เบรคแดนซ์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ เบรคกิ้ง อีกหนึ่งกีฬาจากวัฒนธรรมสตรีทที่กำลังจะมีการแข่งขันอย่างเป็นทางการในปารีสโอลิมปิก 2024 สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนในระดับใกล้เคียงกันกับตอนที่สเก็ตบอร์ดได้เข้ามาเป็นกีฬาใหม่ในโตเกียวโอลิมปิก 2020
เบรคกิ้งคือหนึ่งในองก์ประกอบหลักสำคัญของวัฒนธรรมฮิพฮอพ เคียงคู่ไปกับการแร็พ, บีทบ็อกซ์, กราฟฟิตี้ และดีเจ มีรากฐานที่แข็งแรงมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970s เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มเช่นนี้ กำลังจะได้รับการยอมรับมากขึ้นและกำลังจะกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเวลาอันใกล้
เบรคกิ้งมีที่มาอย่างไร? บี-บอย เบรคแดนซ์และเบรคกิ้ง เหมือนหรือต่างกันไหม? ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมสตรีท กลายเป็นสิ่งที่นักกีฬาเท้าไฟตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อในปารีสโอลิมปิก 2024?
Main Stand ขออาสาเล่าให้ฟัง
“B-boys, b-girls, are you ready? keep on rock steady”
“เบรคกิ้ง” (Breaking) คือ รูปแบบการเต้นชนิดหนึ่ง ที่มักจะเต้นประกอบกับดนตรีประเภท ฟังก์ โซล และ ฮิพฮอพ ต้นกำเนิดของเบรคกิ้งเกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหววัฒนธรรมฮิพฮอพในช่วงต้นทศวรรษ 1970s ในย่านบรองซ์ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นที่นิยมในหมู่ในรุ่นลาตินอเมริกันและแอฟริกันอเมริกัน
ย้อนกลับไปช่วงต้นทศวรรษ 1970 การเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมฮิพฮอพเริ่มต้นขึ้นมาจากการจัดปาร์ตี้ วัยรุ่นมักจะเปิดเพลงกันผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือเทิร์นเทเบิล โดยมี “ดีเจ” (DJ) หรือ "ดิสก์ จ็อคกี้” ทำหน้าที่เปิดเพลงและมักจะมีอีกคนที่ทำหน้าเหมือนพิธีกร เรียกว่า “เอ็มซี” (MC) คอยเรียกผู้คนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับปาร์ตี้อยู่เรื่อยๆ
หนึ่งในบุคคลสำคัญของการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมฮิพฮอพคือ “ดีเจคูลเฮิร์ค” (DJ Kool Herc) หรือชื่อจริงว่า “ไคล์ฟ แคมป์เบล” ดีเจชาวจาไมก้าผู้ถูกยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งฮิพฮอพ” โดดเด่นด้วยสไตล์การเปิดเพลงแบบผสมกัน ด้วยการวางแผ่นเสียงสองแผ่นบนเทิร์นเทเบิลและสลับกันเปิดไปเรื่อยๆ เขาได้กลายมาเป็นผู้บุกเบิกแนวทางการเปิดเพลงแบบใหม่ ที่เชื่อมโยงกับการเต้นเบรคกิ้งแบบโดยตรง
ปกติแล้วในเพลงจะมีท่อนที่เรียกว่า เดอะ เบรค (The Break) ซึ่งเป็นท่อนที่มีแต่เสียงดนตรีหรือเครื่องประกอบจังหวะ โดยทั่วไป นี่จะเป็นช่วงที่คูลเฮิร์คจะสลับเปลี่ยนจากเพลงหนึ่งไปสู่อีกเพลงหนึ่ง แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เลือกที่จะเปิดลูปท่อนเพลงที่มีแต่ดนตรีวนไปเรื่อยๆ เหมือนกับม้าหมุน จนกลายเป็นศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “เมอร์รี่ โก ราวด์” (Merry Go Round)
“บี-บอย บี-เกิร์ล พร้อมหรือยัง? อย่าเพิ่งหยุดกัน เต้นให้มันต่อไปเลย”
ตัวอักษร บี ย่อมาจากคำว่า “เบรคกิ้ง” เป็นที่รู้จักในฐานะคำแสลงความหมายว่า “บ้าคลั่ง” เพราะทุกๆ ครั้งที่คูลเฮิร์คเปิดเพลงถึงท่อน เดอะ เบรค สิ่งที่เขามักจะทำเสมอคือการเรียกให้ผู้คนออกมาเต้นบนฟลอร์ คำว่า บี-บอย หรือ บี-เกิร์ล จึงหมายถึง นักเต้นเบรคกิ้ง อย่าง “เบรคบอยส์" หรือ “เบรคเกิร์ลส์” คนหนุ่มสาวที่กำลังสนุกกับปาร์ตี้อย่างบ้าคลั่งนั่นเอง เริ่มมีการโชว์ท่าเต้นกันเองว่าของใครเจ๋งกว่า กลายเป็นการ “แบทเทิล” กันในเวลาต่อมา
การแบทเทิลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะจากการเต้นเพื่อความสนุกได้กลายมาเป็นการแข่งขัน ว่ากันว่าในยุค 70s ที่มีสงครามระหว่างแก๊งค์ในย่านบร๊องซ์ เนื่องจากความต้องครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่ บี-บอยได้กลายมาเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาแทนการใช้ความรุนแรง เด็กวัยรุ่นที่เคยฆ่าแกงกัน เปลี่ยนเป็นความพยายามเอาเอาชนะด้วยการเต้นแบทเทิลกัน โดยมีเกณฑ์การตัดสินคือ หากใครที่คิดท่าได้ซับซ้อนและมีความสร้างสรรค์มากกว่า ผู้นั้นถือเป็นผู้ชนะ ซึ่งก็นับว่าสร้างสรรค์พอจนทำให้สงครามระหว่างแก๊งค์จบลงได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยามที่จะลบภาพจำที่ไม่ดีออกไป แต่สำหรับบางคนก็ยังมองว่าวัฒนธรรมแก๊งแบบนี้ดูรุนแรง สาเหตุหลักที่นักเต้นมักจะโดนเหมารวมไปด้วยเป็นเพราะแฟชั่นการแต่งตัวที่ดูแหกขนบ พวกเขาแต่งตัวเหมือนกันเพราะพวกเขาคือแก๊งเดียวกัน เป็นวัฒนธรรมกระแสรองที่ได้รับการยอมรับกันเฉพาะกลุ่มและนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่อย่างใด
หนึ่งในแก๊งที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่วางรากฐานของบีบอยให้เติบโตได้แก่ “เดอะ ไมท์ตี้ ซูลู คิงส์” (The Mighty Zulu Kings) พวกเขาเป็นกลุ่มบี-บอยที่ริเริ่มสร้างค่านิยมและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่วัฒนธรรมแก๊งด้วยการเต้น แทนการใช้ความรุนแรง พวกเขาเคารพกันที่ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีสิ่งอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาส่งต่อการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมนี้ให้แก่คนรุ่นต่อไปด้วยการเต้นเท่านั้น
ในปลายทศวรรษ 1970s-1980s เป็นยุคที่โลกได้รู้จักกับบี-บอยในกระแสวัฒนธรรมหลัก ภายใต้ชื่อใหม่ที่ถูกเรียกโดยสื่อว่า “เบรคแดนซ์” หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือ “ร็อค สเตียดี้ ครูว์” (Rock Steady Crew) กลุ่มนักเต้นที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวลาตินอเมริกัน มีสมาชิกที่สำคัญได้แก่ ริชาร์ด โคลอน หรือ เครซี่ เล๊กส์ พวกเขาได้พาบี-บอยออกไปนอกบร๊องซ์ให้โลกได้รู้จัก ผ่านการทำเพลงอย่างจริงจัง โดยมีเพลงฮิตที่ชื่อว่า “(เฮ้ ยู) เดอะ ร็อค สเตียดี้ ครูว์” ((Hey You) Rock Steady Crew) ออกมาในปี 1983 ดังไกลไปถึงสหราชอาณาจักร เปิดตัวแรงด้วยการไต่ขึ้นอันดับ 6 บนชาร์ตเพลงของอังกฤษและติดท็อป 10 เพลงยอดฮิตในประเทศยุโรปหลายประเทศ
อีกหนึ่งความสำเร็จของร็อค สเตียดี้ ครูว์ คือ การทลายกำแพงของความไม่เท่าเทียมของผู้หญิงในวงการบี-บอยด้วย เพราะสมาชิกผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวจากกลุ่ม ร็อค สเตียดี้ ครูว์ อย่าง “เบบี้ เลิฟ” หรือ “เดย์ซี่ คาสโตร คุตุฆาร์” เดิมทีตั้งแต่ที่มีกระแสการแข่งขันการเต้น ผู้หญิงในวงการนี้มักจะไม่ได้การยอมรับอย่างเท่าเทียม เนื่องจากถูกมองว่าเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ เบบี้ เลิฟ ได้กลายมาเป็นไอคอนของ บี-เกิร์ล เธอได้แสดงให้เห็นแล้วว่าในวงการเต้นบี-บอยก็มีพื้นที่ให้ผู้หญิงเช่นกัน
เบรคกิ้งกลายเป็นสิ่งที่ใครก็เข้าถึงได้และเพราะความดังแบบฟ้าผ่านี้เอง ทำให้สื่อประเคนชื่อใหม่ให้แก่การเต้น บี-บอย ว่า “เบรคแดนซ์” เสมือนเป็นชื่อทางการที่ใช้เรียกกัน ซึ่งมีทั้งคนที่ไม่เห็นด้วยและไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร อย่างสมาชิกอีกคนหนึ่งของ ร็อค สเตียดี้ ครูว์ อย่าง “ซานติอาโก้ ‘โจโจ้’ ตอร์เรส” ก็ได้ลงความเห็นต่อเรื่องนี้ไว้ว่า
“จริงๆ แล้วมันก็คือบี-บอยแหละ แต่สื่อให้ชื่อที่เป็นทางการเฉยๆ ถึงยังไงมันก็ยังคงเป็นบี-บอย และใครก็ตามที่เอาจริงเอาจังกับมันก็จะยังคงเรียกมันว่าบี-บอยเสมอไป "
ส่วนคนเครซี่ เล๊กส์เองเขาก็มักจะได้ยินคำว่าเบรคแดนซ์บ่อยๆ จนปล่อยผ่านไปเฉยๆ
“ตอนผมเริ่มเต้นครั้งแรกในปี 77 ตอนนั้นทุกคนยังเรียกว่าบี-บอยอยู่ พอเรื่องพวกนี้ได้รับความสนใจจากสื่อในปี 81, 82 ตอนหลังผมก็เผลอเรียกเบรคแดนซ์ไปด้วย”
แม้ว่าจะมีความผิดพลาดในการเรียกโดยสื่อ แต่หลายคนที่เต้นก็สบายใจที่จะเรียกบี-บอยมากกว่าหรือเรียกเป็นคำว่า “เบรคกิ้ง” แทน เพราะการเรียกด้วยคำนี้ ยังเป็นการให้ความเคารพแก่วัฒนธรรมของฮิพฮอพอย่างแท้จริงด้วย
แต่เดิมที่เคยเป็นวัฒนธรรมกระแสรอง ตอนนี้บี-บอยได้โจนทะยานเข้าสู่วัฒนธรรมกระแสหลัก เบรกกิ้งยังคงเป็นหนึ่งในองก์ประกอบหลักที่ยังคงอยู่ในวัฒนธรรมฮิพฮอพที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมานับแต่นั้น
จากความนิยมเฉพาะกลุ่มของผู้คนในบร๊องซ์ มาถึงปัจจุบัน เบรคกิ้ง กำลังจะกลายเป็นการแข่งขันระดับโลกในปารีสโอลิมปิก 2024
ประชันกันที่ความคิดสร้างสรรค์
จากโตเกียวโอลิมปิก 2020 ที่เพิ่งจบไป จะสังเกตได้ว่าคณะกรรมการโอลิมปิกมีความพยายามที่จะนำกีฬาที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันมากขึ้น ที่เห็นกันไปแล้วก็เช่น สเก็ตบอร์ด, เซิร์ฟบอร์ด, และ ปีนเขา เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ และความจริงแล้วเบรกกิ้งก็เคยเป็นกีฬาเยาวชนของโอลิมปิกมาแล้ว ในปี 2018 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า
การที่เบรคกิ้งเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกีฬาอย่างเป็นทางการในปารีสโอลิมปิก 2024 ได้รับการสนับสนุนจาก “สมาพันธ์กีฬาลีลาศโลก” (The World DanceSport Federation : WDSF)
“นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่สำหรับนักเต้นบี-บอยหรือบี-เกิร์ล เท่านั้น แต่สำหรับนักเต้นทั่วโลก”
“ทางสมาพันธ์ไม่สามารถภูมิใจไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ที่เบรคกิ้งจะได้เข้าร่วมปารีสโอลิมปิก 2024 เราขอขอบคุณทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการโอลิมปิก ทีมงานของสมาพันธ์ และที่สำคัญที่สุด ผู้คนที่นิยมในการเต้นเบรคกิ้ง”
“ชอว์น เทย์” ประธานสมาพันธ์ กล่าวถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อการประกาศอย่างเป็นทางการครั้งนี้
เบรคกิ้งที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมกระแสรอง กำลังจะถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในกีฬาของโอลิมปิกอย่างเป็นทางการในการแข่งขันปารีสโอลิมปิก 2024 นำไปสู่ความตื่นเต้นครั้งใหม่แก่ผู้เข้าแข่งขันและผู้ชม เพราะใจความสำคัญของการแข่งเต้นเบรคกิ้งคือการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่ร่างกายก็ต้องขยับตลอดเวลา
การแข่งขันเบรคกิ้งในปารีสโอลิมปิก 2024 จะมีทั้งประเภทชายและหญิง โดยแบ่งเป็นทีมละ 16 คน โดยการแข่งแต่ละครั้งจะให้ส่งตัวแทน ออกมาเต้นแบทเทิลกัน 1 ต่อ 1
แม้จะยังไม่มีเกณฑ์การวัดคะแนนของโอลิมปิกออกมาอย่างเป็นทางการ แต่การแข่งขันเบรคกิ้งที่ผ่านมา สามารถทำความเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ จากรายการแข่งขันอื่นที่ผ่านมา อ้างอิงจาก “เรดบูล บีซี วัน” (Red Bull BC One)
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นการเต้นแบบฟรีสไตล์ แต่เบรคกิ้งก็มีหลักการในตัว มีเทคนิคที่เรียกว่า ท็อปร็อค โกดาวน์ ฟุตเวิร์ค พาวเวอร์ มูฟและฟรีซ ซึ่งแต่ละเทคนิค จะมีความสัมพันธ์กันและการเคลื่อนไหวในแต่ละท่าก็สามารถเป็นคะแนนได้ทั้งหมด การจะทำความเข้าใจกฏและกติกาการแข่งขันเบรคกิ้งได้ เราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจหลักการเต้นพื้นฐานเสียก่อน
ท็อปร็อค คือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการเต้นเบรคกิ้ง การเต้นท็อปร็อคคือการโยกตัวตามจังหวะเพลงไปเรื่อยๆ ส่วนมากจะนับจังหวะห้องดนตรีอยู่ที่ 2 ห้อง หรือ 8 ห้องก่อนที่จะลงไปเล่นท่า ที่สำคัญที่สุดคือการออกท่าทางด้วยแขนและขาอย่างสัมพันธ์กัน เมื่อพร้อมแล้วจะสามารถ โกดาวน์ ต่อได้ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวตรงตัวตามชื่อคือ ลงไปที่พื้น แต่ความท้าทายคือ ผู้เต้นจะต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาตามเพลงโดยที่ไม่หยุด เทคนิคนี้จะสัมพันธ์กันกับท็อปร็อค เพราะเหมือนเป็นการเล่นท่าติดต่อกัน
ฟุตเวิร์ค คือการใช้มือเข้ามาช่วยพยุงตัว ในขณะที่กำลังเต้นโดยใช้เท้าเป็นหลักอยู่ ผู้เต้นอาจจะทำ พาวเวอร์ มูฟ หรือท่าหมุนตัวไปรอบๆ คล้ายกับการควงสว่าน โดยใช้ทั้งมือ แขน ขา ไหล่ พยุงไม่ให้ล้ม ก่อนที่จะฟรีซ หรือหยุดค้างที่ท่าใดท่าหนึ่งไว้เพื่อเป็นการจบอย่างสวยงาม
เมื่อเข้าใจวิธีการแล้ว วิธีการตัดสินจึงอาจจะไม่ได้ซับซ้อนมากจนเกินไป เดิมที การแข่งขันเบรคกิ้งมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ความแข็งแรง ความชำนาญในการเล่นท่าพื้นฐาน บุคลิก หรือสไตล์การเต้น
คณะกรรมการในการตัดสินก็คือคนที่มีประสบการณ์ในการเต้นเบรคกิ้ง ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่น “บี-บอย อัสลาน” นักเต้นจากมอสโก รัสเซีย อดีตแชมป์เรดบูล บีซี วัน, “บี-เกิร์ล เอที” แชมป์บี-เกิร์ลหญิงจากประเทศฟินแลนด์ หนึ่งในนักเต้นหญิงที่เต็มไปด้วยความรู้และประสบการณ์การแข่งขันจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง เครซี่ เล๊กส์ ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าก็เคยเป็นกรรมการตัดสินเช่นกัน
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่โอลิมปิกนำการแข่งเต้นเบรคกิ้งเข้ามาอย่างเป็นทางการ แต่เช่นเดียวกันกับกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ถูกบรรจุในโตเกียวโอลิมปิกที่ผ่านมาอย่างสเก็ตบอร์ดหรือเซิร์ฟบอร์ด กีฬาเฉพาะกลุ่มเหล่านี้เป็นที่นิยมมานานแล้ว
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าโอลิมปิกพยายามที่จะเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นให้มากขึ้น ด้วยการนำกีฬาที่มีความน่าตื่นเต้นและความหลากหลายเข้ามาสู่การแข่งขัน
แต่พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อการฉกฉวยทางวัฒนธรรมหรือไม่?
น่าตื่นเต้น หรือ น่ากังวล?
แม้เบรคกิ้งจะได้เข้าร่วมโอลิมปิกอย่างเป็นทางการและมีหลายคนที่ยินดี แต่สำหรับบางคน ก็กลัวว่าการจัดแข่งกีฬาที่มีประวัติยาวนานบนเวทีระดับสากล หากถูกนำเสนอโดยคนกลุ่มอื่น อาจจะเป็นการลดทอนคุณค่าของการเต้นเบรคกิ้งเหมือนดาบสองคมได้หรือไม่?
“ผู้คนไม่รู้ว่าบีบอยที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันคือไลฟ์สไตล์ มันคือศิลปะ ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่มองว่ามันก็แค่การแข่งเต้นกัน มันมีมากกว่าแค่การเต้น นี่คือการแสดงออกของตัวตน”
“วิคเตอร์ ‘วิเชียส’ มอนทัลโว” นักเต้นเบรคกิ้งวัย 26 ปี จากออร์แลนโด้ เชื้อสายเม็กซิกัน อดีตแชมป์ เรดบูล บีซี วัน ประจำปี 2015 ลงความเห็นต่อเรื่องนี้ เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าค่อนข้างกังวลกับภาพลักษณ์ที่โอลิมปิกจะนำเสนอออกไป
วิคเตอร์ไม่ใช่คนเดียวที่กังวลกับเรื่องดังกล่าว แม้กระทั้งผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์สอนเต้นเบรคกิ้งที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน อย่าง “ราฟาเอล ซาเวียร์” ก็เป็นอีกคนที่ทั้งยินดีและกังวลในเวลาเดียวกันจากบทสัมภาษณ์ของ NPR
“ผมว่ามันน่าสนใจทีเดียวนะ มันอาจจะมีทั้งเรื่องแย่และเรื่องดีก็ได้ เอาเป็นว่าผมจะเลือกมองด้านที่ดีก็แล้วกัน นี่เป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับคนรุ่นหลัง อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถตั้งเป้าหมายได้ รู้ไหม ไม่เหมือนกับพวกคนแก่หรือนักกีฬาในอดีต พวกเราไม่มีเป้าหมายเหมือนพวกเขา เราได้แต่เต้นแบทเทิลกันเฉยๆ แค่นั้นเอง”
“ตอนที่ผมเริ่มเต้น มันเหมือนกับที่ผมบอกไป เมื่อก่อนคุณได้แค่เต้นเพื่อเอาชนะคู่แข่งเท่านั้น คุณฝึกร่างกายแบบเข้มงวดแทบสะบั้น สุดท้ายก็เพื่อเครดิตบนถนน แต่ตอนนี้คุณมีชื่อของโอลิมปิกด้วย คุณจะยอมทำทุกอย่างให้เก่งที่สุดเลยแหละ”
ราฟาเอลแบ่งรับแบ่งสู้กับเรื่องนี้พอสมควรเพราะเขาเป็นคนดำที่รับวัฒนธรรมนี้มาแบบเต็มๆ เขายอมรับตามตรงว่ากังวลว่าอาจจะถูกพรากวัฒนธรรมเหล่านี้ไป ผ่านการนำเสนอที่เขาเองก็ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร
“ผมมองว่ามันเป็นไปได้นะ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ว่าคุณมองว่าการเต้นให้ประโยชน์กับวัฒนธรรมอย่างไร กลุ่มคนดำและคนลาตินเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เวลาประเทศอื่นๆ นำเรื่องราวพวกนี้ไปนำเสนอ ไอเดียหรือความคิดเบื้องหลังก็อาจจะหายไปด้วย”
“พวกเขาอาจจะได้รับความเคารพ แต่คนที่ไม่เห็นคุณค่าก็คงจะเห็นเพียงแค่การเต้นอย่างเดียว”
การนำเสนอกีฬาเบรคกิ้งของปารีสโอลิมปิก 2024 เป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบใด ในเวลาหลังจากนี้อีก 4 ปี ก่อนจะถึงตอนนั้น เวลาที่นักเต้นทั่วโลกมีที่เหลือในตอนนี้ คงทุ่มให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก ด้วยเป้าหมายของการเป็นแชมป์เหรียญทอง
“ถ้าอเมริกาเข้ารอบ ผมจะไปดูให้ถึงที่เลย ผมรักในการเต้น ผมคงไม่มาอยู่ตรงนี้ถ้าไม่ใช่เพราะการเต้นหรอก ผมจะไปนั่งแถวหน้าสุดเลยถ้าทำได้”
ราฟาเอลทิ้งท้าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เบรคกิ้งไปถึงโอลิมปิกนั้นก็น่าประทับใจมากแล้ว ในฐานะวัฒนธรรมกระแสรองที่ได้รับการยอมรับอย่างสากล ไม่ใช่สำหรับใครคนใดคนหนึ่ง
แต่สำหรับนักเต้นทั่วโลก
คงจะดีไม่น้อยหากทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันหรือใครก็ตามที่รับชมสามารถทำความเข้าใจที่มาและต้นกำเนิดของกีฬาประเภทนี้ได้ในเชิงลึก เพราะนอกจากจะทำให้ดูกีฬาสนุกขึ้นแล้ว อาจจะทำให้เราเข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมนี้มากยิ่งขึ้นด้วย
แหล่งอ้างอิง :
https://dailyrapfacts.com/5683/dj-kool-herc-coined-the-terms-b-boys-and-b-girls/
https://edition.cnn.com/2020/12/07/sport/breakdancing-olympics-paris-2024-spt-intl/index.html
https://www.forbes.com/sites/michellebruton/2020/12/07/all-about-breakdancing-breaking-the-new-sport-debuting-at-the-2024-paris-olympics-and-which-stars-to-know/?sh=450539342384
https://historyofthehiphop.wordpress.com/hip-hop-cultures/break-dancingdance/
https://i-d.vice.com/en_uk/article/ev3v4z/exploring-the-birth-of-the-b-boy-in-70s-new-york
https://www.npr.org/2020/12/20/948315555/olympic-breakdancing
https://www.redbull.com/us-en/history-of-breakdancing
https://www.redbull.com/int-en/is-it-breakdance-or-breaking
https://www.redbull.com/int-en/understand-the-basic-elements-of-breaking
https://teachrock.org/people/dj-kool-herc/