Feature

ลัตเวียในคิงส์คัพ 2005 : ความสำเร็จของที่ยิ่งใหญ่ของชาติเล็ก ๆ จากยุโรป | MAIN STAND

วันที่ 30 ธันวาคม 2005 เป็นแมตช์การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ คิงส์คัพ ครั้งที่ 36 ที่ออกไปแข่งขันที่ต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก โดยเลือกที่จะล่องใต้เพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่หลังภัยพิบัติสึนามิ 

 


เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดที่สนามกีฬาสุระกุล จังหวัดภูเก็ต ก็เป็น "ทีมชาติลัตเวีย" ที่ซิวแชมป์ไปได้ หลังจากเอาชนะ โอมาน ขาประจำไปด้วยสกอร์ 2-1 และถือเป็นแชมป์สมัยแรกของลัตเวีย

แม้จะเป็นชาติในยุโรปที่มีทีมเก่งเต็มทวีปไปหมด แต่ลัตเวียไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะแข่งคัดเลือกฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลยูโร ลัตเวียจะเป็นทีมโถสุดท้ายที่คอยแจกแต้มให้ชาติยักษ์ใหญ่เป็นว่าเล่นมาตลอด สามแต้มก็ยังเก็บไม่ค่อยจะได้

แม้จะเป็นทีมจากยุโรปแต่การได้เล่นคิงส์คัพพบกับ โอมาน และ เกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นทีมแข็งระดับหนึ่งของเอเชีย ดูเหมือนว่าลัตเวียจะไม่ได้รับการคาดหวังว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริงพวกเขาก็ทำได้เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

Main Stand จึงพาไปย้อนรอยความสำเร็จของลัตเวีย ณ ช่วงเวลานั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ไปกินรังแตนที่ไหนถึงได้ฟอร์มแจ่มขนาดนี้ และก็ถือเป็นโอกาสครบรอบที่คิงส์คัพออกไปจัดแข่งที่ต่างจังหวัดอีกคราด้วยเช่นกัน

 

ชนชาติแห่งความเป็นรอง

เชื่อได้ว่าหากไม่ได้สนใจจริง ๆ หลายคนย่อมไม่คุ้นหูชื่อประเทศลัตเวียเป็นแน่ ซึ่งก็แน่นอน ประวัติศาสตร์บนดินแดนตรงกลางภูมิภาคบอลติกที่มีอาณาเขตติดกับรัสเซียทางตะวันออกโดยมีทางออกสู่ทะเลชื่อ อ่าวริกา แห่งนี้ แทบจะเรียกได้ว่า "เป็นรอง" ชาติอื่น ๆ มานานแล้ว

เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนยุคกลาง ดินแดนแถบลัตเวียอยู่ภายใต้ “คณะอัศวินเยอรมัน” ตั้งแต่สมัยสงครามครูเสดเหนือ ก่อนที่ “คณะอัศวินลิโวเนีย” จะเข้าพิชิตดินแดนและเปลี่ยนเมืองริกา (เมืองหลวงของลัตเวีย) ให้เป็นเมืองทางการค้าพาณิชย์ ซื้อขายของปลอดภาษี หรืออาหารทะเลอย่างปลาเฮอร์ริ่ง โดยเป็นดินแดนหนึ่งใน “สันนิบาตอานเซ่” ครอบคลุมชายฝั่งทะเลทางยุโรปตอนเหนือทั้งยวง

ซึ่งในยุคถัด ๆ มาแผ่นดินลัตเวียถูกชาติอื่นเข้าครอบครองมาตลอดหลายศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นรัฐอัศวินทิวทัน, เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย, ราชอาณาจักรสวีเดน และ จักรวรรดิรัสเซีย

จนมาถึงปี 1918 ประเทศลัตเวียได้มีการประกาศอิสรภาพ ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนจริง ๆ แต่ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะไม่ถึง 30 ปีลัตเวียก็โดนสหภาพโซเวียตเข้าครอบครอง ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะตกเป็นของนาซีเยอรมัน และเมื่อนาซีพ่ายแพ้ก็กลับสู่โซเวียตอีกครั้ง โดยเป็นเขตการปกครองหนึ่งที่มีรัฐบาลเป็นของตนเอง แต่จริง ๆ คือถูกปกครองอยู่ใต้บัญชาของโซเวียต

จนกระทั้งปี 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลาย อำนาจอธิปไตยจึงกลับคืนสู่ประชาชนชาวลัตเวียอีกครั้ง แต่ความที่ชาวลัตเวียไม่เคยมีอำนาจเหนือแผ่นดินตนเองเลย ความเป็นมวยรองจึงผูกติดกับประเทศนี้มาโดยตลอด ไม่นับถึงโอกาสและความพร้อมในการพัฒนาประเทศที่ต้องมาเริ่มใหม่ทั้งหมด หลังการได้รับเอกราชครั้งนี้

 

เก่งแต่ในบอลติก

แม้ว่าในระดับทวีปยุโรป ด้านประวัติศาสตร์ลัตเวียเป็นรองแทบทุกกระบิ พวกเขาไม่มีอำนาจไม่มีที่ทาง ซึ่งก็ส่งผลมายังเรื่องฟุตบอลด้วย เพราะฟุตบอลลัตเวียก็สู้ประเทศอื่นไม่ค่อยได้ ต่อให้สู้ได้ก็เป็นทีมระดับใกล้ ๆ กัน

อย่างไรก็ตามทุกทวีปทั่วโลกแต่ละภูมิภาคย่อยก็จะมีฟุตบอลทัวร์นาเมนต์แข่งขันเพื่อสะสมคะแนนฟีฟ่าทั้งนั้น อย่างอาเซียนก็มี เอเอฟเอฟ คัพ เอเชียตะวันออกก็มี อีเอเอฟเอฟ คัพ แน่นอนในแถบบอลติก ก็มี "บอลติก คัพ" จัดแข่งขันแบบปีเว้นปี

แต่ถึงจะเป็นฟุตบอลระดับภูมิภาค แต่บอลติก คัพ ก็แข่งกันเองอยู่ 3 ทีมมาเกือบร้อยปี (มีเว้นไปช่วงหนึ่งประมาณ 50 ปี) นั่นคือ ลัตเวีย ลิทัวเนีย และ เอสโตเนีย มีบ้างบางปีที่มีชาติรับเชิญมาแข่งขัน แต่ก็เชิญได้แค่ฟินแลนด์ที่อยู่ใกล้กัน

เมื่อมีแค่ 3 ทีมชาติ แชมป์ก็วนเวียนอยู่ 3 ทีมชาตินี้นั่นแหละ เพียงแต่ว่าลัตเวียดูจะถูกโฉลกกับรายการนี้มากเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาได้แชมป์มากถึง 13 สมัย จากการแข่งขันทั้งหมด 27 ครั้ง เรียกได้ว่าในแถบบอลติกนั้นไม่มีชาติใดจะเทพไปกว่าลัตเวียอีกแล้ว

ซึ่งจริง ๆ ชะตาของลัตเวียก็แทบไม่ต่างจากทีมชาติไทยสักเท่าไร เพราะถึงจะได้แชมป์ในระดับภูมิภาคมาเท่าไร แต่เมื่ออกไปแข่งขันกับระดับที่สูงขึ้นไปก็เป็นอันต้องพบกับความพ่ายแพ้ต้องหอบความผิดหวังกลับบ้านอยู่ตลอด

ตั้งแต่ได้รับเอกราชลัตเวียแข่งขันในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนยุโรปไปรวม 85 แมตช์ ชนะ 21 เสมอ 18 แพ้ไปถึง 46 เรียกได้ว่าอัตราส่วนชัยชนะมีน้อยกว่าการลงเล่นกว่า 4 เท่า 

หรือในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ฟุตบอลยูโร) รอบคัดเลือก ลัตเวียลงแข่งขันรวมไป 72 แมตช์ ชนะ 21 เสมอ 13 แพ้ไป 38 อัตราส่วนชนะน้อยกว่าการลงเล่นเกือบ 4 เท่าเช่นกัน

แต่ในเวลาต่อมาความเก่งกาจของลัตเวียนั้นก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวยุโรปและชาวโลกในปี 2004 อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

 

ยูโร 2004 คือจุดเปลี่ยน

สิ้นเสียงนกหวีดที่สนามเบเยเค อิโนนู กรุงอีสตันบูล พลพรรค “อาภรณ์เลือดหมู” ได้เฮเสียงดังลั่นสนั่นกึกก้อง ประตูโทนของ มาริส แวร์ปาคอฟสกีส์ ช่วยให้ทีมชาติลัตเวีย ดับ ตุรกี อันดับ 3 ในฟุตบอลโลกปี 2002 ไปแบบช็อกสายตากองเชียร์เจ้าบ้าน หลังจากเสมอกันในเกมแรกมา 2-2 

ส่งผลให้สกอร์รวมลัตเวียชนะไป 3-2 และที่สำคัญชัยชนะเกมนี้ได้พาทีมชาติลัตเวียทะยานเข้าไปแข่งขันฟุตบอลยูโร 2004 รอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศและภูมิภาคบอลติกด้วย

ซึ่งลัตเวียก็ได้โชว์ฟอร์มดีมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้ว โดยในรอบคัดเลือกกลุ่ม 4 ลัตเวียไม่แพ้ให้กับแชมป์กลุ่มอย่าง สวีเดน เลย ทั้งยังไม่เสียประตูให้พลพรรคไวกิ้งอีกด้วย 

แม้จะพลาดท่าให้กับเพื่อนร่วมกลุ่มอย่าง ฮังการี และ โปแลนด์ แต่นอกจากนั้นลัตเวียก็เก็บชัยชนะมา จนจบรองแชมป์กลุ่มได้ไปเพลย์ออฟกับ ตุรกี แล้วก็เข้ารอบอย่างที่กล่าวไป

แต่ผลงานเอกจริง ๆ ของทีมชาติลัตเวียคือรอบแบ่งกลุ่มของศึกยูโร 2004 รอบสุดท้าย ซึ่งลัตเวีย สามารถยันเสมอ เยอรมนี ยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปและแห่งโลก ที่นำทัพมาด้วย โอลิเวอร์ คาห์น นายทวารเจ้าของรางวัล เลฟ ยาชิน อวอร์ด ปี 2002, มิชาเอล บัลลัค ห้องเครื่องซุปเปอร์สตาร์จาก บาเยิร์น มิวนิค และ เควิน คูรานญี่ หัวหอกจอมถล่มประตูของ เฟาเอฟแอล สตุตการ์ท ไปแบบไร้สกอร์ ซึ่งสำหรับชาติเล็ก ๆ แบบนี้การเสมอทีมระดับรองแชมป์โลกถือเป็นความสำเร็จสุด ๆ ของพวกเขา

น่าเสียดายที่อีก 2 แมตช์ ลัตเวียแพ้ทั้ง สาธารณรัฐเช็ก และ เนเธอร์แลนด์ ตกรอบเป็นบ๊วยของกลุ่ม ปิดตำนานเทพนิยายแบบฉบับลัตเวียไว้เพียงเท่านี้ ถึงจะไม่ได้น่าจดจำสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับชาวลัตเวียนี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำที่จะไม่มีวันลืม

เพราะอยู่ ๆ ลัตเวียก็ทำผลงานได้ดีแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและไม่มีสัญญาณใด ๆ มาก่อน จับพลัดจับผลูเข้าไปรอบสุดท้ายในยูโร 2004 แถมยังเสมอเยอรมันได้เสียด้วย

แต่ก็มีการให้เหตุผลทำนองว่า ตอนนั้นนักเตะลัตเวียส่วนมากลงเล่นในลีกรัสเซีย ซึ่งลีกรัสเซียในช่วงยุค 2000s เริ่มที่จะมีคุณภาพมากขึ้น และแข็งแกร่งจนสามารถก้าวเข้ามาต่อกรกับฝั่งยุโรปตะวันตกได้สูสีขึ้น ทั้งในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ ยูฟ่า คัพ

ยูริส ไลซานส์ กลางบ๊อกซ์ทูบ๊อกซ์ของ ซีเอสเคเอ มอสโก รองแชมป์ลีกรัสเซียปี 2004, วลาดิมีร์ส โคเลชนิเชนโก กลางรุกของ เอฟซี มอสโก, อันเดรย์ ลูบินส์ ปีกซ้ายของ ชินนิค ยาโรสลาฟล์, โอเล็ค บลาโกนาเดซิน เซ็นเตอร์แบ็กของ สปาร์ตัก วลาดิคาฟคาซ เหล่านี้ล้วนเป็นผู้เล่นตัวหลักในลีกรัสเซียที่ทำผลงานได้ดีทั้งนั้น

รวมไปถึงช่วงนั้นมีนักเตะลัตเวียสามารถทำผลงานส่วนบุคคลได้เข้าตาจนสโมสรจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซื้อตัวไปร่วมทีม ได้แก่ อันเดรย์ สโตลเซอร์ส กองกลางจากฟูแล่ม และ แมเรียน ปาฮาร์ส กองหน้าจากเซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งประสบการณ์จากการเล่นในลีกที่มีคุณภาพอันดับต้น ๆ ของโลกก็ช่วยยกระดับทีมชาติลัตเวียได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

อีกส่วนหนึ่งเพราะอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมโถ 1 ที่แทบจะแข็งน้อยที่สุดอย่าง สวีเดน ในยุคที่ เฮนริค ลาร์สสัน เริ่มโรยรา และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ยังไม่ฉกาจฉกรรจ์เท่าในอีกหลายปีต่อมา รวมถึงไปพบกับทีมโถ 2 และ 3 ที่ไม่แข็งมากเท่าไร อย่าง โปแลนด์ และ ฮังการี ยุคไร้ซูเปอร์สตาร์ ก็อาจจะทำให้ลัตเวียกรุยทางไปยูโรได้สะดวกกว่าทีมโถ 4 อื่น ๆ มากขึ้น 

รวมถึงการเล่นแบบ “จอดรถบัส” ที่เน้นเกมรับล้วน ๆ มีโอกาสค่อยสวนตูมเดียวหาย ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่ทีมฟุตบอลใช้แล้วประสบความสำเร็จพอดิบพอดี เห็นได้จากสโมสรเอฟซี ปอร์โต ที่ได้แชมป์สโมสรยุโรป รวมไปถึงทีมชาติกรีซ ที่ใช้แล้วผ่านเข้ารอบยูโร 2004 และไปจนถึงตำแหน่งแชมป์ในเวลาต่อมา

 แน่นอนว่าลัตเวียที่เป็นทีมเล็ก ๆ ที่เล่นแบบนี้มาตลอด เลยเหมือนได้ตีบวกพลังไปด้วยกับเทรนด์ฟุตบอลที่เข้ามาเหมาะกับแนวทางการเล่นของลัตเวียพอดี

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นจุดเปลี่ยนให้ลัตเวียก้าวขึ้นไปอีกขั้น มันได้เติมความมั่นใจ ความเชื่อมั่น และเพิ่มดีเอ็นเอแห่งผู้ชนะไปอีกระดับโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมองจุดเดิมอีกพอสมควร

 

ต่อยอดสู่แชมป์คิงส์คัพ

เมื่อได้สัมผัสกับความสำเร็จครั้งหนึ่งแล้วครั้งต่อ ๆ มาก็จะง่ายขึ้น คำนี้ใช้กับทีมชาติลัตเวียได้ดีทีเดียว ซึ่งความสำเร็จที่ต่อยอดนั้นคือการที่ลัตเวียเถลิงบัลลังค์ “แชมป์คิงส์คัพ” อย่างยิ่งใหญ่

ลัตเวียในตอนที่ได้รับเชิญมานั้นอยู่ที่อันดับ 69 ของโลก โดยพุ่งขึ้นมาจากอันดับ 130-140 กว่า ๆ หลังจบศึกยูโร ซึ่งเป็นอันดับที่สูงกว่า เกาหลีเหนือ (อันดับ 82) และ โอมาน (อันดับ 91) ที่มาร่วมแข่งขันด้วยกันเสียอีก ส่วนไทยตอนนั้นไม่ต้องพูดถึง อยู่ที่อันดับ 111 นู่นเลย

แต่อันดับฟีฟ่าตอนนั้นก็มีข้อครหา เพราะมีระบบการคิดคำนวณที่ไม่สะท้อนสมรรถภาพของทีมชาตินั้น ๆ เกาหลีเหนือและโอมานจึงยังคิดว่าลัตเวียทีมนี้ก็คงแค่ฟลุคได้ไปเล่นยูโร แถมยังไม่ชนะสักแมตช์เดียวคงจะมีฝีเท้าไม่เท่าไร 

ประกอบกับการแข่งขันเป็นแบบ “พบกันหมด” ก็ยิ่งเข้าทาง คงจะเก็บ 3 แต้มได้แบบไม่ยาก ยิ่งเกมเปิดสนาม ลัตเวีย ทำได้แค่เสมอ ทีมชาติไทย ไป 1-1 หลายคนจึงคิดว่า โอมาน กับเกาหลีเหนือ น่าจะมีสักทีมคว้าแชมป์ไปได้

แต่หารู้ไม่ว่าลัตเวียถึงจะมาในนามทีมชาติชุดใหญ่แต่ไม่ได้จัดตัวแบบเต็มสตรีม มีการส่งน้อง ๆ เยาวชนลงเล่นผสม ๆ กับชุดหลักประปราย ขนาดมาไม่เต็มสูบยังทำให้พลพรรคช้างศึกเหนื่อยได้ขนาดนี้

โดยสองแมตช์ถัดมาลัตเวียก็ได้ให้กำเนิดกองหน้าดาวรุ่งร่างทองชื่อว่า “เคิร์ตส์ คาร์ลสันส์” เพชฌฆาตวัย 23 จาก ชินนิค ยาโรสลาฟล์ ผู้นี้ โชว์ฟอร์มสุดยอดโดยยิงหนึ่งประตูไล่ตามตีเสมอ เกาหลีเหนือ 1-1 ในเกมที่สอง 

ก่อนที่ในเกมสุดท้ายกับโอมาน เจ้าตัวจะยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 54 ก่อนจะโดนโอมานตีเสมอในนาทีที่ 88 หากผลจบแบบนี้ ลัตเวียจะจมบ๊วยเสมอ 3 เกมรวดแบบไม่ชนะใครและส่งแชมป์ให้เกาหลีเหนือทันที

แต่ดวงจะได้แชมป์ คนจะแจ้งเกิด ห้ามกันไม่ได้ คาร์ลสันส์ตะบันประตูเข้าไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+1 ปาดหน้าคว้าแชมป์คิงส์คัพไปอย่างเหลือเชื่อ พร้อมส่งคาร์ลสันส์คว้ารางวัลดาวซัลโวไปด้วยจำนวน 3 ประตู

แต่ก็น่าเสียดายที่ความสำเร็จช่วง 2004-2005 นี้ไม่สามารถต่อยอดได้ยาวไกลสักเท่าไร ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2006 และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ลัตเวียกลับมาฟอร์มเดิม ตกรอบแบบไม่ได้ลุ้น มีใกล้เคียงที่สุดคือฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010 ที่ลัตเวียสามารถจบด้วยแต้มมากถึง 17 คะแนน ด้วยผลงานชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 3 แต่ก็ทำได้เพียงอันดับที่ 3 ทำได้เพียงนั่งมอง สวิตเซอร์แลนด์ ไปฟุตบอลโลก และ กรีซ ได้ไปเพลย์ออฟแบบตาละห้อย

ดีหน่อยที่ยูฟ่าสร้างรายการแข่งขัน ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก ขึ้นมา โดยแบ่งเป็นดิวิชั่นตามแรงกิ้ง แบ่งเป็น A, B, C และ D ทำให้ลัตเวียได้ปะทะกับทีมระดับใกล้ ๆ กันบ่อยขึ้น จนฤดูกาล 2022-23 ลัตเวียสามารถการันตีโควตาเลื่อนชั้นไป ลีก C ได้สำเร็จ จากผลงานชนะรวด 4 แมตช์ และยังแข่งขันไม่ครบโปรแกรมเสียด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าลัตเวียยังคงมีความเก่งกาจเหนือทีมระดับล่างในยุโรปอยู่

กระนั้นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจก็คือการได้แชมป์คิงส์คัพ ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติยศนอกทวีปครั้งแรก และครั้งเดียวของ ทีมชาติลัตเวีย จนถึงปัจจุบัน 

และทำให้ชาติในเอเชียได้บทเรียนว่าจะประมาทชาติเล็ก ๆ ในยุโรปไม่ได้ เพราะพวกเขามีพิษสงสร้างบาดแผลให้ได้เสมอ แบบเดียวกับ “ลัตเวีย” ทีมนี้

 

แหล่งอ้างอิง

https://taleoftwohalves.uk/featured/baltic-trailblazers-look-back-latvias-euro-2004-adventure 
https://www.footiecentral.com/20160610/greatest-underdog-stories-when-latvia-played-spoilsport-for-germany-at-euro-2004/ 
https://showsport.me/football/team-latvia-2636459 
https://latviansonline.com/latvian-football-competes-in-euro-2004/ 
https://www2.mfa.gov.lv/en/usa/culture/history-of-latvia-a-brief-synopsis#:~:text=Latvia%20was%20originally%20settled%20by,the%2012th%20and%2013th%20centuries. 
https://web.archive.org/web/20161026183055/http://203.172.205.25/ftp/intranet/sea_games_23rd/seagrames2005/www.matichon.co.th/seagames2005/detailnewsf321.html?detail=1&S950=01spo04151248&sid=&select_date=2005%2F12%2F15
https://en.fifaranking.net/ranking/index.php?d=2005-12-16 
https://web.archive.org/web/20120318135119/http://kassiesa.nl/uefa/wiki/index.php?title=National_Team_Ranking_2005 
https://www.theguardian.com/football/2004/jun/07/euro2004.sport115 
https://www.rsssf.org/tablesk/kings05.html 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ