การจะเป็นนักมวยปล้ำซูเปอร์สตาร์ของ WWE สมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงจะต้องมีทักษะการปล้ำบนเวทีที่ดี แต่คุณต้องมีคาแร็กเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เพื่อให้คนดูสามารถจดจำคุณได้ตั้งแต่เดินออกมาหน้าเวที ซึ่งที่ผ่านมาก็มีนักมวยปล้ำหลายคนที่หาคาแร็กเตอร์ของตัวเองเจอจนประสบความสำเร็จโด่งดังเป็นที่รักของแฟน ๆ ทว่าก็มีนักมวยปล้ำฝีมือดีอีกหลายคนที่หาบุคลิกของตัวเองไม่เจอ ซื้อใจคนดูไม่ได้ จนต้องลากกระเป๋าออกจากสมาคมไปอย่างผิดหวัง
จอห์น ซีน่า ก็เป็นอีกคนที่เคยหลงทาง เมื่อเขาหาตัวตนบนเวทีที่เข้ากับตัวเองและคนดู WWE ไม่เจอ จนเกือบจะถูกสมาคมตัดชื่อทิ้ง แต่เมื่อวันหนึ่งเขาได้ออกทัวร์นอกประเทศ ได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนพี่น้องร่วมวงการ เขาก็บังเอิญพบคาแร็กเตอร์ที่ถูกต้องแบบไม่รู้ตัวนั่นก็คือกิมมิค "แร็ปเปอร์ตัวเกรียน" หรือ "Dr. of Thuganomics" ซึ่งในที่สุดมันได้ส่งเสริมให้ จอห์น ซีน่า กลายเป็นที่รักของคนดู และยกสถานะเป็นซูเปอร์สตาร์ของ WWE ไปตลอดกาล
กิมมิค "แร็ปเปอร์ตัวเกรียน" ช่วยชีวิตของ จอห์น ซีน่า อย่างไรบ้าง Main Stand มีคำตอบให้...
นักเพาะกายสู่นักมวยปล้ำ
ก่อนที่โลกจะรู้จัก จอห์น ซีน่า ในฐานะนักมวยปล้ำบิ๊กเนม เด็กหนุ่มชาวอเมริกันจากเมืองเวสต์นิวบูรี รัฐแมสซาชูเซตส์ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสปริงฟิลด์ ในปี 1999 ได้รับปริญญาสาขาสรีรวิทยาการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหว ซึ่งหลังจากนั้น ซีน่า ก็ได้มุ่งนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาไปสู่การเป็นเป็นนักกีฬาเพาะกาย ปั้นกล้ามเนื้อตัวเองให้แข็งแรงกำยำ รวมถึงทำงานอื่น ๆ หารายได้เลี้ยงชีพ อาทิ คนขับรถลีมูซีนพาลูกค้าไปส่งทุกจุดหมายที่ว่าจ้าง หรือเป็นพนักงานล้างห้องน้ำตามโรงยิมฟิตเนสต่าง ๆ
ซีน่า มุ่งหมายจะเป็นนักเพาะกายระดับอาชีพ ถึงขั้นได้รับโอกาสให้เป็นนายแบบในวิดีโอโฆษณาของ Gold's Gym โรงยิมออกกำลังที่มีชื่อเสียงในแคลิฟอร์เนีย และเมื่อโฆษณาของ Gold's Gym ที่ซีนาเป็นพรีเซ็นเตอร์ปรากฏต่อสายตาผู้ชมก็สร้างความสนใจให้กับทีมงานของ WWE สมาคมมวยปล้ำยักษ์ใหญ่ของโลก จนในที่สุดซีน่าก็ได้รับข้อเสนอจาก WWE ชักชวนเข้าสู่วงการมวยปล้ำ ในปี 1999
แม้จะไม่มีพื้นฐานวิชามวยปล้ำมาก่อน แต่ชายหนุ่มที่มีชื่อเต็มว่า "จอห์น เฟลิกซ์ แอนโธนี ซีน่า" ก็ตอบรับโอกาสที่เข้ามา เขาอำลาวงการเพาะกายและเข้าสู่โลกของมวยปล้ำนับตั้งแต่นั้น
ปี 1999 จอห์น ซีน่า เข้าสู่โลกมวยปล้ำในฐานะนักมวยปล้ำฝึกหัด เขาได้รับการฝึกฝนวิชามวยปล้ำจากโค้ชและอาจารย์ต่าง ๆ ที่อยู่ในสมาคม Ultimate Pro Wrestling (UPW) กับ Ohio Valley Wrestling (OVW) ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ WWE ช่วงเวลานั้นซีนาได้เรียนรู้วิชามวยปล้ำพร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง แรนดี้ ออร์ตัน, เดฟ เบาติสต้า, เชลตัน เบนจามิน และ บร็อค เลสเนอร์ โดยทุกคนล้วนเป็นเพียงดาวรุ่งที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนให้เปล่งแสง
ซีน่า ในยุคที่ขึ้นปล้ำกับ UPW และ OVW ปรากฏตัวในกิมมิค The Prototype เป็นนักเพาะกายกล้ามโต หัวเกรียน มีผมสีทองกึ่งโมฮอว์กอยู่กลางศีรษะ ใส่กางเกงมวยปล้ำหลากสี และช่างจ้อช่างคุยเมื่อมีไมโครโฟนมาอยู่ตรงหน้า ซึ่งตอนนั้นแม้ทักษะการปล้ำของซีน่าจะไม่เป็นรองใคร แต่คาแร็กเตอร์ในวันนั้นยังไม่โดดเด่นเปล่งประกายเท่าเพื่อนคนอื่น ๆ ชนิดที่ แรนดี้ ออร์ตัน เพื่อนร่วมรุ่นและคู่ปรับในอนาคตยังมองว่าประหลาด
"ตอนผมเห็นซีน่าครั้งแรก ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใครวะ แต่ก็มีบางสิ่งในตัวเขาที่น่าสนใจ" แรนดี้ ออร์ตัน เล่าถึงวันที่เขาเห็นซีน่าที่สมาคม OVW ช่วงแรก แม้ภาพลักษณ์จะดูตลก แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าซีน่ามีศักยภาพที่ดีที่จะเติบโตเป็นนักมวยปล้ำชั้นนำในอนาคต
หลังบ่มเพาะฝีมือและประสบการณ์จนสุกงอม รวมถึงได้รับการผลักดันให้ออกมาปล้ำใน Dark Match (แมตช์ก่อนเริ่มหรือหลังรายการที่ไม่ได้ออกทีวี) ระยะหนึ่ง ในที่สุด จอห์น ซีน่า ก็อยู่ในสภาพพร้อมถูกใช้งาน และเปิดตัวในฐานะสตาร์ดาวรุ่งในรายการหลักของ WWE อย่างเต็มตัว ร่วมกับเพื่อนที่ฝึกมาด้วยกันทั้ง แรนดี้ ออร์ตัน, เดฟ เบาติสต้า และ บร็อค เลสเนอร์ ในฐานะนักเรียน OVW รุ่น 4 หรือ "คลาส ออฟ 2002" ของ OVW
ค้นหาตัวตนในยุค Ruthless Aggression
"พวกแกทุกคนมีใครบ้างที่พร้อมสละร่างกาย จิตใจ และวิญญาณเพื่อสมาคม ใครที่คิดว่าตัวเองมีศักยภาพ ใครที่คิดว่าตัวเองสามารถขึ้นไปแตะดวงดาวได้ ใครที่อยากจะเป็นซูเปอร์สตาร์ และมีใครบ้างไหมที่อยากเป็นตำนานคนต่อไป !" วินซ์ แม็คแมน ประธานแห่ง WWE ออกมาประกาศกร้าวในรายการ RAW เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2002 โดยมีนัยยะสำคัญคือการเปิดประตูให้เหล่าสตาร์ของ WWE รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ออกมาพิสูจน์ฝีมือให้คนดูและเขาเห็นถึงคุณค่าและศักยภาพที่จะนำสมาคมไปสู่ความสำเร็จหน้าต่อไปในยุค "Ruthless Aggression" ที่เกิดขึ้นถัดจาก "Attitude Era" สุดคลาสสิกที่ผ่านพ้นไปแล้ว
ซีน่า เล่าว่าประโยคดังกล่าวของแม็คแมนปลุกความฮึกเหิมให้กับสตาร์ดาวรุ่งอย่างเขาและคนอื่นที่อยู่หลังฉากได้มาก และเขารู้สึกว่าถ้าอยากจะประสบความสำเร็จก็ควรจะกระโดดรับโอกาสนั้นไว้อย่างไม่รีรอ "เขาเป็นคนปลุกใจให้เราที่นั่งผูกเชือกรองเท้าอยู่ข้างหลัง ทำนองว่า เฮ้ ! ฉันรอคนที่จะมาไขกุญแจเปิดประตูเข้าสู่ยุคสมัยอยู่นะ ดังนั้นจงออกมาแล้วคว้ามันซะ !"
หลังจาก วินซ์ แม็คแมน ประกาศเปิดประตูเข้าสู่ยุค "Ruthless Aggression" ต่อมาในรายการ WWE Smackdown เคิร์ท แองเกิล ซูเปอร์สตาร์รุ่นใหญ่ดีกรีเหรียญทองโอลิมปิก ออกมาประกาศท้าทายนักมวยปล้ำยุคใหม่ให้มาสู้กันบนเวที และเป็น จอห์น ซีน่า ที่เดินออกมารับความท้าทายนั้นด้วยมาดและบุคลิกแบบ The Prototype สมัยที่อยู่กับ OVW เว้นแต่เปลี่ยนทรงผมเป็นสีดำไม่เป็นโมฮอว์กสีทองเล็กๆ เหมือนตอนนั้นแล้ว
"ไหนบอกหน่อยซิ ว่าอะไรทำให้แกมั่นใจที่จะเดินมาขึ้นเวที แล้วเผชิญหน้ากับคนที่เก่งที่สุดของวงการนี้วะ" เคิร์ท แองเกิล ถามเด็กใหม่ที่ตอบรับคำท้าของเขา ก่อนที่ จอห์น ซีน่า จะตอบกลับไปว่า "Ruthless Aggression!" แล้วตบรุ่นพี่จนหน้าหัน ก่อนนำมาสู่การต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยซีน่าโชว์ทักษะการปล้ำได้ดี โจมตีและแก้ท่าของนักมวยปล้ำรุ่นพี่ได้ แม้ไฟต์นี้จะจบลงที่ซีน่าพ่ายแพ้ แต่ก็ได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากคนดูรวมถึงรุ่นพี่ที่หลังฉากได้มาก ชนิดที่ The Undertaker ตำนานสัปเหร่อขวัญใจแฟน ๆ ยังเดินมาขอจับมือแล้วชมว่า "ทำได้ดี"
มาถึงตรงนี้หลายคนคงเชื่อว่าอนาคตของ ซีน่า กำลังสดใสเมื่อเปิดตัวปล้ำได้ดีและมีตำนานอย่าง ดิ อันเดอร์เทเกอร์ มาเจิมให้กำลังใจ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น
ซีน่า ถูกผลักดันให้ออกมาปล้ำในรายการโชว์ของ WWE ทุกสัปดาห์ ด้วยกิมมิค The Prototype แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ คอสตูมกางเกงหลากสีเหมือนตัวตลก ทำให้ตัวเขาไม่มีบุคลิกโดดเด่นกว่าเพื่อนนักมวยปล้ำคนอื่น ไม่มีออร่าที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ของ WWE แม้ว่า เคิร์ท แองเกิล กับ คริส เจอริโก้ สองสตาร์รุ่นพี่จะพยายามโน้มน้าว วินซ์ แม็คแมน ให้ผลักดันดาวรุ่งคนนี้ถึงขนาดยอมเป็นคู่ต่อสู้ให้ซีน่าได้แสดงฝีมือฉายแสงบนเวที เพราะเชื่อว่าไอ้เด็กคนนี้มีของ แต่ประธานของ WWE ก็ยังไม่รู้สึกที่อยากจะผลักดันซีน่าสักเท่าไหร่แม้แต่ ซีน่า เวลานั้นเขายังยอมรับว่าไม่รู้เหมือนกันว่าควรมีบุคลิกอย่างไร คนดูถึงจะจดจำเขาได้ แต่เมื่อเหลือบมองไปที่เพื่อนร่วมรุ่นที่มาจาก OVW ด้วยกันอย่าง บร็อค เลสเนอร์ ก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ชั้นแนวหน้าไปแล้ว ส่วน เดฟ เบาติสต้า กับ แรนดี้ ออร์ตัน ก็กำลังฉายแสงสุกสกาวในฐานะสมาชิกแก๊งตัวร้าย Evolution ที่มี ทริปเปิลเอช (HHH) เป็นหัวหน้าทีมและป๋าดันของทั้งคู่ ส่วน ซีน่า ที่ไม่มีบุคลิกโดดเด่นอะไรเลยมีสิทธิ์ตกงานทุกเมื่อหาก WWE มองว่าเขาไม่มีศักยภาพที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ของสมาคมได้
"จอห์นกำลังเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในการค้นหาตัวเอง เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครบนเวที ดังนั้นเขาต้องหาตัวเองให้เจอและให้มันนำพาไปสู่ก้าวต่อไป" บรูซ พริคชาร์ด กรรมการบริหารของ WWE ให้ความเห็น และพยายามเชียร์ให้ซีน่าค้นหาบุคลิกที่ถูกต้องของตัวเองให้เจอ
"Dr. of Thuganomics" กิมมิคเปลี่ยนชีวิตระหว่างทัวร์ยุโรป
ช่วงหนึ่งของปี 2002 สมาคม WWE ได้จัดโปรแกรมทัวร์ยุโรป ขนทัพนักมวยปล้ำออกไปเดินสายปล้ำโชว์ต่อหน้าแฟน ๆ ประเทศอื่นนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งในกรุ๊ปนั้นก็มี จอห์น ซีน่า รวมอยู่ด้วย และการทัวร์ยุโรปครั้งนี้เองก็นำพาให้ จอห์น ซีนา ได้พบกับกิมมิคที่เขาตามหาอยู่แบบไม่ได้ตั้งใจ
"วันหนึ่งผมนั่งรถบัสอยู่กับทัวร์ ผมได้ยิน ริกิชิ กับ เรย์ มิสเตริโอ ซึ่งนั่งอยู่หลังรถกำลังร้องเพลงแร็ป แบทเทิล สไตล์ กันอยู่ พวกเขาชวนผมมาแจมด้วย ผมก็แบบอ่ะ ลองดูก็ได้" ซีน่า เล่าย้อนความหลัง ซึ่งเดิมทีเขาก็เป็นคนที่ชอบฟังเพลงแร็ป ฮิปฮอป อยู่แล้วแต่ไม่ค่อยแสดงออกให้เพื่อนเห็นเท่าไหร่ ทว่าการร้องเพลงแร็ปกับเพื่อน ๆ บนรถบัสในวันนั้น ทำให้ซีนาจุดประกายว่าบุคลิก "แร็ปเปอร์ตัวเกรียน" น่าจะเป็นกิมมิคที่ใช่สำหรับเขา
และอีกคนที่ช่วยส่งเสริมกิมมิคแร็ปเปอร์ของ จอห์น ซีน่า ก็คือ สเตฟานี่ แม็คแมน ลูกสาวของ วินซ์ แม็คแมน ประธาน WWE ที่เป็นหัวหน้าทีมพานักมวยปล้ำกับทีมงานเดินสายทัวร์ยุโรปตอนนั้น ซีน่าเล่าว่าเขามีโอกาสลองแร็ปแซวสเตฟานี่ทั้งตอนคุยงานและรับประทานอาหารจนสเตฟานีรู้สึกชอบใจเลยบอกว่า "อยากลองแร็ปออกรายการทีวีไหม" เพื่อเช็คปฏิกิริยาจากแฟนมวยปล้ำดูว่าจะเป็นอย่างไร และซีน่าก็ตอบตกลงอย่างไม่รีรอ
ซีน่า เริ่มเปลี่ยนตัวเองตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม เปลี่ยนเพลงเปิดตัวเป็นเพลงฮิปฮอปชื่อ "Word Life" ที่ตัวเองร้อง เขาหันมาสวมเสื้อตัวใหญ่ กางเกงยีนส์ขาสั้น เอาโซ่เส้นใหญ่มาคล้องคอ ตั้งชื่อกิมมิคแร็ปเปอร์ตัวเกรียนนี้ว่า "Dr. of Thuganomics" และทุกครั้งที่เขาได้จับไมโครโฟนออกรายการก็จะพูดจาภาษาแร็ปเปอร์ พูดเป็นประโยคคล้องจอง แซวคู่แข่ง แซวคนดู จนกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่ไม่เหมือนนักมวยปล้ำคนใดในสมาคม
กิมมิค "Dr. of Thuganomics" ของ จอห์น ซีน่า ประสบความสำเร็จเมื่อเขาเริ่มมัดใจคนดูได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แถม WWE ยังเปิดโอกาสให้ซีนาสามารถเล่นสนุกกับบทบาทนี้ได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการชวนเพื่อนนักมวยปล้ำอย่าง บิ๊กโชว์, เคิร์ท แองเกิล, ไบรอัน เคนดริก ฯลฯ มาแข่ง RAP BATTLE บนเวทีเรียกเสียงฮาจากคนดู หรือการเอามือขึ้นมาปิดหน้าแล้วพูดว่า "You Can't See Me" ที่เอาไอเดียจากน้องชายมาใช้แล้วได้ผล เพราะคนดูชอบมากจนกลายเป็นวลีฮิตประจำตัวของซีน่าไปเลย
แชมป์โลก และพระเอกของ WWE
หลังเปลี่ยนกิมมิคเป็น Dr. of Thuganomics แล้วประสบความสำเร็จ ได้เสียงตอบรับจากคนดูอย่างล้นหลาม วินซ์ แม็คแมน และ WWE ก็เปลี่ยนแผนมาผลักดัน จอห์น ซีน่า อย่างเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ให้เปิดศึกกับ บิ๊กโชว์ ชิงเข็มขัดแชมป์ US ในศึกเรสเซิลมาเนีย ปี 2004 แล้วเมื่อถึงแมตช์จริง ซีน่า ที่ได้เปิดตัวปล้ำ เรสเซิลมาเนีย ครั้งแรกในชีวิต ก็จับ บิ๊กโชว์ ใส่ท่า FU แล้วคว้าเข็มขัดแชมป์ของ WWE เส้นแรกในชีวิตมาได้ แม้จะชนะแบบตุกติกนิดหน่อยเพราะฉวยเอาสนับมือมาใส่แล้วต่อย บิ๊กโชว์ ตอนที่กรรมการเผลอ ตามด้วยท่าไม้ตาย FU กดนับสามชนะไป แต่คนดูในสนามวันนั้นก็ไม่มีใครตะโกนด่าทอเพราะชื่นชอบที่ได้เห็น ซีน่า กลายเป็นแชมป์ในที่สุด
"มันน่าทึ่งมากที่คุณได้อยู่ต่อหน้าคนดูที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน (สนามจัด เรสเซิลมาเนีย) และได้ถือเข็มขัดแชมป์ต่อหน้าแฟน ๆ ผมจำได้เลยว่าหลังจากนั้นผมเอาเข็มขัดและสิ่งของทุกอย่างใส่ในรถ ชื่นชมความสำเร็จอยู่ที่ลานจอดรถสาธารณะ และบอกตัวเองว่าต้องเป็นคนติดดินเหมือนเดิมนะ" จอห์น ซีน่า รำลึกถึงวันที่ได้ครองเข็มขัดแชมป์ของ WWE เส้นแรกในชีวิตนับตั้งแต่ก้าวสู่รายการหลักเมื่อปี 2002
จากนั้นเป็นต้นมา กราฟชีวิตของ จอห์น ซีน่า ก็พุ่งแรงแบบฉุดไม่อยู่ เขาถูกผลักดันให้ชิงแชมป์โลกเส้นใหญ่กับ JBL ดาวร้ายแห่ง Smackdown เวลานั้น และในศึกเรสเซิลมาเนีย ปี 2005 เจ้าตัวก็จัดการปราบ JBL และคว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวตมาครองได้ ก่อนจะเอาเข็มขัดเส้นนั้นมาเปลี่ยนใหม่ให้เป็นเข็มขัดที่โลโก้ WWE หมุนได้ ซึ่งก็เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับรุ่นใหม่ได้มากจนกลายเป็นสินค้าขายดีติดลมบน เป็นเข็มขัดที่แฟนคลับซีน่ามีทุกบ้าน ส่วนแฟนคลับยุคโอลด์สคูลหน่อยก็จะวิจารณ์พลางด่าทอว่านี่มันเข็มขัดบ้าอะไรกัน เอาเข็มขัดแชมป์โลกอันศักดิ์สิทธิ์มาทำเป็นเข็มขัดของเล่นหลอกเด็กได้ยังไง
กระนั้นชื่อเสียงและความสำเร็จของ ซีน่า ที่พุ่งแบบไม่หยุดหย่อนก็ถือเป็นดาบสองคม เมื่อสมาคม WWE ผลักดันซีน่าให้เป็นพระเอกสมาคมแบบออกหน้าออกตา ขึ้นปล้ำรายการไหนก็การันตีว่าต้องชนะตลอด แถมเปลี่ยนสไตล์การปล้ำมาเน้นชก จับทุ่มนิดหน่อยแล้วปิดด้วยท่าไม้ตาย FU (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Attitude Adjustment หรือ AA) ที่หลายคนวิจารณ์ว่าไม่เห็นจะรุนแรงตรงไหนเมื่อเทียบกับท่าไม้ตายของคนอื่น ๆ จนคนดูมวยปล้ำที่เป็นผู้ใหญ่รู้สึกต่อต้านและตะโกนด่า "Cena Sucks!" ให้ได้ยินออกทีวีเป็นประจำเวลาเห็นซีน่าปล้ำแบบแพตเทิร์นเดิม ๆ และคาดเดาได้ว่าจะจบลงแบบไหน โดยไม่รู้จะเสียเวลาเชียร์ไปทำไม
จอห์น ซีน่า ยอมรับว่าตอนนั้นยิ่งเขาประสบความสำเร็จเขาก็ยิ่งตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และถูกโห่หนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งด้วยคาแร็กเตอร์ที่แพ้ไม่เป็น รวมถึงสไตล์การปล้ำแบบการ์ตูน เน้นเอนเตอร์เทน เอาใจแฟนคลับเด็ก ๆ มากกว่าแฟนมวยปล้ำตัวจริง แต่สิ่งที่เขาเลือกตอบกลับคนดูมวยปล้ำก็คือก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไปเหมือนเดิม
บอกลากิมมิค "แร็ปเปอร์ตัวเกรียน"
เมื่อชื่อเสียงและความสำเร็จเริ่มอยู่ตัว เดินไปไหนใคร ๆ ก็รู้จักกันหมดแล้ว บวกกับฐานแฟนคลับเริ่มเปลี่ยนจากผู้ใหญ่ไปเป็นเด็กและครอบครัวมากขึ้น จอห์น ซีน่า ก็ตัดสินใจทิ้งกิมมิค Dr. of Thuganomics ที่สวมบทบาทมาตั้งแต่ปี 2002 เพราะอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่แฟนคลับเด็ก ๆ ที่สวมเสื้อสกรีนชื่อและหน้าของเขามาดูโชว์ทุกสัปดาห์ และไม่อยากพูดจาหยาบคายติดเรตให้เด็กฟังผ่านการแร็ปอีกแล้ว
"ผมไม่ต้องการผลวิเคราะห์อะไร เพราะผมเห็นมันกับตาตัวเองแล้วคิดว่าเราควรจะเปลี่ยนแปลงมันตอนนี้เลย ก่อนที่ผมจะเดินไปที่ห้องทำงานของวินซ์แล้วบอกว่าผมจะหยุดแร็ป" ซีน่า เล่าถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญเมื่อเหลือบเห็นฐานแฟนคลับที่เปลี่ยนไปในทุกสัปดาห์
อย่างไรก็ตามการทิ้งกิมมิค Dr. of Thuganomics ก็ไม่ได้ทำให้สถานะของ จอห์น ซีน่า ใน WWE เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เขายังคงถูกผลักดันในฐานะพระเอกของสมาคมเหมือนเดิม ได้โอกาสชิงเข็มขัดแชมป์โลกกับคู่ต่อสู้ระดับท็อปมากหน้าหลายตา เช่น เอดจ์, คริส เจอริโก้, บิ๊ก โชว์, ทริปเปิลเอช, แรนดี้ ออร์ตัน, บาติสต้า, เรย์ มิสเตริโอ, เดอะ มิซ, เดอะ ร็อก, เอเจ สไตล์ส จนทำสถิติเป็นแชมป์ WWE ถึง 16 สมัย สูงสุดเทียบเท่า ริค แฟลร์ "เดอะ เนเจอร์บอย" ตลอดกาลของโลกมวยปล้ำ ซึ่งก็มีทั้งเสียงชื่นชมและก่นด่าระคนกัน
กาลเวลาผันผ่าน หลังจากได้แชมป์ WWE มา 16 สมัย บวกกับมีซูเปอร์สตาร์เลือดใหม่ปรากฏตัวมาเรียกความนิยมจากแฟน ๆ มากมาย ปี 2017 จอห์น ซีน่า ก็ได้ตัดสินใจลดบทบาทตัวเองมาเป็นสตาร์แบบพาร์ตไทม์ที่กลับมาปรากฏตัวเป็นครั้งคราวตามอีเวนต์ใหญ่เช่น เรสเซิลมาเนีย ปี 2019 ที่กลับมาสวมบท Dr. of Thuganomics ออกมาแร็ปและเล่นงาน เอไลอัส นักมวยปล้ำมาดนักดนตรีบนเวที หรือปะทะกับ โรมัน เรนจ์ส ซูเปอร์สตาร์แชมป์โลกคนปัจจุบันใน ซัมเมอร์สแลม ปี 2021 ให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึง
นอกจากนี้ จอห์น ซีน่า ได้หันเหเข้าสู่โลกฮอลลีวูด และค่อย ๆ สร้างชื่อเสียงบนแผ่นฟิล์มตามรอยรุ่นพี่อย่าง เดอะ ร็อก หรือ ดเวย์น จอห์นสัน ซึ่งเจ้าตัวก็มีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์อย่าง Fast & Furious 9, The Suicide Squad หรือซีรีส์ Peacemaker ทางช่อง HBO ที่ประสบความสำเร็จแบบสุด ๆ ซึ่งการรับบท Peacemaker วายร้ายตัวเกรียนก็เป็นอีกหนึ่งคาแร็กเตอร์ที่ทำให้คอหนังได้รู้จัก จอห์น ซีน่า อย่างกว้างขวาง หลังจากเล่นหนังมาหลายเรื่องแต่ยังไม่มีบทบาทไหนที่ทำให้เจ้าตัวโดดเด่นเลย
แม้ทุกวันนี้ จอห์น ซีน่า จะไม่ได้เป็นแร็ปเปอร์ขาเกรียน Dr. of Thuganomics บนหน้าจอมวยปล้ำอีกแล้ว แต่เขาเองก็รู้สึกขอบคุณบทบาท Dr. of Thuganomics นี้อยู่เสมอ เพราะถ้าเขาไม่พบกับบทบาทนี้บนรถบัสขณะทัวร์ยุโรปเมื่อปี 2002 เขาก็คงไม่ประสบความสำเร็จและได้รับการยกย่องในฐานะซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลของ WWE จนถึงวันนี้
"เมื่อไหร่ก็ตามที่เราค้นพบว่าตัวเองเป็นใคร เราก็จะประสบความสำเร็จในทุกตารางนิ้ว" จอห์น ซีน่า ทิ้งท้าย
แหล้งอ้างอิง :
สารคดี WWE RUTHLESS AGGRESSION E2: Enter John Cena
https://www.sportskeeda.com/wwe/what-happened-john-cena-s-bodybuilding-career
https://whatculture.com/wwe/10-best-wwe-gimmicks-vince-mcmahon-had-nothing-to-do-with?page=8
https://www.ringsidenews.com/2022/03/11/vince-mcmahon-didnt-think-john-cena-was-worth-anything-when-chris-jericho-wanted-to-put-him-over/
https://www.republicworld.com/sports-news/wwe-news/wwe-live-why-john-cena-gave-up-dr-of-thuganomics-persona.html