เราล้วนมีเหตุผลของการตกหลุมรักอะไรบางสิ่ง ฟุตบอลก็เช่นกัน คุณอาจเป็นคนรุ่นเก๋าที่เติบโตมากับนักฟุตบอลในยุค 80s, 90s หรืออาจจะเป็นวัยที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่มสาวและสะดุดเข้ากับมนต์เสน่ห์ของเกมลูกหนังยุคใหม่
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนยุคสมัยไหน เราเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลในการเชียร์ทีมฟุตบอลสักทีม เหมือนกับ ภัคพล ถวยทะวิมล นักเขียนหน้าใหม่ จากโครงการ Find the young creator ผู้ที่เชียร์ลิเวอร์พูลเพราะต้องมนต์สะกดจากคำพูดปลุกใจของ เยอร์เกน คล็อปป์ ติดตามเรื่องราวนี้ไปกับ Main Stand
จุดเริ่มต้น
มันอาจจะประหลาดสักหน่อยถ้ามีแฟนบอลลิเวอร์พูลคนหนึ่งบอกว่า “ผมเริ่มเชียร์ลิเวอร์พูลในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจอ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2008/2009” ใช่ครับ … รักแรกพบของผมกับลิเวอร์พูลคือเกมนั้นเอง
ต้องเกริ่นก่อนว่า เป็นช่วงแรก ๆ ที่บ้านของผมติดจานดาวเทียม UBC เหตุเกิดจากพ่อของผมอยากดูบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ประจวบกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนของผมเริ่มพูดถึงชื่อนักฟุตบอลเท่ ๆ ที่ผมไม่คุ้นหู (สมัยนั้นผมดูแต่ฟุตบอลทีมชาติ) เช่น ชาบี อลอนโซ่, สตีเวน เจอร์ราด, เฟร์นานโด ตอร์เรส และมักจะพูดถึงทีม ๆ หนึ่งตลอดเวลา นั่นคือ “ลิเวอร์พูล” ผมที่ไม่ได้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่แรกและกลัวที่จะคุยกับเพื่อน ๆ ไม่รู้เรื่อง จึงเริ่มดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากขึ้น ๆ ทุกอาทิตย์ จนกระทั่งเกมหนึ่ง เกมที่ลิเวอร์พูลไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเอติฮัด สเตเดียม ผมก็นั่งดูกับพ่อเช่นเคย
โดยครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำไปก่อน 2-0 ซึ่งตอนนั้นพ่อของผมที่เป็นแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บอกว่า “ไปดูคู่อื่นเถอะ จบแล้วล่ะ” แต่ผมก็ยังดึงดันจะดูให้ได้ จนกระทั่งครึ่งหลัง เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิงประตูตีไข่แตกและโหม่งประตูตีเสมอเข้าไป และลูกสุดท้าย เดิร์ก เคาท์ ยิงเข้าไปแบบเน้น ๆ จบเกม ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาชนะด้วยสกอร์ 3-2 เป็นแมตช์ที่ตราตรึงใจผมมาก ถึงขั้นที่ผมตั้งปณิธานกับตัวเองไว้เลยว่า “นี่แหละคือทีมที่ผมจะเชียร์ต่อจากนี้ไป”
หลังจากวันนั้นลิเวอร์พูลก็ผ่านร้อนผ่านหนาวฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า ผู้จัดการทีมแล้วผู้จัดการทีมเล่า (โดยเฉพาะ รอย ฮ็อดจ์สัน ที่ผ่านไปไว ๆ เถอะ) จนกระทั่งได้ลิเวอร์พูลได้พบกับผู้จัดการทีมชาวเยอรมันที่ชื่อ เยอร์เกน คล็อปป์ ในปี 2015 เขาได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เราต้องเปลี่ยนจากคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นสู่คนที่มีความเชื่อ” (From Doubters to Believers) นอกจากนี้เขายังนิยามตัวเองว่า เขาคือ “คนธรรมดาคนหนึ่ง” (The Normal One)
ปาฏิหาริย์และมนต์ขลังแห่งแอนฟิลด์
มีหลายต่อหลายครั้งที่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็น ‘ปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล ปี 2005’ หรือ ‘นัดชิงเอฟเอ คัพ กับเวสต์แฮม’ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแมตช์ที่จะตราตรึงใจแฟนลิเวอร์พูลไปอีกนานคือแมตช์ที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านถล่ม บาร์เซโลน่า 4-0 ซึ่งเป็นแมตช์ที่ผมเชื่อในคำพูดของ เยอร์เกน คล็อปป์ ได้อย่างสุดใจที่ว่า “เราได้เปลี่ยนจากคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นสู่คนที่มีความเชื่อแล้ว”
โดยเกมแรกที่คัมป์นู ลิเวอร์พูล แพ้ไปก่อน 3-0 หลาย ๆ คนแทบจะหมดหวังกับการเข้ารอบแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับหนึ่งในทีมทีดีที่สุดของโลก และต้องเผชิญกับ 1 นักเตะที่ดีที่สุดในโลกอย่างไร และเราเสียเปรียบกับลูกประตูได้เสียอย่างไร ผมก็ยังเชื่อว่าเรายังสามารถกลับมาได้ ผมมีความหวัง ถึงแม้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่ผมก็เชื่อว่า … มันเป็นไปได้
โดยก่อนที่เกมที่สองจะเริ่มต้นขึ้น หัวใจผมเต้นแรงเหมือนมีฝูงผีเสื้อว่อนอยู่ในท้องของผม เมื่อผมได้ยินเสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” เสียงของแฟนบอลในสนามดังกึกก้องราวกับว่าผลสกอร์ 3-0 ยังไม่เคยเกิดขึ้น ผมก็ตื่นเต้น และรู้สึกได้ว่านี่จะเป็นแมตช์ที่ผมห้ามพลาดแม้แต่พริบตาเดียว
ผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มเกม บาร์เซโลน่าเริ่มเขี่ยบอล นักเตะลิเวอร์พูลวิ่งเข้าเพรสซิ่งบอลอย่างบ้าคลั่ง เสียงแฟนบอลเฮแทบจะทุกครั้งที่นักเตะลิเวอร์พูลแย่งบอลได้ ผมนั่งดูอย่างใจจดใจจ่อ เกมดำเนินไป ทั้งสองทีมผลัดกันรุกและรับอย่างสนุก ความคิดในหัวของผมขอเพียงแค่ขอลูกแรกก่อนไว ๆ
จนกระทั่งในนาทีที่ 7 ราวกับว่ามีใครสักคนได้ยินสิ่งที่ผมคิดยังไงยังงั้น โจเอล มาติป เปิดบอลมาจากแดนหลัง บอลตกใส่หัว ฌอร์ดี้ อัลบา แต่โชคดีบอลมาเข้าทาง ซาดิโอ มาเน่ กระดกบอลต่อให้กับกัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันเลี้ยงหลบเข้ามาในกรอบเขตโทษ แปด้วยซ้าย ติดเซฟ บอลกระเฉาะออกมา และมาเข้าทาง ดิวอค โอริกี ยิงเข้าไป ลิเวอร์พูล นำ 1-0 ผลรวมเป็น 3-1 และหลังจากนั้นคือประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาเอาชนะด้วยผลสกอร์รวม 4-3 ทำให้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และทำให้ปีนั้นลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มาครองได้
โดยภายหลังผมได้มาทราบว่าก่อนเกม เยอร์เกน คล็อปป์ ได้บอกกับลูกทีมว่า
“ถ้าเป็นพวกคุณ ผมเชื่อว่าเราทำได้!” นั่นยิ่งทำให้ผมขนลุกมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่เกมจบลง ผมไม่แปลกใจเลยที่พลังแห่งความเชื่อและพลังแห่งความเป็นไปได้แทบจะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของแฟนบอลลิเวอร์พูลทุก ๆ คน ผมกลายเป็นคนที่มีความเชื่อ เชื่อที่ว่าทุก ๆ สิ่งสามารถเป็นไปได้ ไม่ว่าจะยังไง ตราบใดที่เกมยังไม่จบ เสียงนกหวีดยังไม่ดัง ถ้าเรายังมีความเชื่อและยังมีความหวังอยู่ ทุกสิ่งสามารถเป็นไปได้ ดังท่อนหนึ่งในเพลง “You’ll Never Walk Alone” ที่ร้องว่า “Walk on, Walk on, with hope in your heart” เดินต่อไป จงเดินต่อไป ด้วยความหวังในหัวใจ…
โดย ภัคพล ถวยทะวิมล