Feature

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ : สถานีต่อไปหลังเสร็จภารกิจ "ฟุตบอลโลก" กับทีมชาติโปรตุเกส | Main Stand

ข่าวคราวของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กองหน้าเจ้าปัญหาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นประเด็นที่สื่อฟุตบอลชั้นนำทั่วโลก นำมาขายดราม่าดึงดูดความสนใจจากแฟนบอลเพื่อเรียกยอดการมีส่วนร่วมได้เสมอ

 


ไม่เพียงแค่กับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ชื่อของ CR7 ประเด็นใดก็ตามที่สามารถขายคอนเทนต์ได้นั้นก็ยากที่จะรอดพ้นจากเหล่าเหยี่ยวข่าวที่คอยจ้องจะตะครุบเหยื่อยามที่ได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา 

และคำถามที่หลายคนอยากรู้ในตอนนี้คือ เมื่อดูเหมือนจะต้องตัดขาดกับทีมปีศาาจแดงแล้วเช่นนี้ สถานีต่อไปของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้  จะเป็นที่ไหน ?

Main Stand รวบรวมดราม่าที่ผ่านมาและความเป็นไปได้มานำเสนอ

 

เรื่องราวในอดีต

นับตั้งแต่เขาย้ายจาก สปอร์ติง ลิสบอน มาเสี่ยงโชคในเกาะอังกฤษกับปีศาจแดง ด้วยการถูกวางให้เป็นผู้สืบทอดเสื้อหมายเลข 7 อันเป็นเบอร์ระดับตำนานของสโมสรที่จะมอบให้กับผู้เล่นที่มีความพิเศษเท่านั้นได้สวมใส่ นับตั้งแต่นั้นชีวิตของเขาก็ไม่เคยเจอกับความปกติสุขอีกเลย

โรนัลโด้สร้างความตื่นตะลึงให้กับแฟนบอลในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ตั้งแต่นัดเปิดตัวที่เอาชนะ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ไปได้แบบขาดลอย 4-0 ด้วยการลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 61 แทนที่ของ นิคกี้ บัตต์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไป

สิ่งที่ทำให้การเล่นของเขาแตกต่างจากปีกในยุคนั้นคือเรื่องของลีลาการเลี้ยงบอลที่ไม่ได้ใช้แค่ความเร็วความพริ้วในการโยกตัวล็อกหลบ แต่เพิ่มเติมจังหวะสับขาที่รวดเร็วและหลอกล่อคู่แข่งให้งงงวยไปตาม ๆ กัน แล้วเกมนั้นก็สามารถเรียกจุดโทษให้กับต้นสังกัดใหม่ได้ทันที

ยิ่งไปกว่านั้นความพิเศษของเขาเป็นเรื่องของแฟชั่นที่ไม่เหมือนใคร เขามีเสื้อผ้าหน้าผมที่จัดเต็มทั้งในและนอกสนาม เรียกความสนใจจากแสงสปอตไลท์ได้อยู่เป็นนิจ พอนำไปรวมเข้ากับลีลาการเล่นที่แตกต่างจึงกลายเป็นอัตลักษณ์ให้แฟนบอลจดจำได้ง่าย

อย่างไรก็ตามการเล่นที่เต็มไปด้วยลีลาของเขาก็ใช่ว่าจะถูกที่ถูกเวลาเสมอไป เพราะการโชว์ที่พร่ำเพรื่อมากเกินไปจนทำให้การเล่นของทีมหยุดชะงัก ขาดความไหลลื่นในการเข้าทำ กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาโดนสื่อนำไปสับเละยิ่งกว่าตอนที่เขาสับขาหลอกคู่แข่งในสนามเสียอีก

หลังจากเริ่มตระหนักถึงกระแสวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามาแบบต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน โรนัลโด้ก็แก้ไขปัญหาด้วยการรับฟังข้อแนะนำจากรุ่นพี่ภายในทีม ยกตัวอย่างเช่น ไรอัน กิ๊กส์ ที่บอกให้เขาเลิกดื่มน้ำอัดลมเพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพนักกีฬา และ เอริค คันโตน่า ที่ออกมาพูดแนะนำผ่านสื่อให้เขาไปฝึกเรื่องการยิงประตูให้มากขึ้นแล้วจะพัฒนาไปเป็นนักเตะที่เก่งได้ยิ่งกว่านี้อีก

แล้วคนที่จะขาดไปไม่ได้เลยในเส้นทางการค้าแข้งของเขาอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งดูแลประคบประหงมเขาอย่างกับไข่ในหิน ให้คำแนะนำสอนวิธีการเล่น รวมไปถึงปฏิบัติกับเขาไม่ต่างกับลูกชายแท้ ๆ จนเห็นวันแห่งความสำเร็จสูงสุดครั้งแรกในอาชีพ ด้วยการคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ มาครองได้แบบเต็มภาคภูมิ

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นไม่ต่างกับนิยายโรแมนติกที่สวยงามไปทุกเหตุการณ์ ก่อนจะหักมุมจบแบบหักอกแฟนบอล เรดเดวิลส์ จนหน้าคว่ำ เมื่อดาวเตะชาวโปรตุกีสเปิดเผยออกมาว่า ความฝันของเขาคือการค้าแข้งให้กับ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลา ลีกา สเปน ทีมที่แทบจะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเหมือน “สโมสรลูก” ที่ฉกตัวสตาร์ดัง ๆ ไปร่วมทีมอย่างไม่ขาดสาย โดยที่พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกในการต่อรองใด ๆ เช่นเดียวกับกรณีของโรนัลโด้ที่ขนาด เฟอร์กี้ ที่มีบุญคุณล้นหัว ยังรั้งเขาให้อยู่กับทีมต่อไปได้เพียงซีซั่นเดียว จากนั้นก็ต้องจำต้องขายออกไปด้วยค่าตัวสถิติโลกในเวลานั้นราว 80 ล้านปอนด์ 

ดีลการซื้อตัวของราชันชุดขาวครั้งนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนเรื่องการขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เพราะไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าโรนัลโด้จะเป็นนักเตะที่ก้าวขึ้นเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรคนใหม่ได้ในอนาคต และยังคงครองตำแหน่งมาจนถึงทุกวันนี้ พร้อมเป็นคีย์แมนพาทีมกวาดถ้วยรางวัลเข้าสู่สโมสรแบบนับไม่ถ้วนตลอด 9 ปี ในถิ่นซานติอาโก เบอร์นาเบว

แต่แล้วนักเตะระดับตำนานของ เรอัล มาดริด กลับมีจุดจบที่ไม่สวยเท่าไร แล้วเป็นเหมือนรอยด่างที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกเรื่องที่เป็นปัญหาให้สื่อใส่สีตีไข่เรื่องราวของเขามาจนถึงทุกวันนี้ จากข่าวลือที่เขาไม่ลงรอยกับประธานสโมสรอย่าง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ มาเฟียสเปนขาใหญ่ที่ไม่เคยมีใครเอาลง

หลายสื่อรายงานตรงกันว่าโรนัลโด้ต้องการเพิ่มค่าเหนื่อยของเขาให้สมกับผลงานเพราะไม่ต้องการตกเป็นรอง ลิโอเนล เมสซี่ คู่แข่งตลอดกาลของเขาที่อยู่กับ บาร์เซโลน่า ซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้กันดีว่าอิทธิพลของดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ในถิ่นคัมป์ นู นั้นจัดอยู่ในนักเตะประเภท “อันทัชเอเบิล” หรือ “แตะต้องไม่ได้” 

แต่ความต้องการนั้นเป็นสิ่งที่เปเรซมอบให้โรนัลโด้ไม่ได้ เลยจำต้องขายทิ้งออกไปให้กับ ยูเวนตุส แลกกับเม็ดเงินระดับร้อยล้านยูโร ซึ่งนับว่าเป็นดีลที่คุ้มเกินคุ้มของมาดริดที่นอกจากจะถอนทุนค่าตัวที่ซื้อมาได้ทั้งหมดแล้วยังได้กำไรเพิ่ม นั่นเพราะพวกเขาได้รีดผลงานจากตัวโรนัลโด้ออกมาได้มากเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้แล้ว

ตลอดสามฤดูกาลของโรนัลโด้กับม้าลาย ผลงานของเขายังคงยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นมาตลอด แม้ว่าจะโดนวิจารณ์เรื่องไม่สามารถพาทีมเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี 2 สมัย กับแชมป์บอลถ้วยเล็ก ๆ น้อย เป็นรางวัลปลอบใจ ส่วนสถิติส่วนตัวของโรนัลโด้ก็เพิ่มรางวัลดาวซัลโวแดนรองเท้าบูทเข้าสู่เกียรติประวัติของตัวเองอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 2020-21

แต่แล้วการแยกทางของเขากับเบียงโคเนรี่ก็จบลงแบบไม่สวยงามอีกเช่นเคย หลายสื่อรายงานตรงกันว่าโรนัลโด้รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งกับพัฒนาการของทีม หลังตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยน้ำมือของทีมรองบ่อนอย่าง เอฟซี ปอร์โต้ ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

สาเหตุดังกล่าวทำให้โรนัลโด้รู้สึกว่าการอยู่กับยูเวนตุสต่อไปฉุดรั้งเส้นทางอาชีพของตนเองให้ตกต่ำลง เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เคยเป็นเจ้ายุโรป จึงต้องการหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการย้ายไปอยู่กับทีมที่พร้อมมากกว่า 

ประกอบกับสถานการณ์เรื่องการเงินของต้นสังกัดที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤต COVID-19 พอดิบพอดี การลดภาระเรื่องค่าเหนื่อยของสตาร์ในทีมลงจึงเป็นทางออกที่ง่ายและลงตัวที่สุด ต่างฝ่ายต่างเห็นตรงกันโดยไร้ข้อโต้แย้ง ทุกอย่างเลยลงเอยด้วยการแยกทางกันในที่สุด

จุดหมายปลายทางตอนแรกของโรนัลโด้คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามคำกล่าวอ้างของเจ้าตัว แต่มาเปลี่ยนปลายทางหวนคืนสู่ถิ่น โรงละครแห่งความฝัน แบบกระทันหัน จากการที่ได้พูดคุยกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 

จุดเริ่มต้นครั้งที่สองกับอดีตต้นสังกัดก็เหมือนจะไปได้ดี หลังจากเปิดตัวด้วยการยิงสองประตูใส่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในเกมแรกที่ลงสนามต่อหน้าแฟนบอลหลายหมื่นคน แต่หลังจากที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถูกไล่ออกไป เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนเป็นที่มาให้โรนัลโด้เหลืออดจนไปให้สัมภาษณ์กับ เพียร์ส มอร์แกน ในรายการอันเซ็นเซอร์ ก่อนหน้าที่ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2022 จะเปิดฉากขึ้น

 

ระเบิดลูกใหญ่หมายสั่งลา

หลังจากรายการดังกล่าวได้ออนแอร์ไปครบสองอีพี สื่อต่าง ๆ ทั่วโลกต่างแกะบทสัมภาษณ์ของโรนัลโด้กันครบทุกเม็ดแบบไม่มีผิดเพี้ยน รวมถึงหลายสื่อในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งบริบทของการใช้ภาษาและถอดความอาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่รวม ๆ แล้วก็สื่อไปในทิศทางไม่ต่างกัน

ภาพรวมในการให้สัมภาษณ์ของโรนัลโด้คือเจ้าตัวมองว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องออกมาพูดเรื่องนี้ หลังโดนวิจารณ์อย่างหนักในหลายเรื่องจากทั้งสื่อและแฟนบอลที่พุ่งเป้าไปที่การแสดงกิริยาและพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมหลายครั้งหลายครา ไม่เว้นแม้แต่อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาที่จัดหนักจัดเต็มทั้ง เวย์น รูนี่ย์ และ แกรี่ เนวิลล์

หากทำความเข้าใจให้ละเอียดและไม่เน้นเรื่องของดราม่าระหว่างตัวบุคคล โรนัลโด้ต้องการจะสื่อว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่ขาดการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น สโมสรแห่งนี้ตามหลังสโมสรคู่แข่งทั่วยุโรปและในลีกของตัวเองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ ยูเวนตุส อยู่หลายก้าว ในเรื่องของเทคโนโลยี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในสโมสร ที่แทบไม่ต่างกับ 12 ปีก่อน ตอนที่เขาเคยอยู่ที่นี่เลย

ในมุมมองของโรนัลโด้ สโมสรใหญ่ระดับนี้ไม่ควรล้าหลังเช่นนั้น แล้วปัญหามันมีต้นตอมาจากผู้บริหารที่ไม่ได้ใส่ใจทีมเท่าที่ควรและมองเป็นแค่เรื่องของธุรกิจ เห็นได้จากการตัดสินใจแปลก ๆ เรื่องการเสริมทัพ หรือแม้แต่การเลือกตัวผู้จัดการทีมเข้ามาทำงานด้วยวิธีที่ไม่มีสโมสรใหญ่ ๆ ที่ไหนเขาทำกัน

ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างมันบานปลายมาถึงในจุดที่เขารู้สึกเหลืออดเหลือทน เขาก็ยินดีที่จะพูดความจริงออกมา แม้ว่ามันจะไม่เหมาะสมแต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ผิด ว่าง่าย ๆ คือ ทำไปเพราะรักทีม แล้วยินดีจะเสียสละตัวเองให้กลายเป็น “ผู้ทำลาย” เพื่อให้เกิดการสร้างใหม่ที่ดีกว่าเดิม แม้ว่าจะต้องตกเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาของคนทั้งโลกก็ยอม

ในส่วนของประเด็นดราม่าระหว่างตัวบุคคลขอยึดเอาบทสัมภาษณ์ที่ได้ทำการแปลอย่างละเอียดถี่ถ้วนมานำเสนอเพื่อความถูกต้อง แยกเป็นรายบุคคล ตัดมาเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ ที่แฟน ๆ ต้องการทราบข้อเท็จจริง ดังต่อไปนี้ 

การร่วมงานกับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

“ผมรักโซลชา ผมคิดว่าเขาคือคนที่ยอดเยี่ยม เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เก็บไว้หัวใจของผมย่อมเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ มันยากเอามาก ๆ ที่จะมาสานต่อสิ่งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำเอาไว้ แต่ผมก็คิดว่าเขาทำมันได้อย่างดีที่สุดแล้วแน่นอน”

“หลังจากที่โอเล่ถูกปลด ไมเคิล คาร์ริก เข้ามารับหน้าที่คุมทีมได้เพียงแค่สองเกมกับ บียาร์เรอัล และ เชลซี เท่านั้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก แต่มันทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อยถึงความไม่แน่นอนของสโมสรแห่งนี้”

“เขาต้องการเวลามากกว่านี้ ผมไม่เคยสงสัยความสามารถของเขาที่จะก้าวไปเป็นโค้ชที่ดีกว่านี้ได้ในอนาคต และมันเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเขา ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับเขาแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม”

 

มุมมองต่อ ราล์ฟ รังนิก

“เมื่อคุณปลดโค้ชอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คุณควรจะหาผู้จัดการทีมระดับท็อปเข้ามาคุมทีม ไม่ใช่ผู้อำนวยการกีฬา”

“ด้วยความสัตย์จริง มันเป็นบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเอาเสียเลย โค้ชใหม่ที่พวกเขาหามาได้ไม่ต่างกับการเจอโค้กในทะเลทราย (พูดเปรียบเทียบเหมือนเจอสิ่งที่ดีที่สุดแบบไม่มีตัวเลือกอื่น)”

“อย่างไรก็ตามผมเคารพโค้ชทุกคนที่ร่วมงานด้วย แม้ว่าจะเข้ามาต่างเวลา ต่างมุมมอง ต่างทัศนคติ แต่มันก็ต้องมีบางเรื่องที่คุณไม่เห็นด้วย แล้วผมดันเป็นแบบนั้นเสมอตลอดทั้งชีวิต ผมเคยร่วมงานกับโค้ชระดับโลกมาหลายคน ซีดาน, อันเชล็อตติ, มูรินโญ่, เฟร์นานโด ซานโตส และ อัลเลกรี ซึ่งผมมีประสบการณ์มากมายที่ได้เรียนรู้จากพวกเขา”

“เมื่อคุณเห็นโค้ชใหม่เข้ามาทำทีม เขาต้องการมาปฏิวัติในเรื่องของฟุตบอล แต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะผมมีความคิดเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งเขาอาจจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ มันเป็นเรื่องงานที่ถกเถียงจบกันไปในวันนั้น ผมอยู่กับทีมที่ต้องการเป็นผู้ชนะด้วยประสบการณ์ของผม ผมต้องการจะช่วยทีมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา … แต่โค้ชบางคนไม่เปิดกว้างในเรื่องนี้ มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น”

“แน่นอนว่าผมให้ความเคารพโค้ชทุกคน ผมต้องเรียกเขาว่า “บอส” ตามหน้าที่ แล้วผมก็ทำแบบนั้นกับทุกคนที่เคยร่วมงานด้วย แต่ลึก ๆ ในใจของผมไม่เคยมองเขาเป็นเจ้านาย เพราะเป็นการแต่งตั้งโค้ชที่ผมไม่ได้เห็นด้วย”

 

สรุปเรื่องความขัดแย้งกับ เอริก เทน ฮาก

“สิ่งที่ผมรู้สึกได้เสมอจากเขาคือเรื่องที่ผมไม่ได้ไปพรีซีซั่นกับทีม ดังนั้นผมควรจะรอโอกาสของผมในการพิสูจน์ตัวเอง ผมเข้าใจเรื่องนี้จริง ๆ ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันดีแล้วและยอมรับมัน แต่ผมไม่ให้ค่าคุณแน่นอนเมื่อคุณไม่ได้ใช้มาตรการเดียวกันกับที่ทำกับผู้เล่นทุกคน ผมจะไม่ขอเอ่ยชื่อว่าผู้เล่นคนนั้นคือใคร ? แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมันแบบเดียวกับที่ทำกับผม”

“ผมเข้าใจดีว่าการมารับงานใหม่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำผลงานได้ย่ำแย่มาตลอด 5 ปีหลัง คุณต้องเคลียร์เรื่องราวทุกอย่างให้เรียบร้อยทั้งหมดเหมือนทำความสะอาดบ้านยกหลัง แต่วิธีที่เขาเลือกใช้ วิธีการพูดกับผ่านสื่อ ทำให้เรื่องราวมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมเข้าใจว่ามันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ยากเพราะผมไม่ได้ไปพรีซีซั่น ผมเลยไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง แต่แล้วมันก็ลุกลามไปสู่เรื่องอื่น ๆ มันมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่าที่คนภายนอกรับรู้ ซึ่งผมจะไม่ซ่อนความรู้สึกเรื่องนี้เอาไว้และบอกไปตามตรงด้วยความสัตย์จริงว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเขานั้นไม่ดีเอาเสียเลย”

“เขาไม่ให้เกียรติตัวผมในแบบที่ผมควรจะได้รับ แต่มันก็เป็นแบบนั้นไปแล้ว นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลับเข้าห้องแต่งตัวไปก่อนในเกมกับท็อตแนม”

“อย่าบอกกับผมว่าผู้เล่นระดับสุดยอดหรือผู้เล่นคีย์แมนของทีมจะได้ลงเล่นแค่เพียงสามนาทีสุดท้าย … เอาจริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ได้เลย หลังจากที่เขาเคยบอกมาก่อนหน้านี้ว่าให้ความเคารพในตัวผม แต่เขาก็สร้างเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก สำหรับผมการกระทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการให้เกียรติกัน แล้วเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกทำแบบที่เห็น ผมเสียใจนะ ผมเสียใจที่เพื่อนร่วมทีมต้องมาเจอสถานการณ์แย่ ๆ แบบนั้น ผมโพสต์ข้อความผ่านทางอินสตาแกรมเพื่อขอโทษที่ผมออกไปจากสนามก่อนเกมจบ แล้วเพื่อน ๆ ก็เข้าใจความรู้สึกของผม รวมไปถึงพูดขอแสดงความเสียใจต่อหน้า แต่ในเวลาเดียวกัน ผมไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ปฏิเสธการลงสนาม โค้ชไม่ได้ให้เกียรติผม แล้วนี่เป็นคำตอบว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาถึงออกมาเป็นแบบนั้น เขาเอาแต่พูดไร้สาระผ่านสื่อว่าตกลงกับผมแบบนั้นแบบนี้ มันเป็นแค่การใช้สำหรับรับมือสื่ออย่างเดียว 100 เปอร์เซ็นต์”

“ถ้าคุณไม่ให้เกียรติผม มันไม่มีทางหรอกที่ผมจะให้เกียรติคุณ”

“ข้อแก้ตัว … ผมเห็นแต่ข้อแก้ตัวเต็มไปหมด ผมเห็นหลายเรื่องที่เป็นข้อผิดพลาดแต่ผมไม่ต้องการตำหนิเขา เขาสามารถมีความคิดเห็นต่างกับผมได้ เขาสามารถเลือกผู้เล่นที่เขาคิดว่าดีกว่าสำหรับทีมในตอนนั้น ผมเคารพในการตัดสินใจดังกล่าว แต่คุณไม่สามารถแก้ตัวหรืออ้างไปได้ตลอดในเรื่องที่มันไม่สมเหตุสมผล”

“โอเค … คุณไม่ส่งผมลงสนามในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเคารพเส้นทางการค้าแข้งที่ผ่านมาของผม แต่กลับจะส่งผมลงในเกมกับท็อตแนมแค่สามนาทีเนี่ยนะ มันเข้าท่าจริง ๆ เหรอกับการทำแบบนั้น”

“ผมคิดว่าเขาทำแบบนั้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่ซ่อนอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเหตุเกิดในเกมทีมชาติหรือสโมสรอื่น ๆ แล้วโค้ชต้องการส่งผมลงเล่นเพียง 5 นาทีเพราะมีผู้เล่นบาดเจ็บหรือต้องการให้ผมลงเล่นจริง ๆ ผมก็จะลงไปช่วยแบบไม่มีปัญหาเลย แต่กับท่าทีแบบนั้นตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นการยั่วยุมากกว่า แล้วมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว มันมีมาก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นแล้ว”

 

แพชชั่นที่ย้อนกลับมาทำลายตัวเอง

ปฏิเสธได้ยากว่าโรนัลโด้เป็นนักเตะที่บ้าในเรื่องการทำลายสถิติเป็นอย่างมาก แต่ในฤดูกาลนี้ผลงานของเขาตกลงไปอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน ที่เห็นได้ชัด ๆ คือจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่จะเปลี่ยนโอกาสยิงของเขาให้กลายเป็นประตูได้ในเกมลีกที่ตกลงจากเดิมหลายเท่าจนเหลือเพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เขายิงไปลูกเดียวจากการสับไก 22 ครั้ง 

จากสถิติโรนัลโด้รั้งอันดับที่ 53 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวบัคแดนหน้าอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยิ่งทิ้งกันแบบไม่เห็นฝุ่น เพราะดาวยิงชาวนอร์เวย์วัย 22 ปี มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์จากการง้างไป 47 ครั้ง แล้วเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ถึง 17 ลูก

ถึงแม้จะนำไปเทียบกับ แฮร์รี่ เคน ดาวยิงจาก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ไม่ติดสิบอันดับแรกของลีกก็ยังห่างไกลแบบสุดกู่่ จากสถิติที่เคนสับไกไปทั้งหมด 49 ครั้งแต่ก็เปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ถึง 10 ลูก รั้งอันดับที่ 12 ของลีก แถมยังมีประโยชน์กับการเล่นของทีมมากกว่าหลายจุด

ยิ่งไปกว่านั้นตลอด 16 นัดแรกในเกมลีก โรนัลโด้ไม่สามารถทำแอสซิสต์ได้แม้แต่ครั้งเดียว ส่วนสถิติค่าเฉลี่ยด้านอื่น ๆ ของเขาเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมทีมรายอื่น ๆ ก็รั้งอยู่อันดับที่ 15 เลยทีเดียว

ที่สำคัญที่สุดคือ ผลงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2022-23 ยามที่มีและไม่มีโรนัลโด้นั้นแตกต่างกันเหลือเกิน โดยเมื่อมีเจ้าของเสื้อหมายเลข 7 ลงสนาม ทีมปีศาจแดงเก็บแต้มได้เพียงเฉลี่ยเกมละ 1 คะแนน แต่เมื่อเขาไม่ลงสนาม ผลงานของ เร้ด เดวิลส์ กลับดีกว่า เก็บแต้มได้เฉลี่ยเกมละ 2.2 คะแนน

ดูจากตรงนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมก้าวสู่ยุคต่อไปที่ เอริก เทน ฮาก จะสร้างทีมยุคใหม่โดยไม่จำเป็นต้องมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แล้ว

 

สถานีต่อไป ?

ความตั้งใจสูงสุดของโรนัลโด้ตอนนี้ คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการพา ทีมชาติโปรตุเกส ลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งน่าจะเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้ายของเขาบนเวทีการชิงแชมป์ฟุตบอลโลก หลังจากผ่านการลงเล่นมาแล้วทั้งหมด 4 สมัยก่อนหน้านี้ ตามการให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวกับมอร์แกนว่าครั้งหน้าคงฝืนไม่ไหว

ส่วนการเจาะจงไปที่อนาคตในระดับสโมสรของเขาก็ยังไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เมื่อเขาเลือกที่จะแฉหมดเปลือก บอกข้อเสียของต้นสังกัด รวมไปถึงผู้จัดการทีม จนแทบไม่เหลือทางให้คุยกันได้ในภายภาคหน้าอีกแล้ว

จากแผนที่เจ้าตัวตั้งใจไว้คือการรีไทร์จากวงการฟุตบอลเมื่ออายุครบ 40 ปี ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ราวสองปีกว่า ๆ เท่านั้น ดังนั้นการย้ายสังกัดครั้งต่อไปของเขาก็อาจเป็นสถานีสุดท้ายในอาชีพก็เป็นได้ เขาจึงจำเป็นต้องไตร่ตรองและเลือกแบบละเอียดถี่ถ้วนสุด ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ตลาดเดือนมกราคมนี้เลย

อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา โรนัลโด้อาจมีเงินอยู่ในธนาคารเป็นสกุลปอนด์สเตอร์ลิงใกล้เคียงหรือมากกว่าจำนวนผู้ติดตามในอินสตาแกรมราว 496 ล้านคนเสียอีก แล้วเรื่องที่เขาเคยได้รับข้อเสนอจากทีมแถบตะวันออกกลางที่พร้อมจ่ายค่าจ้างระดับ 350 ล้านยูโรก็เป็นเรื่องจริง แต่เขาก็เลือกที่จะบอกปัดไป

นอกจากนี้ข่าวลือที่ว่าโรนัลโด้ไม่เป็นที่ต้องการของทีมทั่วยุโรปนั้นไม่เป็นความจริง หลังจากเขาไม่ได้ย้ายสังกัดสมใจอยากในตลาดช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่มันเป็นความต้องการของเขาที่อยากอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อไปเอง ดีลต่าง ๆ จึงไม่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามมองจากสภาพร่างกายของเขา แม้ว่าเขาจะดูมีศักยภาพด้อยลงกว่าเดิมตามสังขารอันไม่เที่ยง ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยอมรับ แต่การเล่นในลีกชั้นนำอื่น ๆ ทั่วยุโรปที่มีสปีดเกมช้ากว่าพรีเมียร์ลีกก็ยังเป็นไปได้อยู่ 

ไม่ว่าจะเป็น ลีก เอิง ฝรั่งเศส หรือ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ซึ่งเมื่อตัดตัวเลือกที่เป็นไปได้แล้ว คงจะมีแค่ นาโปลี ของ ออเรลิโอ เดอ ลอเรนติส ประธานจอมเขี้ยวแดนมักกะโรนี ที่พอจะมีปัญญาจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาล และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในกรณีที่ระบายผู้เล่นออกไปจนเหลือช่องว่างค่าเหนื่อยเพียงพอไม่ให้ผิดกฏ ไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ที่อาจหมายความว่าต้องแลกกับการเสีย คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ออกไป

ส่วนตัวเลือกอื่น ๆ ที่ดูพอจะมีความเป็นไปได้คือ เชลซี ของมหาเศรษฐี ท็อดด์ โบห์ลี่ ที่มีความชื่นชอบดาวเตะรายนี้เป็นการส่วนตัว และเขายังมีเงินคงคลังพอที่จะจ้างโรนัลโด้ได้สบาย ๆ รวมไปถึงทางเลือกแบบสุดอินดี้แบบเน้นไปที่การโกยเงินอย่าง ย้ายไปเล่นใน ลีกแถบตะวันออกกลาง หรือ เมเจอร์ลีกซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา เพื่อโกยเงินเข้ากระเป๋าล้วน ๆ

สุดท้ายแล้วบทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร ? ถึงเวลาที่โรนัลโด้ต้องตัดสินใจ เพราะในตอนนี้ ตัวเขากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกลงยกเลิกสัญญาที่มีต่อกัน ทำให้เขาเป็นอิสระ สามารถเลือกสโมสรใหม่ได้ด้วยตัวเองแล้ว

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.thesun.co.uk/sport/20295186/cristiano-ronaldo-shot-conversion-rate-haaland-premier-league/
https://one-versus-one.com/en/players/cristiano-ronaldo
https://en.wikipedia.org/wiki/Cristiano_Ronaldo
https://www.youtube.com/watch?v=Jk9uJRMvBIA
https://www.sportingnews.com/us/soccer/news/cristiano-ronaldo-leaving-juventus-transfer-manchester/zezemif588zg14er3vchh98jb
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/cristiano-ronaldo-piersmorgan-full-transcript-28510557
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/cristiano-ronaldo-full-transcript-piersmorgan-28518943

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ