Feature

หลบดิเสี่ยมาเฟียจะเฉิดฉาย : โลกแก๊งใต้ดินที่สร้างตำนานแห่งเนเปิลส์ของ ดิเอโก้ มาราโดนา | Main Stand

"ความจริงข้อหนึ่งบนโลกนี้คือ คุณไม่มีทางเอาปลอกคอมาใส่ให้ ดิเอโก้ มาราโดน่า แล้วบอกเขาว่าอย่าทำอะไร เพราะคนอย่างเขาเกิดมาเพื่อเป็นอิสระ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ถ้าเขาเลือกแล้ว เขาไม่สนผลลัพธ์"

 

นี่คือสิ่งที่อดีตกุนซือ บาร์เซโลน่า นาม เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ กล่าวถึง ดิเอโก้ มาราโดน่า สมัยที่ยังเป็นลูกทีมของเขา พร้อมสร้างวีกรรมมากมายเอาไว้ จน บาร์ซ่า ต้องขายเขาต่อให้กับ นาโปลี 

และเรื่องราวระดับตำนานก็เริ่มขึ้น เมื่อคนอย่าง มาราโดน่า มาเจอกับเมืองอย่าง เนเปิลส์ การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างนักฟุตบอลกับ DNA ประจำเมืองก็ได้เริ่มขึ้น

ติดตามเรื่องราวที่ Main Stand 

 

ทำไม มาราโดน่า ย้ายออกจาก บาร์เซโลน่า ? 

เรื่องราวอาชีพค้าแข้งของ ดิเอโก้ มาราโดน่า เจ้าของสมญาหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกนั้น หากจะเล่าถึงความสุดยอดของเขาทั้งวันก็คงจะเล่าไม่หมด ตัวของ มาราโดน่า นั้นได้รับการยอมรับเป็นเสียงเดียวกันจากทุกคนที่เคยร่วมงานหรือแม้กระทั่งคนที่เคยเป็นคู่แข่ง ทุกคนมักจะบอกว่า "เขามันโคตรอัจฉริยะ"

"ผู้เล่นที่เก่งที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต ... เขานี่แหละเหมาะกับคำว่าอัจฉริยะที่สุด" มาร์แซล เดอไซญี่ อดีตกองหลังชุดแชมป์โลก 1998 ของ ฝรั่งเศสว่าไว้ 

"ตอนที่ มาราโดน่า ยิง 2 ประตูใส่เรา ผมพูดตรง ๆ ว่าผมเองก็ถึงกับต้องปรบมือให้กับเขา มันคือสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยิงประตูที่สุดยอดขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังยืนยันคำเดิม มาราโดน่า ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และน่าจะตลอดไปด้วย" แกรี่ ลินิเกอร์ กองหน้าที่ชาติอังกฤษ ที่ถูก มาราโดน่า ยิง 2 ประตู ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 1986 (แฮนด์ ออฟ ก็อด และประตูกระชากครึ่งสนาม) ว่าเช่นนั้น 

เอาล่ะ นี่คือความสุดที่ทุกคนพูดตรงกัน แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนที่มีข้อเสีย มาราโดน่า เองก็เช่นกัน และข้อเสียของเขาก็เยอะ แถมเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสโมสรอย่าง บาร์เซโลน่า เสียด้วย 

มาราโดน่า ย้ายออกจากอาร์เจนตินามาเล่นในยุโรปก็กับ บาร์เซโลน่า ในปี 1982 ช่วงเวลาดังกล่าวเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ถึงจะเป็นหน้าใหม่แต่ก็เข้ามาและทำให้ทุกคนยอมรับในตัวของเขาได้อย่างรวดเร็ว และสำหรับใครที่ไม่ยอมรับในตัวเขา มาราโดน่า ก็บอกว่า "ช่างหัวมัน" ... นั่นแหละคือวิธีการวางตัวแบบ มาราโดน่า ที่ บาร์เซโลน่า

เขาขึ้นชื่อเรื่องความเกียจคร้านและการเอาแต่ใจตัวเอง บาร์เซโลน่า เป็นสโมสรที่พยายามจะอยู่กันด้วยระบบระเบียบ แต่การที่มี มาราโดน่า เข้ามา พวกเขาก็ต้องยอมทำลายกฎบางข้อเพื่อนักเตะอย่างเขา เพราะสิ่งที่จะได้กลับมาคือ มาราโดน่า จะร่ายเวทมนตร์เมื่อเขาลงสนาม 

ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงแรก ๆ กับ บาร์เซโลน่า หลังเล่นได้ดี มาราโดน่า ก็ดื่มเยอะจนมีปัญหาเรื่องตับ สโมสรก็พยายามจะดูแลเขาแลรักษาให้อย่างดี อย่างไรก็ตามเมื่อหายเจ็บกลับมาในช่วงเรียกฟิต มาราโดน่า วางตัวแบบนักเตะเจ้าสำราญตัวจริงเสียงจริง เขาชื่นชอบการเที่ยวและปาร์ตี้ แน่นอนว่ามีแอลกอฮอล์ และยาเสพติดมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เขามาซ้อมกับทีมในตอนเช้าไม่ค่อยทัน และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้ลงสนามน้อยในช่วงแรก 

ถ้าเป็นนักเตะคนอื่นคงโดนยกเลิกสัญญาหรือขายทิ้งไปแล้ว แต่ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ และประธานสโมสรอย่าง โจเซป หลุยส์ นูเญซ ก็พยายามโอ๋ มาราโดน่า มาโดยตลอด ช่วยกันปิดข่าวแย่ ๆ ให้กับเขา จนกระสุดท้ายเหตุการณ์เหลือทนก็เกิดขึ้นในเกม โคปา เดล เรย์ นัดชิงชนะเลิศปี 1984 ที่ บาร์ซ่า พบกับ แอธเลติก บิลเบา 

เกมวันนั้น มาราโดน่า โดนทั้ง อันโดนี่ กอยโคเซีย เจ้าของฉายา "Butcher of Bilbao" (นักเชือดแห่งบิลเบา) อริเก่าที่เคยทำเขาข้อเท้าหักเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า รวมถึง มิเกล โซล่า ผลัดกันเล่นงานทั้งการเสียบสกัดและใช้วาจา ก่อนทุกอย่างจะระเบิดหลังจบเกม เมื่อเขาเฮดบัตต์ใส่ โซล่า ก่อนประเคนศอกและเข่าลอยใส่นักเตะบิลเบาคนอื่น รวมน็อก 3 คนเพียงชั่วอึดใจ

จากนั้นก็เละเทะ นักเตะทั้งสองทีมตีกันวุ่น มีแฟนบอลวิ่งลงมาผสมโรง และสิ่งที่ทำให้ บาร์เซโลน่า สุดจะทนกับ มาราโดน่า ก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าของกษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส ที่ 1 แห่งสเปนด้วย เรื่องดังกล่าวทำให้หลังจบฤดูกาล 1983-94 บาร์ซ่า ต้องระบาย มาราโดน่า ที่เป็นนักเตะประเภท Toxic ให้ นาโปลี คว้าตัวไปร่วมทีมด้วยราคา 6.7 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นราคาสถิติโลก ณ เวลานั้น 

หลังจาก มาราโดน่า ย้ายออกไป นูเญซ ที่เป็นประธานของ บาร์ซ่า ในเวลานั้น ก็ออกมาเปิดเผยความจริงในภายหลังว่า กับปัญหาการมาซ้อมสายของ มาราโดน่า สโมสรพยายามช่วยเขาแบบสุด ๆ ด้วยการเลื่อนเวลาซ้อมมื้อเช้าไปอีก 3 ชั่วโมง เหตุผลก็เพราะอยากให้ มาราโดน่า ได้มานอนพักผ่อนในตอนเช้า และพร้อมสำหรับการซ้อมมากว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง

"มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตอนที่ มาราโดน่า อยู่กับเรา หนึ่งในสิ่งที่ผมบอกได้คือ เราเคยปรับเวลาซ้อมมื้อเช้าให้ช้าไป 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้เขาได้นอนมากขึ้นด้วย" ชายผู้เป็นคนดึงตัว มาราโดน่า กล่าว 

เรื่องที่ บาร์เซโลน่า จบแล้ว แต่เรื่องราวความยิ่งใหญ่ระดับคับเมืองของ มาราโดน่า เพิ่งจะเริ่มขึ้น เขาไปที่ เนเปิลส์ ท่ามกลางการต้อมรับของแฟน ๆ มากกว่า 10,000 คน ... ความบันเทิงขั้นสุดของ มาราโดน่า บนดินแดนปลายรองเท้าบู๊ตได้เริ่มขึ้นแล้ว 

 

เนเปิลส์ เมืองที่เหมือนบ้านเกิด 

"เนเปิลส์" คือชื่อเมืองทางตอนใต้ของอิตาลี ผู้ชายในเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องหัวใจใหญ่กว่าตับมาตั้งแต่อดีต ในยุคสมัยหนึ่ง ราว ๆ ศตวรรษที่ 19 แคว้นคัมปาเนียที่มี นาโปลี เป็นเมืองหลักนั้น ถือเป็นแคว้นที่ยากจน และความยากจนนั้นบีบบังคับให้พวกเขาต้องทำสิ่งผิดกฎหมายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เมืองนี้จึงมีชื่อเสียงในแง่ของการเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มอาชญากร 

จนกระทั่งวันหนึ่งที่พวกมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศอิสรภาพปี 1776 และกลายเป็นดินแดนแห่งโอกาส เหล่าชายชาวอิตาลีส่วนใหญ่ที่มาจากแคว้น คัมปาเนีย และ ซิซิเลีย จึงหนีการจับกุมรวมถึงทิ้งทุกอย่างเพื่อไปแสวงหาโอกาสใหม่ให้ชีวิตที่แดนอินทรี ซึ่งภายหลังคนกลุ่มนี้ก็ก่อตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นมาเฟียอิตาลีแห่งมหานครนิวยอร์ก เหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง 

จากอดีตส่งต่อมายังปัจจุบัน เนเปิลส์ ยังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความน่าหลงใหลอีกมากมาย พิซซ่า ความโรแมนติก และแน่นอนที่คือสิ่งที่ถูกส่งต่อมาจากวัฒนธรรมอย่าง มาเฟีย และ อาชญากรรม ด้วย 

มาราโดน่า เองก็เป็นคนที่มีแนวคิดแบบเดียวกัยชาวเนเปิลส์ เขาเองเป็นนักฟุตบอลที่สนใจเรื่องการเมืองมาก เขาเป็นคนประเภทซ้ายจัดตัวพ่อ พวกเขาเกลียดรัฐบาลที่ชอบหาผลประโยชน์ทางการเมืองกับคนจน ๆ ซึ่งมันก็มีความคล้าย ๆ กันที่เมือง เนเปิลส์ เพราะเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนเยอะ จากการที่รัฐบาลอิตาลีไม่ค่อยจะเหลียวแล

นอกจากนี้ มาราโดน่า ยังเป็นคอการเมืองฉบับหัวรุนแรง โดยครั้งหนึ่งเขาเคยแสดงจุดยืนของตัวเอง สมัยที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดี และ บุช มีคิวต้องมาเยือนประเทศอาร์เจนตินา มาราโดน่า ก็ปรากฏตัวในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงบุช โดยเสื้อที่เขาใส่ในวันนั้นมีข้อความว่า "หยุดบุช" (ตัว S ในคำว่า บุช ใช้ตัว S ที่ออกแบบคล้ายกับเครื่องหมายสวัสดิกะของ นาซี)  

"ผมเป็นคนอาร์เจนตินาที่ภูมิใจมากกับการออกมาไล่ไอ้มนุษย์ขยะอย่าง จอร์จ บุช อย่าให้มันได้มาเหยียบประเทศของเราอีกเชียว" มาราโดน่า ว่าไว้ 

โอเค ถ้าคุณยังไม่เห็นภาพ เราขอเสริมว่า มาราโดน่า เป็นเพื่อนสนิทกับเหล่าผู้นำของหลาย ๆ ประเทศทั้ง ฮูโก้ ชาเวซ อดีตประธานาธิบดีเวเนซูเอลา, ฟิเดล คาสโคร อดีตผู้นำคิวบา ไม่ใช่แค่ผู้นำอย่างเป็นทางการ แต่ยังมีผู้นำในเงามืดอย่าง ปาโบล เอสโคบาร์ ราชาโคเคนที่สนับสนุนพรรคการเมืองใน โคลอมเบีย ก็ถือเป็นคนสนิทของ มาราโดน่า เช่นกัน 

การมาที่เนเปิลส์ ทำให้ มาราโดน่า รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านเกิดของเขาอย่าง บัวโนสไอเรส ... กิโยเม ปาชินี่ นักเขียนของ Eurosport อธิบายเรื่องที่ มาราโดน่า มีความสุขกับชีวิตในเมืองเนเปิลส์ ว่า "เนเปิลส์และบัวโนสไอเรสเป็นสองเมืองที่คล้ายคลึงกัน ในแง่ของความคิด วิถีชีวิต และปรัชญาของชีวิต เนเปิลส์ยอมรับผู้เล่นชาวอเมริกาใต้ที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ ขณะที่ มาราโดน่า ก็มีแนวคิดทางการเมืองแบบที่ชาวเนเปิลส์คิด และนั่นทำให้เขากลายเป็นเนื้อเดียวกับเมืองนี้อย่างรวดเร็ว"

 

จากบนสุดถึงล่างสุด

มาราโดน่า เป็นสตาร์ที่ไม่ค่อยหวงเนื้อหวงตัว เขามาอยู่เมืองเนเปิลส์ ที่มีสโมสรประจำเมืองอย่าง นาโปลี และบันดาลความสำเร็จเรื่องฟุตบอลมากมายเกิดจะกล่าวถึง การแบกทีมเป็นแชมป์เซเรีย อา 2 สมัย โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย และ ยูฟ่า คัพ อีก 1 ครั้ง คือสิ่งที่ทำให้แฟนบอล นาโปลี รักและเชิดชูเขาเหมือนกับพระเจ้าของทีม 

นอกเหนือจากนี้คือ มาราโดน่า มักจะปรากฎตัวตามที่ต่าง ๆ ในเมืองเนเปิลส์ และใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ๆ ทั่วไป แม้ว่าทุกที่ที่เขาไปจะโดนแฟนบอลรุมล้อม มีนักข่าว มีช่างภาพตามสัมภาษณ์ตลอดก็ตาม แต่ มาราโดน่า ก็รับมือกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามสไตล์ของเขา ถ้าอารมณ์ดี เขาก็ยินดีจะมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งรอบข้าง แต่ถ้าวันไหนอารมณ์บ่จอย ใครทำอะไรไม่ถูกใจเขาก็มีเรื่องได้เหมือนกัน ... แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะชาว เนเปิลส์ ก็ยังรักและเข้าใจเขาอยู่ดี ความแข็งกร้าวของ มาราโดน่า เป็นสิ่งที่ชาวเนเปิลส์ยกย่อง เพราะมันแสดงให้เห็นถึงการไม่ชอบการถูกกดขี่ การเอาเปรียบ เขาแข็งกร้าวโดยเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง 

"คุณต้องตระหนักว่าในเมืองนี้ไม่มีใครที่แบกรับความกดดันมากเท่ากับ มาราโดน่า อีกแล้ว นายกเทศมนตรี หรือแม้แต่คนตำแหน่งใหญ่โตในสภาก็ยังถูกคาดไม่หวังไม่เท่ากับเขาเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่า ณ ตอนนั้นไม่มีใครบนโลกที่ต้องเจอกับเรื่องมากมายเท่ากับ มาราโดน่า แน่ ทุกอย่างที่เขาพูดเป็นประเด็นในสื่อทั้งหมด  เขาถูกโจมตีด้วยความคิดเห็นของสาธารณชน และคนเหล่านี้ไม่รู้จักตัวตนของเขา และไม่รู้จักแม้กระทั่งฟุตบอล" ออตาวิโอ เบียงคี่ แฟนบอล นาโปลี รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ถึงความยิ่งใหญ่ของ มาราโดน่า ในวันที่เขาเสียชีวิตเมื่อปี 2020

มาราโดน่า และ แฟนบอลนาโปลี ใช้ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตร่วมกัน แต่ไม่ใช่แค่แฟนบอลระดับรากหญ้าเท่านั้นที่ มาราโดน่า มีความสุขด้วย เพราะคนอย่างเขายิ่งเข้ากันได้ดีเมื่อเจอกับเหล่าผู้มีอิทธิพลระดับแถวหน้าของเมือง 

อย่างที่ทุกคนรู้กันดี เขาเป็นมนุษย์ที่เวลาจะทำอะไรก็จะไปให้สุดทาง จะขาวก็ขาวสุด ๆ เหมือนกับผลงานในสนาม และหากจะดำก็ดำสุด ๆ เช่นเรื่องนอกสนามของเขา ผู้เป็นหนึ่งในแขกสำคัญของแก๊งมาเฟียที่เมืองเนเปิลส์

มาราโดน่า นั้นสนิทกับแก๊งมาเฟียที่ชื่อว่า "ยูเลี่ยโน่ แคลน" ในยุคที่ มาราโดน่า อยู่ มีหัวหน้าแก๊งชื่อว่า เออร์มิเนีย ยูเลียโน่ ลูกสาวของหัวหน้าคนเก่าที่โดนทางการซิวเข้าซังเตไป ความสัมพันธ์ของ มาราโดน่า กับแก๊ง เป็นไปอย่างเพื่อนมากกว่าธุรกิจ เหตุผลเดียวนั่นก็เพราะว่า "โคเคน" ยาเสพติดขนานโปรดของเขา ที่แก๊งนี้พร้อมเปย์ให้ไม่อั้นแบบไม่คิดเงินสักบาทนั่นเอง 

มีเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่าความสนิทสนมของทั้งคู่อีก ว่ากันว่าเงินที่ นาโปลี จ่ายให้ บาร์เซโลน่า ซื้อตัว มาราโดน่า นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเงินของแก๊งมาเฟียที่ต้องการฟอกเงิน เรื่องนี้เคยมีนักข่าวชาวอิตาเลียน โพล่งออกมาถาม คอร์ราโด้ เฟอร์ไลโน่ เจ้าของ นาโปลี ณ เวลานั้นต่อหน้าสื่อ และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ นักข่าวคนดังกล่าวถูกการ์ดลากออกจากงานแถลงข่าว และไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็ตกงานไปตามระเบียบ 

ลุยจิ ยูเลียโน ลูกหลานของแก๊งมาเฟีย ยูเลียโน่ แคลน พูดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตที่ครอบครัวของเขากับ มาราโดน่า สร้างร่วมกันว่า "ครอบครัวขอผมในตอนนั้นมีพลังขับเคลื่อนหลายสิ่งหลายอย่างในเมือง ตอนนั้นพวกเรายิ่งใหญ่ และเราหาญกล้าที่จะติดต่อไปยัง บาร์เซโลน่า เพราะเราอยากได้ มาราโดน่า มาที่นี่"

"เมื่อ มาราโดน่า มาถึง คาร์มีน ยูเลียโน่ ลุงของผมที่เป็นแฟนของ นาโปลี มีความสุขมาก เขาทำให้ มาราโดน่า เข้ามาสนิทกับกลุ่มของเรา จากนั้นครอบครัวของผมและ มาราโดน่า เราก็มีช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขร่วมกัน" 

สิ่งที่ มาราโดน่า ทำร่วมกับกลุ่ม ยูเลียโน่ แคลน แทบจะไม่มีสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เยาวชนควรเอาเป็นแบบอย่างเลยสักนิด แต่ก็นั่นแหละ บางครั้งชีวิตบางคนก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มาราโดน่า เป็นคนที่แตกต่าง เขาไม่สนเรื่องการตัวอย่างของใคร เขาบอกเสมอว่าเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง "ชีวิตใคร ชีวิตมัน" ดังนั้นเขาไม่ลังเลที่จะทำสิ่งที่ตัวเองอย่างจะทำ 

ปาร์ตี้กันทุกค่ำคืน เปิดแชมเปญขวดละเป็นแสน ใช้โคเคนได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวใครมาจับกุม เพราะตำรวจที่นี่ก็พวกเดียวกันทั้งนั้น ทั้งเรื่องของผู้หญิงที่ มาราโดน่า จะชี้นิ้วจิ้มคนไหนก็ได้สำหรับสาว ๆ ในสังกัด ยูเลียโน่ แคลน 

แม้ มาราโดน่า จะรู้ว่ากลุ่มมาเฟียอยากจะซี้กับเขา เพราะเมื่อแก๊งมาเฟียสนิทกับคนดังมันเหมือนกับการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของแก๊ง ... แต่ช่างปะไร มาราโดน่า ยินดีให้มันเป็นแบบนั้น ตามใดที่เขายังได้ในสิ่งที่เขาต้องการ และ มาราโดน่า ก็รู้ดีว่าสักวันงานนี้ก็ต้องมีวันเลิกรา ... เขาแค่เข้ามาเพื่อมีความสุข และก็จะจากไปอย่างตำนานเท่านั้นเอง 

เรื่องราวในตอนท้ายระหว่าง มาราโดน่า กับ ยูเลียโน่ แคลน คือพวกเขาเริ่มมีความระหองระแหงกันบ้าง เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของแก๊ง แต่ก็ยังพยายามประคับประคองมิตรภาพที่มีต่อกันเอาไว้ ... ซึ่งทำได้ไม่นานนักในช่วงที่ มาราโดน่า เจอกับจุดเปลี่ยนของชีวิตการค้าแข้งอีกครั้ง

ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ตระกูลยูเลียโน่ เริ่มเสียอำนาจการปกครองในวงการใต้ดิน และเกิดสงครามระหว่างแก๊งกันกับกลุ่มที่ชื่อว่า New Organized Camorra นำโดย ราฟฟาเอลเล่ คูโตโล่ เป็นต้นมา ซึ่งก็ไล่เลี่ยกับตอนที่ มาราโดน่า เจอกับมรสุมชีวิตลูกใหญ่ เมื่อเขาถูกแบน 15 เดือน เพราะตรวจโด๊ปไม่ผ่านจากผลพวงของโคเคนที่ใช้อย่างไม่อั้น ก่อนย้ายออกจาก นาโปลี ไปเล่นที่ เซบีย่า ในปี 1992 ... เป็นอันว่าเรื่องราวระหว่าง มาราโดน่า และ ตระกูลยูเลียโน่ ที่ปกป้อง จัดหา ดูแลบริการ จบลงอย่างเป็นทางการ ณ ตอนนั้น 

เรื่องราวทั้งหมดคือมิตรภาพในแบบของโลกใต้ดิน พวกเขาต่างรู้ว่าที่ได้มาเป็นเพื่อนสนิทกันก็เพราะพวกเขาต่างมีผลประโยชน์ให้กันและกัน ... แต่ใครล่ะจะสน เพราะผลประโยชน์ที่แต่ละคนได้นั้นมันแฟร์กับทุกฝ่าย และทุกคนก็มีความสุขกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก 

มาราโดน่า ได้มาอยู่ในเมืองที่เหมือนกับสร้างมาเพื่อเขา และเขาก็เหมือนกับเกิดมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ... ที่ เนเปิลส์ ดินแดนที่ได้สร้างนักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ 

แม้ว่าเขาคนนั้นจะเมาโคเคนหรืออดหลับอดนอนเดินลงสนาม แต่เมื่อจบ 90 นาที นาโปลี ก็มักจะจบเกมด้วยการเป็นผู้ชนะ สร้างความสุขให้กับชาวเนเปิลส์เสมอ นั่นคือช่วงเวลา ดิเอโก้ มาราโดน่า เข้าใกล้คำว่า "พระเจ้า" อย่างแท้จริง 

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

Born To Be Legend : รวมวีรกรรมสุดระห่ำที่ทำให้ ดิเอโก้ มาราโดน่า เป็น "ตำนาน" | Main Stand

 

แหล่งอ้างอิง

https://italysegreta.com/diego-maradona-napless-patron-saint/
https://www.eurosport.com/football/serie-a/2020-2021/diego-maradona-and-naples-a-unique-and-endless-love-ottavio-bianchi-and-salvatore-esposito_sto8008113/story.shtml
https://www.archysport.com/2020/12/how-the-neapolitan-camorra-used-diego-maradona-and-what-happened-to-the-giuliano-clan/
https://www.besoccer.com/new/famous-quotes-from-and-about-diego-maradona-920630
https://en.wikipedia.org/wiki/Diego_Maradona
http://m-api.allfootballapp.com/article/2517949

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา