Feature

Born To Be The Legend : รวมวีรกรรมสุดระห่ำที่ทำให้ ดิเอโก มาราโดนา เป็น "ตำนาน" | Main Stand

ไม่ใช่แค่หัตถ์พระเจ้าเท่านั้นที่ ดิเอโก มาราโดนา ผู้ล่วงลับได้สร้างตำนานอันลือลั่นไว้ให้โลกใบนี้ คนอย่าง มาราโดนา ผู้ล่วงลับ ในช่วงที่มีชีวิตนั้น เขาเเต่งเติมสีสันให้มีรสชาติฉูดฉาดสุดขั้ว และนั่นทำให้มีสตอรี่มากมายทั้งในและนอกสนามให้เล่าขานแบบไม่รู้จบ


 

นี่คือส่วนหนึ่งของวีรกรรมระดับตำนาน ที่ดีบ้าง-ไม่ดีบ้าง ตามแบบฉบับของ มาราโดนา มนุษย์ที่เอ่ยคำว่า "ผมไม่เป็นสีเทา ... ไม่ขาวก็ดำไปเลย"

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่ 

 

เล่นบอลโลก ... แต่ไม่จบ

ในฟุตบอลโลกปี 1994 มาราโดนา อายุ 33 ปีแล้ว และเขายังเป็นตัวความหวังของ อาร์เจนตินา เหมือนเช่นเคย เขาสวมปลอกแขนกัปตันและยิง 1 ลูกในเกมที่ชนะ กรีซ หลังจากยิงประตูนั้น มาราโดนา วิ่งเข้าหากล้องถ่ายทอดสดและทำสีหน้าสะใจสุดชีวิตราวกับรู้ตัวว่านี่เป็นประตูสุดท้ายในนามทีมชาติของเขา

 

หลังจากที่ยิงประตูนั้นก็มีการตรวจโด๊ปของนักเตะทั้ง 2 ทีม และ มาราโดนา ที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับข่าวการติดโคเคนขนาดหนัก ก็ถูกพบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ทำให้เขาโดนตัดสิทธิ์ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น และส่งตัวกลับบ้านก่อนเวลาอันควร

ภายหลังจากโดนส่งตัวกลับบ้าน มาราโดนา เล่าว่าสารที่พบในร่างกายของเขาไม่ใช่ยาเสพติด แต่เป็นเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ Rip Fuel เวอร์ชั่นอเมริกาที่ผสมสารต้องห้ามในการแข่งขัน 

จะจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ เพราะไม่มีการตรวจขยายผลหลังจากนั้น ความจริงที่เกิดขึ้นคือ อาร์เจนตินา ต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ให้กับ โรมาเนีย ขณะที่ มาราโดนา ก็ไม่เคยได้กลับมาติดทีมชาติ อาร์เจนตินา อีกเลย
 

ตามอยู่ได้ เดี๋ยวพ่อยิงให้ !

หลังโดนขับออกจากทีมชุดฟุตบอลโลก 1994 ที่กำลังจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขาได้วันเดียว นักข่าวทั่วอาร์เจนตินาก็ตามหาตัว มาราโดนา กันแทบพลิกแผ่นดิน เพราะอยากจะได้ข่าวจากปากของเขา อย่างว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นขายได้เสมอ

นักข่าวตามตัว มาราโดนา ที่อยู่ในกรุงบัวโนสไอเรสจนเจอ ทว่าสภาพของเขานั้นไม่ได้อยู่ห้วงอารมณ์ที่อยากจะตอบคำถามซอกแซกมากมายนัก มาราโดนา อาจจะกำลังเมา หรือกำลังเศร้าอยู่ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ หลังจากที่นักข่าวไล่ตามได้สักพัก เขาตัดสินใจยกปืนไรเฟิลขึ้นมา !

"ออกไปนะโว้ย ถ้าตามมาอีก กูจะยิงพวกมึงจริง ๆ ด้วย" มาราโดนา ว่าไว้จากคำกล่าวอ้างของผู้อยู่ในเหตุการณ์

นักข่าวไม่ทันได้ตอบอะไร มาราโดนา ก็โชว์ว่าเขาไม่ได้แค่ขู่ เขายิงปืนใส่นักข่าว 4 คนที่เข้าพยายามจะเข้ามาสัมภาษณ์ ... เขายิงจริง แต่ดีที่ว่าปืนที่เขายิงนั้นเป็นแค่ปืนอัดลม นักข่าวจึงแค่เจ็บตัวเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีการแจ้งความจับ มาราโดนา หลังจากนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้เขาต้องติดคุกถึง 2 ปี 10 เดือนเลยทีเดียว และนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตหลังแขวนสตั๊ดอันวุ่นวายของเขา 

 

เลี้ยงเสือต้องเลี้ยงให้อิ่ม

มาราโดนา ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการเล่นในอาร์เจนติน่าร่วมกับสโมสร อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส และ โบคา จูเนียร์ส จนกระทั่ง บาร์เซโลนา ยื่นข้อเสนอแพงที่สุดในโลก ณ เวลานั้นที่ 5 ล้านปอนด์เพื่อดึงตัวเขามาร่วมทีม

ช่วงแรกกับ บาร์เซโลนา มาราโดนา นั้นมีปัญหาเรื่องตับจนต้องพักรักษาโรคนี้อยู่พักใหญ่ อย่างไรก็ตามเมื่อหายเจ็บกลับมาในช่วงเรียกฟิต มาราโดนา วางตัวแบบนักเตะเจ้าสำราญตัวจริงเสียงจริง เขาชื่นชอบการเที่ยวและปาร์ตี้ แน่นอนว่ามีแอลกอฮอล์ และ ยาเสพติด มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เขามาซ้อมกับทีมในตอนเช้าไม่ค่อยทัน และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้ลงสนามน้อยในช่วงแรก 

อย่างไรก็ตามอาการโอ๋ถึงขีดสุดเกิดขึ้น เมื่อกุนซืออย่าง เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ และประธานสโมสรอย่าง โจเซป หลุยส์ นูเญซ ก็ออกมาปฏิเสธแทนนักเตะตลอดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่ มาราโดนา รักษาตัวดีและรอวันกลับมาลงสนามตามปกติในเร็ววัน ทว่าที่จริงแล้วมีการเปิดเผยภายหลังว่า สโมสรแก้ไขปัญหาการมาซ้อมสายของ มาราโดนา ด้วยการเลื่อนเวลาซ้อมมื้อเช้าไปอีก 3 ชั่วโมง เหตุผลก็เพราะอยากให้ มาราโดนา ได้มานอนพักผ่อนในตอนเช้า และพร้อมสำหรับการซ้อมมากว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง

"มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตอนที่ มาราโดนา อยู่กับเรา หนึ่งในสิ่งที่ผมบอกได้คือ เราเคยปรับเวลาซ้อมมื้อเช้าให้ช้าไป 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้เขาได้นอนมากขึ้นด้วย" ชายผู้เป็นคนดึงตัว มาราโดนา กล่าว 

 

เจ้าแห่งการเอาคืน

ยังคงอยู่กับช่วงเวลาของ มาราโดนา ที่ บาร์เซโลนา อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ช่วงเวลาแรกนั้นช่างยากลำบากเพราะมีปัญหาเรื่องโรคตับจนต้องพักอยู่หลายเดือน แถมครั้นกลับมาลงสนามได้และเริ่มโชว์ฟอร์มดี เขาก็ต้องมีเรื่องให้ต้องแก้แค้นจนได้ 

เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ บาร์ซ่า เจอกับ แอธเลติก บิลเบา เมื่อปี 1983 ในเกมนี้มีนักเตะจอมหักกระดูกที่ชื่อว่า อันโดนี กอยโคเซีย เจ้าของฉายา "Butcher of Bilbao" (นักชำแหละแห่งบิลเบา) วิธีการเล่นก็ตามฉายา กอยโคเซีย เป็นฮาร์ดแมนที่แฟน บาร์ซ่า เกลียดมาก เพราะเขาเคยทำให้ แบรนด์ ชูสเตอร์ ต้องเจ็บยาวมาแล้ว 

ในการเจอกันวันนั้นต้องบอกว่า มาราโดนา กลิ้งเป็นลูกขนุนตลอดทั้งเกม และจุดพีกมาบังเกิดก็ตอนที่ กอยโคเซีย จัดการเข้าสกัดแบบสุดโหดใส่ มาราโดนา จนข้อเท้าหักในเกมนั้น การเข้าสกัดถูกเรียกว่า "การปะทะที่น่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปน" และ มาราโดนา ต้องพักยาวอีกรอบ

ทว่า 1 ปีให้หลัง ในเกมนัดชิงศึกโคปา เดล เรย์ ปี 1984 มาราโดนา เฝ้ารอเกมนี้แบบสุด ๆ เพราะ บาร์ซ่า จะได้เจอกับ โจทก์เก่าของเขาอย่าง บิลเบา อีกครั้ง ซึ่งในเกมนั้น มาราโดนา โดนไล่หวดไม่ต่างจากเกมเมื่อปีกลาย ทว่าหนนี้เขาไม่ยอมโดนเล่นงานฝ่ายเดียวอีกแล้ว 

เพราะทันทีที่เกมจบ ซึ่งเป็นฝั่ง บิลเบา ที่ชนะไป 1-0 มาราโดนา ก็หันไปต่อปากต่อคำกับ มิเกล โซลา อีกหนึ่งนักเตะจากแคว้นบาสก์ที่มีปัญหากับเขาทั้งเกม แล้วเฮดบัตต์ใส่ ก่อนศอกใส่นักเตะทีมคู่แข่งอีกคน แล้วกระโดดเข่าลอยใส่นักเตะอีกฝั่งจนหลับน็อคคาสนาม ซึ่งแน่นอนว่า เหตุตะลุมบอนต้องตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ประเด็นคือ เกมดังกล่าว กษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส เสด็จฯ ทอดพระเนตรในสนามด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าบุญทุ่มย่ำแย่สุด ๆ สุดท้ายก็มีเสียงเรียกร้องให้ปล่อยเขาออกจากทีมในทันที ก่อนที่จะไปสร้างตำนานกับ นาโปลี นั่นเอง

 

ซ้ายจัดตัวพ่อ

มาราโดนา ถือเป็นนักเตะที่มีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องการเมืองเป็นอย่างมาก เขาเป็นพวกหัวฝั่งซ้ายสุดขอบ เกลียดมากที่สหรัฐอเมริกามักเข้ามาหาผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศแถบอเมริกาใต้ จนเขากลายเป็นคนสนิทของ ฮูโก ชาเวซ ประธานาธิบดีประเทศเวเนซูเอลาเลยทีเดียว

ชาเวซ เคยเชิญมาราโดนามาออกรายงานทอล์คโชว์ที่ทางรัฐบาลจัดขึ้นและถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ในวันนั้น มาราโดนา ปรากฎตัวและจัดเต็มด้วยการแสดงจุดยืนว่า เขาเกลียดอเมริกาแบบสุดขีดถึงขีดสุด วิจารณ์การต่อยใต้เข็มขัดของลุงแซมที่ชอบบีบให้ประเทศแถบลาตินอเมริกาเจอกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก และหนึ่งในประโยคเด็ดวันนั้นคือ

"ผมเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากอเมริกา ผมเกลียดประเทศนี้จากก้นบึ้งลึกสุดของหัวใจเลยจะบอกให้" มาราโดนา ว่าจบก็ได้รับเสียงปรบมือแบบสนั่นลั่นสตูดิโอ

ไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น มาราโดนา ยังปฏิบัติให้เห็นด้วย ในสมัยที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดี และ บุช มีคิวต้องมาเยือนประเทศอาร์เจนติน่า มาราโดน่า ก็ปรากฎตัวในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงบุช โดยเสื้อที่เขาใส่ในวันนั้นมีข้อความว่า "หยุดบุช" (ตัว S ในคำว่า บุช ใช้ตัว S ที่ออกแบบคล้ายกับเครื่องหมายสวัสดิกะของ นาซี)  

"ผมเป็นคนอาร์เจนตินาที่ภูมิใจมากกับการออกมาไล่ไอ้มนุษย์ขยะอย่าง จอร์จ บุช อย่าให้มันได้มาเหยียบประเทศของเราอีกเชียว" มาราโดนา ว่าไว้

 

ลูกนอกไส้ของ ฟิเดล คาสโตร 

สืบเนื่องจากความเกลียดชังที่มีต่อสหรัฐอเมริกาที่กล่าวไป ทำให้ มาราโดนา นั้นสนิทสนิมกับ ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำของประเทศคิวบาผู้ล่วงลับเป็นอย่างมาก เนื่องจาก คาสโตร เป็นผู้ล้มล้างระบบเก่าที่มีสัมพันธ์ผลประโยชน์กับมาเฟียอเมริกา ผู้ควบคุมธุรกิจยาเสพติด การพนันและโสเภณีในกรุงฮาวานา 

จากนั้น คาสโตร ก็สถาปนาตัวเองเป็นเผด็จการคนใหม่ที่ใช้นโยบายคอมมิวนิสต์ บวกกับสุนทรพจน์ต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกามาปลุกใจคนในชาติ หวังกระตุ้นความรู้สึกรักชาติ และเกลียดชังอเมริกา 

มาราโดนา มี คาสโตร เป็นไอดอลและเรียกเขาว่าพ่อ ขณะที่ คาสโตร ก็เปิดประเทศต้อนรับมาราโดนาตลอดเวลา ครั้งนึ่งที่ มาราโดนา ล้มป่วย เขาเคยแนะนำให้ มาราโดนา มารักษาที่คิวบา ประเทศที่มีการแพทย์ชั้นสูง จนกระทั่งหายกลับมาซ่าได้อีกครั้ง

"ผมใช้ชีวิตที่คิวบา 4 ปี และตอนอยู่ที่นั่นผมจะโดน ฟิเดล ปลุกตอนตี 2 มานั่งคุยเรื่องต่าง ๆ ทั้ง กีฬา, การเมือง และเรื่องอื่น ๆ ในโลกนี้" มาราโดนา เล่าเรื่องสมัยเก่าก่อนระหว่างเขาและคาสโตรให้สื่อฟัง 

 

ไปที่ไหนซี้รุ่นใหญ่ที่นั่น

มาราโดนา ย้ายมา นาโปลี ในปี 1984 และเขากลายเป็นพระเจ้าของเมืองนี้ อย่างไรก็ตามอย่างที่ทุกคนรู้กันดี เขาเป็นมนุษย์ที่เวลาจะทำอะไรก็จะไปให้สุดทาง จะขาวก็ขาวสุด ๆ เหมือนกับผลงานในสนาม และหากจะดำก็ดำสุด ๆ เช่นเรื่องนอกสนามของเขา ผู้เป็นหนึ่งในแขกสำคัญของแก๊งมาเฟียที่เมืองเนเปิลส์

มาราโดนา นั้นสนิทกับแก๊งมาเฟียที่ชื่อว่า "ยูเลี่ยโน่ แคลน" ในยุคที่ มาราโดนา อยู่ มีหัวหน้าแก๊งชื่อว่า เออร์มิเนีย ยูเลียโน ลูกสาวของหัวหน้าคนเก่าที่โดนทางการซิวเข้าซังเตไป ความสัมพันธ์ของ มาราโดนา กับแก๊ง เป็นไปอย่างเพื่อนมากกว่าธุรกิจ เหตุผลเดียวนั่นก็เพราะว่า "โคเคน" ยาเสพติดขนานโปรดของเขา ที่แก๊งนี้พร้อมเปย์ให้ไม่อั้นแบบไม่คิดเงินสักบาทนั่นเอง

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการมาสนิทกับ ยูเลียโน แคลน คือจุดเริ่มต้นแห่งความล่มจมของ มาราโดนา ในช่วงปลายอาชีพ เพราะหลังจากพ้นยุค 90s มาราโดนา ติดโคเคนหนักมาก ซึ่งนั่นเป็นเพราะของที่มีเสิร์ฟแบบไม่อั้น จนช่วงท้ายอาชีพของเขามีการกล่าวถึงจากสมาชิกแก๊งว่า "มาราโดนา ทำได้ทุกอย่างเพื่อโคเคน แม้ว่าจะทำให้นาโปลีเสียแชมป์สคูเด็ตโต้ก็ตาม" 

 

เตะฟุตบอลในคุกให้ เอสโคบาร์ ดู

ไม่ใช่แค่มาเฟียอิตาลีเท่านั้นที่ มาราโดนา สามารถเข้ากันได้อย่างดี ครึ่งหนึ่งในปี 1991 ที่ ปาโบล เอสโคบาร์ มาเฟียโคเคนแห่ง โคลอมเบีย ต้องโทษจำคุก เขาได้สร้างคุกของตัวเองขึ้นมาที่มีความสะดวกสบายอยู่เต็มรูปแบบ

คุกของเขามีชื่อว่า "La Catedral" คุกส่วนตัวของเอสโคบาร์ ที่มีทั้งสนามฟุตบอล โซนสำหรับย่างบาร์บีคิว และจัดปาร์ตี้ แถมยังสร้างบ้านพักชั่วคราวข้าง ๆ ให้กับครอบครัวและญาติ ๆ ที่จะมาเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในคนสนิทที่ได้มายังคุกแห่งนี้คือ มาราโดนา นั่นเอง 

เอสโคบาร์ เชิญ มาราโดนา มาร่วมงาน ปาร์ตี้ มาเตะฟุตบอลพอเรียกเหงื่อและสนุกสุดเหวี่ยงกับประสบการณ์ใหม่แบบที่น้อยคนจะได้สัมผัส หลังจากปาร์ตี้จบลง มาราโดนา ยืนยันว่านี่คือค่ำคืนที่สุดยอดที่สุดคืนหนึ่งของเขาเลยทีเดียว

"เราลงแข่ง และทุกคนมีความสุข ในช่วงเย็นวันนั้นเรามีปาร์ตี้กับสาวสวยมากมายแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และนี่มันคือในคุก ผมแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช้าวันถัดไปเขาจ่ายเงินให้ผม และกล่าวคำอำลา" 

แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่บูดเบี้ยว แต่นี่แหละตัวตนของ มาราโดนา ที่ใดมีความสุขเขาก็ไปที่นั่น ... ไม่มีสีเทา มีแต่ดำหรือขาวเท่านั้น สโลแกนนี้บอกถึงชีวิตของเขาได้เป็นอย่างดี 

 

"หัตถ์พระเจ้า" และ "ลูกยิงแห่งศตวรรษ" ภายในเวลา 5 นาที

นักฟุตบอลส่วนใหญ่ใช้เท้าสร้างตำนาน แต่สำหรับ มาราโดนา ต้องเพิ่มการใช้มือให้เป็นตำนานด้วยมันจึงจะถูกต้องที่สุด

ในฟุตบอลโลกปี 1986 ที่ เม็กซิโก มาราโดนา เป็นทุกอย่างของ อาร์เจนตินา ทั้งดาวยิง ตัวทำเกม และเป็นกัปตันทีม อีกด้วย 

เขาพาทีมไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายและต้องพบกับทีมชาติอังกฤษ และอย่างที่ทุกคนทราบ นาทีที่ 50 ขณะที่เกมเสมอกัน 0-0 มาราโดนา กระโดดเอามือปัดบอลเข้าไปในขณะที่มันกำลังลอยอยู่กลางอากาศ มือของเขาไวกว่า ปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารของอังกฤษเสียอีก เมื่อบอลกระทบกับมือมันก็กลิ้งเข้าประตูไป ในขณะที่ทุกคนงง มาราโดนา เริ่มเล่นสงครามจิตวิทยากดดันผู้ตัดสิน อาลี บิน นาสเซอร์ ในวันนั้น

"ผมวิ่งไปดีใจก่อนเลย และรอให้เพื่อนร่วมทีมเข้ามากอดแสดงความดีใจด้วย แต่ไม่มีใครเข้ามาสักคน ผมเลยรีบตะโกนบอกว่า เร็ว ๆ สิโว้ย รีบเข้ามากอดกัน ไม่งั้นกรรมการจะริบประตูนี้คืน" มาราโดนา กล่าวในภายหลัง ... การกดดันเป็นผล เขาทำให้กรรมการและผู้ช่วยเสียสมาธิได้จริง ๆ

หลังจากนั้น 4 นาที ขณะที่อังกฤษกำลังช็อก มาราโดนา ได้ทำประตูแห่งศตวรรษด้วยการลากผ่านผู้เล่นอังกฤษ 5 คน และจบท้ายด้วยการล็อคหลบ ปีเตอร์ ชิลตัน และยิงเข้าไปแบบเหลือเชื่อจนผู้บรรยายฟุตบอลโลกในวันนั้นต้องอุทานออกอากาศว่า "มาราโดนา คุณยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า ?" 

อาร์เจนตินา ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์ 2-1 และเดินทางไกลไปจนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนั้น ทุกครั้งที่มีคนสัมภาษณ์ มาราโดนา มักจะพูดถึงประตูนั้นว่า "ไม่ใช่มือผม แต่มันคือหัตถ์ของพระเจ้า" 

"ถ้าให้ผมย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ผมจะทำ ... ผมจะขอโทษก็ได้ถ้ามีคนอยากฟัง แต่ประตูนั้นจะยังคงเป็นประตูของทีมชาติอาร์เจนติน่า พวกเราคือแชมป์โลก และผมคือนักเตะที่เก่งที่สุด"  

 

ร่วมเวทีกับวง Queen 

ในช่วงยุค 80s นอกจากจะเป็นยุคที่ มาราโดนา โด่งดังสุด ๆ แล้ว ยังเป็นยุคที่วงร็อคสัญชาติอังกฤษอย่าง Queen เขย่าโลกด้วยน้ำเสียงของ เฟร็ดดี้ เมอร์คิวรี่ นักร้องนำของพวกเขา 

ในปี 1981 วง Queen มีคอนเสิร์ตใหญ่ที่ประเทศ อาร์เจนตินา มันเป็นคอนเสิร์ตจากอัลบั้ม "The Game" จัดขึ้นที่กรุงบัวโนสไอเรส บ้านเกิดของ มาราโดนา ที่ตอนนั้นก็ป๊อปปูลาร์ที่สุดในเมืองนี้เช่นกัน 

โดยมาราโดนานั้นได้รับเกียรติให้ขึ้นเวทีร่วมกับวง Queen ในโชว์ครั้งนั้น เขาสวมเสื้อธงยูเนี่ยนแจ๊ค และได้ถูกเชิญให้กล่าวก่อนเข้าเพลง Another One Bites the Dust อีกด้วย 

คอนเสิร์ตครั้งนั้นมีผู้ชมมากกว่า 3 แสนคน มากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการดนตรีและคอนเสิร์ตที่เคยจัดขึ้นใน อาร์เจนตินา อีกด้วย ว่ากันว่าในวันนั้น เฟร็ดดี้ ไม่ได้รู้จัก มาราโดนา เป็นการส่วนตัวเพราะไม่ได้ติดตามกีฬาฟุตบอล ส่วน มาราโดนา ก็ยังไม่ได้เล่นในยุโรปหรือดังระดับโลก แต่เหตุผลที่เขาชวน มาราโดนา ขึ้นเวทีเป็นเพราะคุยกันแล้วถูกคอ ซึ่งก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่า มาราโดนา อยู่ที่ไหนก็มักจะเข้ากับกลุ่มคนเด่น คนดัง หรือผู้มีอิทธิพลได้ดีเสมอ 

อย่างไรก็ตามมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากคอนเสิร์ตครั้งนี้ เพราะในตอนนั้น มาราโดนา โดนชาวอาร์เจนติน่าถล่มยับจากเสื้อที่ใส่ จากสถานการณ์ระหว่างอังกฤษกับอาร์เจนติน่า ที่กำลังตึง ๆ จากเรื่องกรณีพิพาทหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ ใน 1 ปีให้หลัง ซึ่งสร้างความเกลียดชังให้เจ้าตัวอย่างมาก และเขายืนยันว่าสักวันเขาจะแก้แค้นแทนผู้บริสุทธิ์และเด็ก ๆ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ได้ จนเป็นเชื้อไฟเล็ก ๆ ที่ทำให้ มาราโดนา จัดการทำ แฮนด์ ออฟ ก็อด ใส่ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกปี 1986 นั่นเอง 

 

แหล่งอ้างอิง 

https://www.goal.com/story/diegomaradonathegodofnaples/index.html
https://www.fcbarcelona.com/en/news/1615168/the-big-read-maradona-the-fc-barcelona-years
https://www.chicagotribune.com/news/ct-xpm-1994-02-03-9402030164-story.html
https://www.goal.com/story/diegomaradonathegodofnaples/index.html
https://www.facebook.com/hearandwatch/posts/1645520098960962
https://www.skysports.com/football/news/11095/12142178/diego-maradonas-napoli-adventure-remembered-in-stunning-2019-film

 

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น