Feature

ไมเคิล เฟลป์ส : ปีศาจเจ้าสระผู้พบความหมายที่แท้จริงว่า "เหรียญทองหนักกว่าชีวิต" | Main Stand

โอลิมปิก คือมหกรรมกีฬาที่คัดเอานักกีฬาเก่ง ๆ ทั้งหมดที่มีบนโลกใบนี้ขึ้นมาชิงความเป็นหนึ่ง เพื่อบอกว่าใครคือ "เบอร์ 1 ของโลก" ที่แท้จริง
 

หากจะมีมนุษย์สักคนที่ได้รับสิทธิ์การประทับตราที่กลางหลังว่า "เบอร์ 1 ตัวจริง" คน ๆ คงหนีไม่พ้น ไมเคิล เฟลป์ส อดีตนักว่ายน้ำชาวอเมริกัน ผู้กวาดเหรียญทองไปทั้งหมด 23 เหรียญ จากการแข่งขันโอลิมปิก 5 ครั้ง

ยากมากที่จะมีใครสักคนมาทำลายสถิติอันยิ่งใหญ่และน่าเหลือเชื่อของเขา ... ทุกครั้งที่เขาลงแข่งขันมันเหมือนเป็นของง่าย แค่กระโดด ว่าย และ แตะขอบสระ เท่านั้นเขาก็ได้เหรียญทอง 

แต่ความจริงและเบื้องหลังนั้นต่างกันสุดขั้ว ภายในราชาเจ้าสระ และมนุษย์เหรียญทอง ไมเคิล เฟลป์ส ผ่านอะไรมาบ้าง และต้องใช้พลังกายและใจขนาดไหนกว่าจะมาถึงจะจุดนี้ ?  ติดตามที่นี่
 

ลูกคุณมีปัญหา 

"ทุกทีเลย ลูกของคุณมีปัญหา เขาไม่เคยอยู่นิ่ง และเขากำลังทำให้สมองของฉันกำลังจะระเบิด" คุณครูระดับชั้นอนุบาลคนหนึ่ง พูดกับผู้ปกครองของเด็กชายคนหนึ่งที่มีปัญหาที่สุดในห้องเรียน ... เธอทนไม่ไหว และรู้สึกทรมานที่ต้องเจอกับนักเรียนในแบบที่เธอไม่เคยเจอมาก่อนตลอดชีวิตการทำงาน 

"เด็กซนคือเด็กฉลาด" คำนี้เราได้ยินกันบ่อยแต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป เด็กบางคนซนมากเพราะมาจากการเลี้ยงดู และเด็กบางคนอย่าง ไมเคิล เฟลป์ส นั้นก็ซนเพราะมีอาการป่วย ... เขาป่วยเป็นโรคสมาธิสั้น สั้นขนาดที่ว่าไม่สามารถนั่งอยู่กับที่ได้เกิน 3 วินาที และเพราะแบบนั้นเขาจึงเป็นตัวแสบประจำชั้นเรียน ที่ไม่มีคุณครูคนไหนทนไหวอีกต่อไป

เหตุผลก็เพราะเขาชอบเรียกร้องความสนใจ ต้องการเป็นศูนย์กลางของห้องเรียน บางครั้ง เฟลป์ส ตั้งใจเปิดเตาแก๊สในการทดลองคาบวิทยาศาสตร์แบบหมุนหมดรอบเอาไว้ เพื่อให้กลิ่นของแก๊สออกมากวนเพื่อน ๆ จนเรียนไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีวีรกรรมสุดแสบอีกมากมายที่เกิดขึ้นกับ เฟล์ปส์ ในช่วงวัยเด็กของเขา อาทิ การแทรกขึ้นเวทีออกไปเต้นท่าเต้นพิเรนทร์ ๆ ขณะที่กำลังมีกิจกรรมแสดงความสามารถของคนอื่น ๆ เป็นต้น 

"แค่ให้นั่งเฉย ๆ ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นมันจึงยากเย็นกับผมนัก ผมโฟกัสและจับจุดกับอะไรไม่ได้เลย ผมแค่รู้สึกหลายสิ่งรอบตัวมันปกติเกินไป ผมต้องเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งให้ทุกคนมาสนใจผม" เฟลป์ส กล่าว 

ไม่มีใครสอน เฟลป์ส ได้ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เขาต้องพบแพทย์และเข้าบำบัดเพื่อฝึกสมาธิอย่างจริงจัง เขาพูดเร็วมากเกินไปเวลาสนทนากับคนอื่น ๆ และที่สำคัญเขาจะไม่สบตาเมื่อมีใครพยายามสื่อสารกับเขาด้วย 

สำหรับครอบครัว เฟลป์ส นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขามีลูก ๆ ด้วยกัน 3 คน โดยมี ไมเคิล เป็นลูกชายคนเล็ก สิ่งสำคัญคือความระหองระแหงของพ่อและแม่ ที่นำไปสูการแยกทางกัน และทำให้แม่ของเขาต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงานด้วย เลี้ยงลูกด้วย และในกรณีของ เฟลป์ส เธอต้องพยายามหาทางรักษาให้ลูกชายหายและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ด้วย

"แม่ของผมเลี้ยงดูพวกเราทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ผมและพี่สาวอีก 2 คน ถ้าหากจะถามว่าใครคือตัวอย่างของการทำงานหนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับผม ภาพจำที่มีต่อแม่นั้นชัดเจนมาก เธอทั้งทำงานหนักและทุ่มเทเพื่อลูก ๆ อย่างถึงที่สุด"

หากอะไรคือประกายความหวังที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แน่นอนว่าคนนั้นจะต้องเป็นแม่ของเขา เดบาราห์ เฟลป์ส ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ เธอเอา เฟลป์ส ไปลองเรียนและเข้าคอร์สเพื่อฝึกสมาธิหลาย ๆ จนกระทั่งมาเจอยาวิเศษ ที่ไม่ต้องเอาเข้าปาก แต่แค่กระโดดลงไปในนั้น ลูกชายของเธอก็จะได้ชีวิตใหม่แล้ว 

พี่สาวทั้งสองคนของ ไมเคิล เฟลป์ส เป็นสมาชิกของชมรมว่ายน้ำเยาวชน โดยทั้งคู่มีดีกรีระดับแชมป์ของรัฐเลยทีเดียว

เดบาราห์ รู้ว่ากิจกรรมนี้ทำให้ลูกสาวของเธอเติบโตมาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี ดังนั้นเธอจึงฝาก ไมเคิล ไว้กับชมรมดังกล่าว เพื่อ "ลองดู" เผื่อว่าปาฏิหาริย์จะเกิด เพราะดูแล้วในวันแรกที่ ไมเคิล เฟลป์ส มาลงสระน้ำพร้อม ๆ กับพี่สาวของเขา เขาก็ออกอาการต่อต้านเหมือนหลาย ๆ กิจกรรมที่เคยผ่านมา 

หากเป็นหนังสักเรื่อง เฟลป์ส คงกระโดดลงน้ำตูมเดียวแล้วว่ายได้เร็วจี๋ราวกับเป็นทักษะจากพระเจ้า แต่นี่คือโลกแห่งความจริง เก่งแต่เกิดไม่มีจริง ถ้าไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีทางที่ใครสักคนจะหยิบจับสิ่งไหนแล้วเก่งในทันที 

"คุณคิดว่าพอเห็นสระว่ายแล้ว น้ำทำให้ผมกลายเป็นอิสระเหมือนกับปลาโลมาจนผมหมกมุ่นอยู่กับมันเป็นวันเป็นคืนเหรอ ? บ้าแล้ว ใครจะไปทำอย่างนั้น บอกตรง ๆ พอโดดไปตูมแรก ผมพูดได้เลยว่าผมเกลียดน้ำสุด ๆ เกลียดขนาดไหนก็เอาเป็นว่าผมกรีดร้องจนคนในสระกระเจิงไปหมด ผมเหวี่ยงแว่นตาว่ายน้ำทิ้งสุดแรงเกิดเพื่อแสดงให้รู้ว่า เอาผมออกไปจากที่นี่ ... ด่วนเลย" 

ถ้าจะเอาเด็กแบบ เฟลป์ส ให้อยู่ ก็ต้องพยายามกันหน่อย แม้เขาจะฟาดงวงฟาดงาขนาดนั้น แต่โชคดีที่แม่ของเขาพอรู้ทางอยู่บ้าง เธอปล่อยให้ เฟลป์ส ร้องไปก่อน และจากนั้นเธอก็พาเขามาที่สระว่ายน้ำทุกวัน ตามกลอุบายที่ต้องมาส่งพี่สาวของเขาทั้งสองคน จากนั้น เฟลป์ส ก็เริ่มหยุดร้องและรู้สึกว่าเขาน่าจะทำอะไรกับน้ำได้มากกว่านั้น ... เฟลป์ส พบว่าการอยู่ในน้ำทำให้เขาสบายใจและรู้สึกเป็นอิสระในภายหลัง และไม่นานนักจากเด็กที่เกลียดสระน้ำ เขาก็กลายเป็นคนแรกที่กระโดดขึ้นรถหากแม่บอกว่าวันนี้เราจะไปสระว่ายน้ำกัน

"พอได้ลองเริ่ม ๆ หัดดู ผมก็พบอิสระบางอย่าง ... ผมพัฒนาทักษะในการว่ายน้ำได้ไวมาก เพราะไม่มีที่ไหนทำให้ผมช้าลงได้แบบนี้ ครั้งแรกในชีวิตเลยที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถควบคุมตัวเองได้" เฟลป์ส กล่าวย้อนไปในอดีต 

เฟลป์ส เริ่มหัดว่ายน้ำตอน 7 ขวบ และ 3 ปีหลังจากนั้นเขาเป็นแชมป์ระดับเยาวนของประเทศ ร่างกายที่ไม่หยุดนิ่งทำให้เขาเร็วกว่าใครเมื่ออยู่ในน้ำ แชมป์เยาวชนทำให้เขามองไกลไปถึงขั้นการเป็นตัวทีมชาติ และไปแข่งขันในโอลิมปิก เฟลป์ส ฝันหวานไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเขาได้พบกับชายผู้ที่เดินมาบอกว่าเขา "ยังขาดอีกเยอะ" หากไปจะถึงที่ฝันไว้

ชายคนนั้นท้าทาย ไมเคิล เฟลป์ส และบอกว่าเขาจะช่วยให้ เฟลป์ส บรรลุความฝันที่คิดไว้ เขาคนนั้นชื่อ บ็อบ โบว์แมน โค้ชสอนว่ายน้ำที่มาพร้อมสัญญาปีศาจ ... ข้อแลกเปลี่ยนที่ บ็อบ ต้องการจาก เฟลป์ส คือ "ชีวิต" 
 

ทิ้งชีวิต ... ยอมได้ไหม ? 

"ไอ้หนู ... บางส่วนของแกบอกฉันว่าแกมีหวังที่จะทำลายสถิติโลก แต่มันจะเริ่มเป็นจริงก็ต่อเมื่อแกมากับฉัน จังหวะการว่ายของแกดูแล้วมันมีดี ตอนนี้แกได้แต่คิด อีกไม่นานหรอกแกทำได้จริงแน่" บ็อบ โบว์แมน กล่าวเช่นนั้น 

สิ่งที่ บ็อบ ต้องการจาก เฟลป์ส คือ "ทิ้งชีวิตวัยรุ่นซะ" เพราะต่อจากนี้บทเรียนที่เขามอบให้ คือตำราที่เขากล้าการันตีว่า เฟลป์ส จะไปถึงแชมป์โลกได้แน่ หากทำและเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูด

"นี่คือข้อตกลง หากแกอยากประสบความสำเร็จ แกต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน พร้อมกับวางภารกิจในแต่ละวันให้ชัดเจน และแน่นอน แผนงานที่ฉันวางไว้จะโจมตีใส่แกในแบบที่แกไม่อยากจะเชื่อ และในท้ายที่สุดของวัน เราจะมาดูกันว่าสิ่งที่แกได้ไปในวันนี้ สอดคล้องกับแผนการระยะยาวที่แกวางไว้หรือเปล่า" บ็อบ กล่าวกับ เฟลป์ส 

เฟลป์ส เองแม้จะยังเด็ก แต่ความฝันของเขานั้นชัดเจนเหลือเกิน มีเด็กไม่กี่คนที่รู้ตัวว่าชีวิตของพวกเขาเกิดมาเพื่ออะไร และ เฟลป์ส เป็นหนึ่งในนั้น การเจอกับ บ็อบ เปลี่ยนให้ เฟลป์ส เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัยมากกว่าที่เคยเป็นหลายเท่า สภาพจิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น และเขาก็โดนฝึกให้ทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำนั่นคือ "การนั่งนิ่ง ๆ" และ "หัดพูดคุยกับคนอื่นบ้าง" 

ไม่นานนัก บ็อบ โบว์แมน ก็เปลี่ยน ไมเคิล เฟลป์ส ได้เรียบร้อย หลังจากคุยกันรู้เรื่องแล้ว บ็อบ สร้างตารางการฝึกในแบบของเขาเอง ซึ่งโปรแกรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง นั่นคือช่วงที่โรงเรียนเปิดทอม และ ช่วงที่ปิดเทอม (ซัมเมอร์) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าทุกวันของ ไมเคิล เฟลป์ส ต้องหายใจเข้าหายใจออกเป็นการว่ายน้ำโดยไม่มีหยุดพัก 

รูปแบบตารางโดยคร่าว ๆ ของ บ็อบ คือ การฝึกความแข็งแกร่ง, การฝึกความอึดของร่างกาย, การเพิ่มคุณภาพในการว่าย, การใส่เทคนิคพิเศษที่คิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งจุดนี้นักกีฬาแต่ละคนจะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสรีระและความถนัดของแต่ละคน 

"ผมให้เขา (เฟลป์ส) ร่างวิสัยทัศน์ของตัวเองใส่ไว้ในสมุด สิ่งที่ผมอยากให้เขาเขียนลงไปคือเป้าหมายเบื้องต้น (อยากได้อะไรจากการฝึก) ถ้าเขามีเป้าหมาย เขาจะเริ่มรู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรสามารถเกื้อหนุนกันได้ ผมพยายามสอนให้เขาเป็นเลิศด้านสภาวะจิตใจ มีร่างกายที่พิเศษในแบบที่ไม่มีใครเหมือน จากนั้นเราจะพูดถึงเป้าหมายระยะยาว และเป้าหมายสูงสุด ซึ่งจุดนี้ผมย้ำกับเขาว่าอย่าก้าวกระโดดหวังอะไรไกลเกินกำลัง เพราะมันอาจจะทำให้เขามีแรงผลักดันไม่พอก็ได้" บ็อบ ว่าต่อ 

ถามว่า เฟลป์ส ชอบบทบาทโค้ชอย่าง บ็อบ หรือไม่ แรกเริ่มเขาไม่ได้ชอบอะไรนัก เขาคิดว่าสไตล์การทำงานไม่เข้ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขายอมรับเกี่ยวกับเรื่องการสอนของ บ็อบ ที่เน้นเรื่องทัศนคติ และมีจุดแข็งตรงจิตวิทยา บ็อบ พูดกับเขาตรง ๆ เสมอ และหนึ่งในคำที่บ็อบพูดกับเขาคือ "แกจะทำลายสถิติโลก" ซึ่งแน่นอน ไมเคิล เฟลป์ส เชื่อเต็มหัวใจหลังจากได้เป็นลูกศิษย์เอกของ บ็อบ

"บ็อบกับผมดูเหมือนจะเป็นคนละขั้วนะ ผมเป็นไอ้งั่ง (Goofball) เขาเป็นเหมือนผู้คุมคนงานจอมโหด (Task Master) ... แต่ที่ต้องยอมคือ บ็อบ เป็นคนที่ตรงไปตรงมา เขาพูดแบบไหนเขาทำแบบนั้น เขาขัดเกลาพรสวรรค์และเพิ่มทัศนคติที่ดีให้ผม ทุกครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกแย่ เขาจะบอกผมเสมอว่า 'ไอ้หนู อย่าลืมว่าแกจะได้โอกาสในแบบที่เด็ก ๆ คนอื่นไม่มีวันได้รับ'" เฟลป์ส ว่าเช่นนั้น 

หลังจากนั้นคุณก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นเราจะมาสรุปเร็ว ๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นกับ ไมเคิล เฟลป์ส ... เขาเก่งที่สุดในประเทศ ชนะรุ่นจูเนียร์ทุกปี จนกระทั่งอายุ 15 เขาลงแข่งขันในโอลิมปิก 2000 ที่ซิดนี่ย์ และจากนั้นเป็นต้นมา โอลิมปิก ทั้งหมด 5 สมัย คิดเป็นช่วงเวลาทั้งหมด 20 ปี มีแค่ครั้งแรกเท่านั้นที่ ไมเคิล เฟลป์ส มาลงแข่งขันและไม่ได้รางวัล  

เฟลป์ส กลายเป็นโคตรคนยิ่งกว่าที่ บ็อบ เคยคาดหมายไว้ เพราะเขาไม่ใช่แค่ได้เหรียญทองเท่านั้น แต่เป็นการคว้าเหรียญทองด้วยจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิกตลอดกาล คนเดียวฟาดไป 28 เหรียญ (23 เหรียญทอง, 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง) เป็นเจ้าของเหรียญทองมากที่สุดตลอดกาล (23 เหรียญ) ไม่พอ ยังเป็นเจ้าของเหรียญทองมากที่สุดในประเภทเดี่ยว (13 เหรียญ) และเหรียญรางวัลมากที่สุดในประเภทเดี่ยว (16 เหรียญ) อีกด้วย

เรียกว่า ไมเคิล เฟลป์ส คนเดียว สามารถคว้าเหรียญทองได้มากกว่าหลากสิบประเทศรวมกันในโอลิมปิกเสียอีก ... เท่านั้นคุณคงพอจะเห็นภาพความโหดของการฝึกซ้อม ที่ส่งผลมาเป็นรางวัลในแบบที่ไม่รู้อีกกี่ปีจะมีมนุษย์โลกคนไหนทำซ้ำได้ 
 

เบื้องหลัง 28 เหรียญที่โลกอาจไม่รู้

หากจบไปตั้งแต่พารากราฟด้านบน เชื่อว่าหลายท่านคงจะเห็นว่าเรื่องราวของ เฟลป์ส มันอาจจะแฮปปี้เอนดิ้งเกินไป ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าเราทำไมถึงยังต้องอ่านต่อถึงตรงนี้ เพราะเบื้องหลังของการ "แชมป์แล้วแชมป์อีก" นั้นคืออีกโทนหนึ่งของเรื่องเลยทีเดียว ... มันทั้งหม่นหมอง โหดร้าย และ เศร้าใจ จนหลายคนคาดไม่ถึง

ยอดมนุษย์, โคตรคน, และ ปีศาจในสระว่ายน้ำ ไม่ว่าคุณจะเรียก เฟลป์ส ว่าอะไร เมื่อถึงวันหนึ่งเขากลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันช่างไม่มีค่าอะไรเสียเลย ในวันที่เขาคว้าแชมป์ ต่อไป และต่อไปเรื่อย ๆ ในความดีใจ คือความกลัวว่าสักวันหนึ่ง หากเขาไม่ชนะเหมือนทุกครั้ง เขาจะเป็นอย่างไร ? ชื่อเสียงที่มีจะหายไปไหม ? และจะเหลือใครอยู่ข้างเขาบ้าง ? 

ความโหดของ บ็อบ โบว์แมน ไม่ได้ส่งผลแต่แง่ดีอย่างเดียวเท่านั้น แม้มันจะทำให้ เฟลป์ส มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมีทัศนคติของผู้ชนะเมื่อลงแข่งขัน แต่ความกดดันที่สั่งสมกันทุกวัน ก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ยิ่งเมื่อเขามีชื่อเสียง ทุกคนดูแลเขาอย่างดีเหมือนกับไข่ในหิน ทีมสมาคมว่ายน้ำดูแลเขาราวกับเป็นประธานาธิบดีของประเทศ กินดีที่สุด, นอนสบายที่สุด, ฝึกซ้อมกับอุปกรณ์และเทคโลยีที่มีคุณภาพที่สุด ซึ่งอะไรที่มันมากเกินไปย่อมส่งผลกระทบในแง่ลบเสมอ สำหรับ เฟลป์ส การได้รับการดูแลแบบโคตร VIP มันทำให้เขามองตัวเองและเปรียบเทียบกับนักกีฬาคนอื่น ๆ  ซึ่งมันทำให้เขาตกผลึกว่า "เราเป็นแค่เครื่องจักรล่าแชมป์หรือเปล่า ?" 

"มาถึงจุดหนึ่ง ผมเองไม่ได้คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่หรือวิเศษกวาใคร ผมไม่คิดว่าผมเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ก็แค่นักว่ายน้ำคนหนึ่งเท่านั้น ... ผมเคยคิดนะ ทำไมเราไม่จบความว่างเปล่านี้ซะ จบเรื่องนี้แล้วกลับมาใช้ชีวิตของเราเสียที" เขากล่าวในสารคดีเรื่อง The Weight of Gold (สิ่งที่ผู้คล้องเหรียญทองต้องแบกรับ)

สำหรับ เฟลป์ส ที่ชนะทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรให้ท้าทาย เขารู้สึกว่ายิ่งประสบความสำเร็จกลับพบเจอแต่ความว่างเปล่า ใครล่ะที่อยู่ข้างเขาจริง ๆ ? ซึ่งในเวลาที่สภาพจิตใจตกต่ำ คำตอบของเขาคือ "ไม่มีเลย" 

"ไม่เคยเห็นมีใครมาบอกว่าเราโอเคไหม ไม่มีใครกล้าจะต่อว่าตราบใดที่ผมยังผลิตความสำเร็จออกมาได้เสมอ ... นอกจากเหรียญตราแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้มองผมมีค่าเลย" สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เฟลป์ส เล่าว่าเขาเคยคิดจะฆ่าตัวตายหลังจากความรู้สึกว่างเปล่านั้นด้วย 

หลังการแข่งขัน โอลิมปิก ปี 2012 เฟลป์ส ตัดสินใจเข้ารักษาอาการทางจิตใจ ที่รู้สึกย่ำแย่ตลอดเวลา เขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวชและเริ่มยอมรับความผิดปกติทางความคิดของตัวเอง 

"วันแรกที่รักษาผมจำได้ ตัวผมสั่นเหมือนกับลูกนก ผมกลัว ผมกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างจะเกิดขึ้น จากนั้นหมอก็เข้ามาหาผมตอน 6 โมงเข้า เขาชี้ให้ผมมองกำแพงและถามผมว่า 'บอกหมอซิ คุณเห็นอะไร ?'" 

"ผมไม่มีความสุขเลย ผมรู้สึกไม่ดี และผมไม่ชอบตื่นเช้า ... โน่น นี่ นั่น จากนั้นทุกอย่างพรั่งพรูออกมาเองทั้งหมด"

"แปลกไหมการพูดแบบนั้นไม่กี่ครั้ง ทำให้ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองกลัวมาตลอด ความเปลี่ยนแปลงนั้นมาพร้อมกับประโยคที่ว่า 'ชีวิตต้องง่าย' ... โป๊ะเช๊ะ ผมหายเลยหลังจากเข้ารับการรักษาช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นผมกลับมาถามตัวเองทุกว่า แล้วฉันจะเก็บมันไว้คนเดียวมาทำไมตั้ง 10 ปี ทำไมไม่ไปหาผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่วันนั้น" 

มันตลกดีจากที่เขาพูด ... แค่พบผู้เชี่ยวชาญ พบกับคนที่รู้วิธีแก้ปัญหา โซ่ที่คล้องคออันหนักอึ้ง กลายเป็นเหรียญทองที่เปล่งประกายง่าย ๆ แค่นั้นเลย ... เฟลป์ส กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่างน่าประหลาด เขาประกาศคัมแบ็กกลับมาสู่วงการอีกครั้ง ด้วยการลงแข่งขันในโอลิมปิกปี 2016 และแน่นอนเขายังคงคว้าเหรียญทองเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้เขาเป็น "นิว เฟลป์ส" ไปแล้ว 

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไมเคิล เฟลป์ส เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนที่จะพูดต่อเมื่อจำเป็น กลายเป็นคนที่เปิดกว้าง รับฟังเรื่องราวของคนรอบข้าง สิ่งหนึ่งที่แม้แต่แฟน ๆ ก็สังเกตได้คือในโอลิมปิกปี 2016 เฟลป์ส ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนนั่นคือการ "ร่วมกิจกรรมในพิธีเปิดการแข่งขัน"

เนื่องจากว่ายน้ำคือกีฬาแรกที่จะมีการชิงชัยเหรียญทองหลังจบพิธีเปิด ที่ผ่านมา เฟลป์ส จึงไม่สนใจที่จะเข้าร่วมพิธีเปิดเลย เพื่อโฟกัสกับตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้น วัตรปฏิบัติของเจ้าตัวในการแข่งคือ ใส่หูฟังตั้งแต่ลงจากรถบัส ไม่สนใจคนอื่น ๆ แต่ในปี 2016 เขายิ้มแย้ม ผ่อนคลาย ทำให้บรรยากาศรอบตัวดีขึ้นเยอะ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังตอบรับหน้าที่การเป็นผู้ถือธงของทีมชาติสหรัฐอเมริกาในพิธีเปิดด้วย

จากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือทุกคนสัมผัสได้ว่า เฟลป์ส เวอร์ชั่นใหม่ คือเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบที่สุด หากเขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งจริง ๆ ตั้งแต่วันแรกเหมือนกับตอนนี้ ดีไม่ดี 28 เหรียญสำหรับเขาอาจจะน้อยไปก็เป็นได้ 

"ก็เหมือนที่คุณเห็น ๆ กันนั่นแหละครับ ก่อนหน้านี้ผมใส่หูฟังเดินดุ่ย ๆ ไปขอบสระไม่คุยกับใครสักคน ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ผมเปิดใจ ผมคุยกับคนอื่นมากขึ้น เชื่อเถอะผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ แม้นี่จะเป็นโอลิมปิกครั้งที่ 5 ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันแบบนี้เลยสักครั้ง ... นี่คือการแข่งขันที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาตลอดชีวิต" เฟลป์ส กล่าวด้วยรอยยิ้ม 

ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่มนุษย์เรานั้นไม่มีใครสามารถเพอร์เฟกต์ไปได้ทุกเรื่อง เรื่องราวเส้นทางของ ไมเคิล เฟลป์ส บอกอะไรกับเราหลายอย่าง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการมองโลกอย่างเข้าใจ และใช้ชีวิตให้ง่ายที่สุด ง่วงก็นอน หิวก็กิน กระหายชัยชนะก็ฝึกซ้อม ... ถามใจตัวเองให้ชัดว่าคุณต้องการอะไร ทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำมันจริง ๆ 

และสุดท้ายเมื่อเกิดปัญหา อย่าคิดว่าโลกนี้มีคุณที่แก้ปัญหานั้นได้แค่คนเดียว เพราะยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพต่าง ๆ มากมาย ... เปิดใจยอมรับเสียว่าคุณเองก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ๆ บ้าง อะไร ๆ จะได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องแบกโลกให้ปวดหลังและหนักสมองอีกต่อไป 

หากคุณทำได้ คุณอาจจะได้พบตัวเองกับรอยยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยมีมา เหมือนกับที่ ไมเคิล เฟลป์ส เป็น 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.understood.org/en/learning-thinking-differences/personal-stories/famous-people/celebrity-spotlight-how-michael-phelps-adhd-helped-him-make-olympic-history

https://www.nytimes.com/2008/08/10/sports/olympics/10Rparent.html?_r=0

https://bleacherreport.com/articles/1274022-michael-phelps-mothers-support-big-part-of-olympic-success

https://www.swimmingworldmagazine.com/news/training-michael-phelps-bob-bowman-on-working-with-his-prized-pupil-swimming-technique-archive-2003/

https://www.yourswimlog.com/bob-bowman-mental-toughness-the-golden-rules-book-review/

https://edition.cnn.com/2018/01/19/health/michael-phelps-depression/index.html

https://www.theguardian.com/sport/2016/aug/13/michael-phelps-road-to-redemption

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น