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้า มีการศึกษา และเป็นนักธุรกิจที่รำ่รวย ได้รวมตัวกันก่อตั้งสโมสรขึ้นเองในปี 1908 ใช้ชื่อว่า “ฟุตบอลคลับ อินเตอร์นาซิอองนาล” โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง จอร์โจ มักกิอานี ศิลปินผู้เป็นชาวเมืองมิลานเป็นหัวเรือใหญ่ 

โดยคำว่า อินเตอร์นาซิอองนาล (Internazionale) ก็คือคำว่า International ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า นานาชาติ มันตรงกับเจตนารมย์ของทางบอร์ดผู้บริหารที่พร้อมจะเปิดรับนักเตะต่างชาติ โดยไม่ได้จำกัดผู้เล่นชาวอิตาลี ซึ่งต่างจาก เอซี มิลาน อย่างชัดเจน 

ความรู้สึกแตกแยกกันเริ่มแสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ต่างคนต่างมีความเชื่อในแบบของตนเอง โดยทาง เอซี มิลาน มีชนชั้นแรงงานในเมืองสนับสนุนและให้ความรักกับสโมสรนี้อยู่ รวมถึงยังได้รับเงินสนับสนุนจากเหล่าขุนนางที่ต้องการได้คะแนนความนิยมจากกลุ่มชนชั้นรากหญ้า 

ขณะที่ฝั่ง อินเตอร์ มิลาน ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนที่มีหัวก้าวหน้าที่มีปัญญาชนรายได้สูงเป็นแฟนบอล นั่นเป็นเหตุทำให้แฟนบอลทั้งสองทีมนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่องอุดมการณ์ ฐานแฟนบอล การเมือง และประเพณี ทางฝั่งแฟนเอซี มิลาน มักจะมองว่าแฟนบอลฝั่งอินเตอร์มักจะมีฐานะดีกว่า 

 

ย้อนรอยดาร์บี้สุดเดือด

หากย้อนไปในฤดูกาล 2004/05 ถ้าจะนึกถึงฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ผู้คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล ของ ลิเวอร์พูล ที่ตามหลัง เอซี มิลาน อยู่ 3-0 แต่กลับมายิงรัว 3 ประตู จนสกอร์กลับมาเสมอกัน และไปชนะในการดวลจุดโทษได้สำเร็จ

แต่มากไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นได้บ่อยนักในโลกของฟุตบอลคือการที่คู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เอซี มิลาน และ อินเตอร์ มิลาน โคจรมาพบกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือที่เราสามารถเรียกได้ว่า มิลาน ดาร์บี้ นั่นเอง 

ในตอนนั้น อินเตอร์ มิลาน มีความมั่นใจมากกว่า เพราะมีสตาร์ตัวดังหลายคนอย่าง อาเดรียโน่, คริสเตียน วิเอรี่, ฮาเวียร์ ซาเนตติ, มาร์โก มาร์เตรัซซี่ ฯลฯ เรียกได้ว่าพวกเขามีขุมกำลังที่พร้อมมาก ๆ ที่จะคว้าแชมป์ยุโรป

ทางฝั่งปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ก็ไม่น้อยหน้า พวกเขามี อันเดร เชฟเชนโก้, เฮอร์นัน เครสโป, กาก้า, เปาโล มัลดินี่ ขุมกำลังเรียกได้ว่าไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว แต่ที่ เอซี มิลาน มีมากกว่า อินเตอร์ มิลาน ในตอนนั้นคือ “ประสบการณ์” เพราะทัพปีศาจแดงดำเพิ่งจะได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปครองเมื่อปี 2003 

ในเลกแรก 6 เมษายน 2005 ทางฝั่ง เอซี มิลาน เป็นเจ้าบ้านก่อน แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เล่นดีไปกว่าอินเตอร์มากนัก จุดชี้ขาดอยู่ที่ลูกเซ็ตพีซ ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ถึง 2 ประตูจาก ยาป สตัม และ อันเดร เชฟเชนโก้ ทำให้เลกแรก เอซี มิลาน กุมความได้เปรียบไว้ก่อน 

ต่อมาในเกมเลกที่ 2 ในวันที่ 12 เมษายน 2005 อินเตอร์ มิลาน ถือว่ายังพอมีลุ้น เพราะสกอร์ตามหลังแค่สองลูก แต่ดันมีจังหวะให้แฟน ๆ อินเตอร์หงุดหงิดหลายครั้ง เนื่องจากคำตัดสินของผู้ตัดสินชาวเยอรมันอย่าง มาร์คุส แมร์ก ที่เป่าไม่เป็นใจเลยสักจังหวะเดียว

ความอดทนของแฟนบอลอินเตอร์มีขีดจำกัด จนมันจะปะทุออกมาในนาทีที่ 71 แฟนบอลอินเตอร์โซนฮาร์ดคอร์ทนไม่ไหวขว้างพลุไฟลงมาโดนไหล่ ดีด้า ผู้รักษาประตูของเอซี มิลาน จนทำให้บาดเจ็บและต้องเปลี่ยนตัวออก 

มาร์คุส แมร์ก จึงเบรกการแข่งขัน 10 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่เคลียร์พลุไฟออกให้หมด พอเคลียร์พลุไฟออกหมดแล้ว เมื่อเริ่มการแข่งขันไปแค่นาทีเดียว แฟนบอลอินเตอร์ก็ยังไม่หยุดปาพลุลงมาเป็นร้อย ๆ ชิ้น จนสนามลุกเป็นเปลวเพลิง 

เป็นเหตุทำให้เกมต้องหยุดอีกรอบ นักเตะทั้งสองทีมก็ยืนดูว่าเหตุการณ์จะสงบลงเมื่อไร จึงทำให้เกิดภาพสุดคลาสสิกที่ มาร์โก มาเตรัซซี่ ยืนดูเปลวไฟอยู่กับ รุย คอสต้า ที่ในหลากหลายสื่อนำออกมาเผยแพร่อีกครั้งนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าสองทีมแห่งเมืองมิลานในยุคนั้นมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากจากภาพสุดคลาสสิกที่ได้กล่าวไปข้างต้น ในยุคนั้นนักเตะระดับท็อปต่างมารวมกันที่สองทีมนี้ แฟนบอลทั้งสองทีมต่างก็มีแพสชั่น จึงทำให้เกมการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้มีความสนุกเข้มข้น

คาร์โล อันเชล็อตติ เฮดโค้ชของทัพปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า 

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดจากวัฒนธรรมอิตาลี ผมผ่านเกมดาร์บี้แมตช์มามากมายทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นอะไรแบบนี้ เมืองมิลานทั้งหมดจะถูกลงโทษ เมืองนี้แสดงถึงความยุติธรรมอันยิ่งใหญ่มาโดยตลอด”

“ทุกคนควรหยุดสร้างดราม่าบนจอทีวีเสียที และควรหยุดนำเสนอในแง่มุมที่ไร้สาระ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกับเกมฟุตบอล”

“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง มีวัฒนธรรมบางอย่างที่ต้องเปลี่ยนแปลง และกีฬาควรจะแข่งขันกันด้วยความสงบมากขึ้น”

ท้ายที่สุดแล้ว เกมในวันนั้นผู้ตัดสินเห็นว่าไม่สามารถแข่งกันต่อได้แล้ว จึงเป่านกหวีดยุติการแข่งขัน ทำให้เกมนั้นผลสกอร์จบที่ เอซี มิลาน ชนะไป 1-0

หลังจากนั้นทางยูฟ่าพิจารณาลงโทษ อินเตอร์ มิลาน ให้แพ้ไปในเกมนั้น 3-0 ทำให้ผลสกอร์รวม เอซี มิลาน ชนะไปด้วยสกอร์รวม 5-0 ตามด้วยโดนปรับเงิน 192,180 ยูโร และสั่งให้อินเตอร์ห้ามมีกองเชียร์เข้าชมในเกมยุโรปจำนวน 4 นัด 

 

การโคจรมาเจอกันอีกครั้ง 

ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ ของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นับเป็นเรื่องยากมากที่ทั้งคู่จะได้มาเจอกันในบอลยุโรป โดยในยุคนี้ทั้งสองทีมก็มีนักเตะสายเลือดใหม่มากมายที่ขุมกำลังไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร  

การโคจรมาพบกันในครั้งนี้ทำให้แฟน ๆ ต่างนึกไปถึงตอนที่พวกเขาได้เจอกันในฤดูกาล 2004/05 ที่เกิดเหตุการณ์ดราม่าขึ้นมากมายจนทำให้เกมการแข่งขันไม่สามารถแข่งต่อไปได้อีก นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่ทั้งคู่จะพบกันถึง 5 ครั้งในฤดูกาลเดียว โดยพวกเขาพบกันมาแล้ว 2 ครั้งในลีก และอีก 1 ครั้งในนัดชิงชนะเลิศซูเปอร์ โคปปา อิตาเลีย 

ฟุตบอลอิตาลีอาจจะไม่ได้โดดเด่นมากในฟุตบอลยุโรปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จแค่การคว้าแชมป์ยูโร 2020 เพียงเท่านั้น การพบกันระหว่างสองทีมแห่งเมืองมิลานในครั้งนี้จึงทำให้พอนึกคิดไปได้ว่า ฟุตบอลอิตาลีจะกลับเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้งหรือไม่ และนี่ถือเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนบอลกัลโช่เป็นอย่างมาก

ทางด้าน อินเตอร์ มิลาน สถานการณ์ในลีกอาจจะไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะ 5 นัดหลังสุด ทัพงูใหญ่ไม่ชนะใครเลย และแพ้ไปถึง 4 นัด 

“มันจะเป็นดาร์บี้ที่พิเศษแน่นอน เราทุกคนรู้ดีว่าเกมนี้มันมีความหมายยังไง การเล่นมิลานดาร์บี้ในรอบรองชนะเลิศมันพิเศษมาก ๆ” ศูนย์หน้าอาร์เจนตินาอย่าง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กล่าว

โดย ซิโมเน่ อินซากี้ ก็กลายเป็นเฮดโค้ชชาวอิตาลีคนแรกที่พาทัพอินเตอร์ มิลาน เข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ เผยว่าทีมของเขาไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไปในการเจอกับคู่ปรับร่วมเมืองอย่างเอซี มิลาน

“ผมมีความสุขและภูมิใจมากในการพาสโมสรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้กลับไปสู่ที่ที่ควรเป็น เราคู่ควรกับรอบรองชนะเลิศ มันเคยเป็นความฝัน แต่ตอนนี้เราอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเล่นให้ยิ่งใหญ่” 

ปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ที่ผ่านเข้ารอบมาโดยการชนะ นาโปลี จ่าฝูงของกัลโช่ เซเรีย อา แบบพลิกโผ พวกเขามีเกมรับที่มีวินัยและเกมรุกที่โดดเด่นของ ราฟาเอล เลเอา มันเพียงพอที่จะทำให้พวกเขามาไกลถึงรอบนี้ 

ความสำเร็จในฟุตบอลอิตาลีมีมากกว่าการเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะกับถ้วย ยูโรปาลีก ก็เหลือทีมจากอิตาลีเข้ารอบไปสองทีม นั่นคือ โรม่า และ ยูเวนตุส ส่วน ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ลีก ก็ยังมี ฟิออเรนติน่า ที่ผ่านเข้ารอบ สรุปแล้วมีทีมจากอิตาลีเข้ารอบรองชนะเลิศไปถึง 5 ทีม น่าสนใจอย่างยิ่งกว่ายุคทองของฟุตบอลอิตาลีจะกลับมาในเวลาอันใกล้

โดยเลกแรกของเกม มิลาน ดาร์บี้ จะแข่งขันกันในคืนวันพุธที่ 10 พฤษภาคม เวลา 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://football-italia.net/the-story-behind-that-iconic-milan-derby-photo/
https://www.theneweuropean.co.uk/brexit-news-ac-milan-internazionale-san-siro-serie-a-italy-69340/#:~:text=Inter%2C%20meanwhile%2C%20were%20founded%20in,to%20be%20more%20Italian%2Dcentric.
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/inter-milan-flare-champions-league-26692866
https://www.bbc.com/sport/football/65317328
https://bleacherreport.com/articles/2676302-ac-milan-vs-inter-milan-what-does-the-derby-della-madonnina-mean
https://www.britannica.com/topic/Inter-Milan
https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_A.C._Milan

Author

ยลดา เวียงสิงขรณ์

เด็กอักษรเอกเยอรมัน เชียร์เชลซีและการท่าเรือ ติดตามนางงามทุกเวที

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น