เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าภาพยนตร์แอ็กชั่นสายเลือดไทยอย่าง “ต้มยำกุ้ง” และเกมต่อสู้สัญชาติญี่ปุ่นนามว่า “K-1” จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้นักมวยไทยรุ่นใหม่คนหนึ่งลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างที่เพื่อนร่วมอาชีพส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ
ในยุคสมัยที่ “มวยไทย 5 ยกบ้านเรา” ไม่ค่อยมีนักมวยกล้าใช้ศิลปะแม่ไม้มวยไทยเต็มรูปแบบ เพราะกลัวว่าถ้าทำผิดพลาด หรือทำไม่สำเร็จ ก็อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือจากเซียนมวยได้
แต่สำหรับ “ปริ๊นท์-ปิยะชาติ ช่วงสุคนธ์” หรือที่มีชื่อในการชกว่า “จ้าวเสือใหญ่ ส.เดชะพันธ์” กลับมองมุมต่าง เขาได้เพียรพยายามฝึกฝนกระบวนท่าแม่ไม้มวยไทยจนสามารถนำมาใช้จริงบนเวทีได้
กลายเป็นจุดขายและเอกลักษณ์ประจำตัวของ “จ้าวเสือใหญ่” โดยเฉพาะลูกกระโดดเข่าลอย 2 ชั้นที่น็อกคู่ต่อสู้มาแล้วหลายคน และไปเข้าตาโปรโมชั่นมวยดังในญี่ปุ่น จนถูกทาบทามตัวไปชกรายการใหญ่ ทำให้มีแฟนคลับเป็นคอมวยชาวอาทิตย์อุทัยติดตามเขาจำนวนมาก

Round 1 : หนูน้อยข้างค่ายมวย
ภาพกราฟิกที่ตัวละครในเกม K-1 กำลังต่อสู้กันบนจอทีวี คือความทรงจำแรกที่ “จ้าวเสือใหญ่ ส.เตชะพันธ์” มีต่อกีฬาหมัด ๆ มวย ๆ จนฝังลึกอยู่ในใจของหนูน้อยวัย 6 ขวบ
ความซุกซนตามประสาเด็กชายผู้เกิดและโตในเมืองกรุง ทำให้ จ้าวเสือใหญ่ รู้จักถนนหนทางวิ่งเล่นไปตามตรอกซอยกับเพื่อน ๆ เป็นอย่างดี กระทั่งวันหนึ่งสายตาของเด็กน้อยคนนั้นก็มาหยุดอยู่ที่บริเวณค่ายมวย ด้านหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
เขาเกาะเสาจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทบไม่ละสายตา จ้าวเสือใหญ่ เล่าว่า “ตอนแรกผมยืนจ้องดูอยู่แต่ไม่กล้าขอลอง เพราะใจหนึ่งก็กลัวเจ็บแต่อีกใจก็อยากลอง พอดีรุ่นพี่ในค่ายมวยนั้นเขาเห็นว่าผมดูสนใจ จึงชวนให้ผมมาลองฝึกมวย”

จากเด็กที่เคยกดจอยสติ๊กบังคับตัวละครในเกมการต่อสู้ วันหนึ่ง “จ้าวเสือใหญ่” ได้เปลี่ยนมาลองสัมผัสของจริง ขึ้นชกจริงไฟต์แรกในชีวิตที่เวทีมวยแถวท่าน้ำนนท์
“ตามระเบียบครับ ไฟต์แรกแพ้ ผมเดินไปให้เขาเตะจนแพ้น็อกยก 3 ตอนนั้นผมได้ค่าตัว 100 แต่มีคนเห็นความตั้งใจก็อัดฉัดเพิ่มให้อีก 100 บาท”
รสชาติของความพ่ายแพ้บางครั้งก็ไม่ได้แย่เสมอไป อย่างน้อยประสบการณ์ครั้งแรกก็ช่วยสลัดความกลัวในใจของเขาทิ้งไป แปรเปลี่ยนเป็นความสนุกที่ได้ซ้อม ชกมวย และได้ค่าขนม “จ้าวเสือใหญ่” ตระเวนชกมวยเด็กได้ประมาณ 4 ปีก็มีเหตุให้ต้องหยุดชกเพราะวิกฤตการณ์น้ำท่วมปี 2554
เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง “จ้าวเสือใหญ่” ได้มารู้จักกับ “พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์” ที่กำลังอยากจะสนับสนุนนักมวยเด็กรุ่นใหม่
แต่เนื่องจากตอนนั้น “สารวัตรเชษฐ์” ยังไม่ได้ทำค่ายมวยของตัวเอง จึงนำ จ้าวเสือใหญ่ ไปฝากซ้อมที่ค่ายมวยลูกบ้านใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างนักมวยเข่า


“ตอนแรกก็ยังไม่ชินครับ เพราะต้องออกจากบ้านมากินอยู่ประจำกับค่ายมวย คิดถึงบ้าน ร้องไห้อยากกลับ แต่พออยู่ไปสักระยะก็เริ่มสนุกมีความสุขเพราะมีเพื่อนเยอะ หลังจากนั้นพอพี่เชษฐ์ (สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์) สร้างสถานที่ค่ายมวยของตัวเอง ก็เลยย้ายกลับมาซ้อมที่ค่าย ส.เดชะพันธ์ "
Round 2 : อยากเข่าลอยแบบโทนี่ จา
จ้าวเสือใหญ่ ฝึกหัดวิชาหมัดเท้าเข่าศอกที่จำเป็น และสามารถนำไปใช้จริงได้ในการชกมวยไทยอาชีพ ตามพื้นฐานที่นักมวยไทยทุกคนต้องเรียนรู้
อยู่มาวันหนึ่ง จ้าวเสือใหญ่ เผอิญได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ต้มยำกุ้ง” และเกิดความประทับใจในลีลาของ โทนี่ จา นักแสดงที่เล่นเป็นพระเอกของเรื่องที่โชว์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยออกมาอย่างครบเครื่องสู้กับเหล่าตัวร้าย จนทำให้ “จ้าวเสือใหญ่” อยากฝึกท่วงท่าให้ได้แบบ จา พนม โดยเฉพาะท่ากระโดดเข่าลอย

“ผมฝึกทำเข่าลอยตอนซ้อมอยู่เป็นปีเลยนะครับกว่าจะเอามาใช้จริงบนเวที จำได้ว่าครั้งแรก ๆ ที่ใช้ท่ากระโดดเข่าลอยในการชก มีคนแต่คนด่า หาว่าผมมั่ว แต่ผมก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม ผมลองทำมาเรื่อย ๆ ทำมาเกือบ 2 ปีกว่าจะใช้ได้ผลเป็นครั้งแรก”
แม้ต้องต่อสู้กับเสียงวิจารณ์ที่ว่า “พยายามทำเข่าลอยไปเพื่ออะไร ?” ทำไมไม่ชกเหมือนนักมวยปกติทั่วไป แต่ จ้าวเสือใหญ่ ก็ไม่หยุดที่จะค้นคว้าศึกษากลยุทธ์แม่ไม้มวยไทยที่คนอาจหลงลืม เพื่อนำมาปรับใช้และทดลองในการฝึกซ้อม
ในที่สุดความพยายามของ จ้าวเสือใหญ่ ก็ไม่สูญเปล่า เมื่อเขาสามารถกระโดดเข่าลอยสองชั้นพลิกสถานการณ์เอาชนะน็อก ชิโร่ เพชรเกียรติเพชร มวยชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นที่เวทีลุมพินี กลายเป็นแมตช์ที่เปลี่ยนชีวิตและทำให้ชื่อของ จ้าวเสือใหญ่ เป็นที่รู้จักในหมู่คอมวยทั่วประเทศ

"ผมตกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะทำสำเร็จครับ เพราะช่วงแรก ๆ มันไม่เข้าเป้า แต่ผมก็กลับมาฝึกเข่าลอยต่ออีก ซ้อมบินใส่กระสอบทราย บางทีก็ลงมาผิดท่าจนข้อเท้าแพลง”
“จนสุดท้ายผมก็พิสูจน์ตังเองจนได้ หลังจากนั้นก็ใช้เข่าลอยชนะน็อกคนอื่นด้วย เท่าที่จำได้นะครับ มี ตวงทรัพย์ ส.สละชีพ, เพชรอัศวิน ม.รัตนบัณฑิต, เด่นสระบัว นายกเอท่าศาลา, เพชรสำเร็จ ลูกหนองย่างทอย และล่าสุด โดม พรัญชัย จนได้รับรางวัลผู้ใช้ศิลปะมวยไทยยอดเยี่ยมประจำปีของมวยไทย 7 สีมาด้วย"
Round 3 : โกอินเตอร์ที่ญี่ปุ่น
ผลที่ตามมาหลังกระโดดเหินเวลาสลับเข่าลอยน็อก ชิโร่ เพชรเกียรติเพชร ทำให้ศึก K-1 องค์กรการต่อสู้ชื่อดังของญี่ปุ่น ทาบทามให้ จ้าวเสือใหญ่ ส.เดชะพันธ์ เข้าร่วมการแข่งขัน K-1 World GP Tournament ปี 2019 รุ่น 57.5 กิโลกรัม แบบวันเดียวจบ

แม้จะเข้าร่วมการแข่งขันแบบโนเนมเพราะไม่ค่อยได้ชกต่างแดนมาก่อน แต่ จ้าวเสือใหญ่ ก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าตำแหน่งรองแชมป์มาครอง พร้อมกับได้โชว์ศิลปะการออกอาวุธแม่ไม้มวยไทยบนเวที จนทำเอาผู้ชมชาวญี่ปุ่นชื่นชอบเขาเป็นอย่างมาก
“เหมือนเขาเห็นผมเป็นซูเปอร์สตาร์เลย หลังชกเสร็จเวลาจะเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมาขอลายเซ็น รุมขอถ่ายรูป จนช่วงหลังเวลาเดินไปซื้อของต้องมีคนประกบเดินตามด้วย เพราะไม่อย่างนั้นจะทำอะไรได้ยากมาก”
“ทุกวันนี้มีข้อความจากแฟนมวยญี่ปุ่นมากมายอยากให้ผมกลับไปชกอีกครั้ง บางคนก็เข้ามาติดตามไอจี ส่งคลิปมาทางข้อความโชว์ลูกกระโดดเข่าลอยให้ผมดู เพราะอยากให้ผมคอมเมนต์หรือแนะนำเขาให้หน่อย”
น่าเสียดายที่สถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนการโกอินเตอร์ของ จ้าวเสือใหญ่ ต้องหยุดชะงัก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหยุดหรือเปลี่ยนไปก็คือ จ้าวเสือใหญ่ ยังคงหมั่นฝึกฝนกระบวนท่ามวยไทยและเอามาใช้บนเวทีตามโอกาสที่มี

ไม่ใช่แค่เข่าลอย ยังมีศอกกลับ และจระเข้ฟาดหางที่เขาเคยนำมาใช้แล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่ายังมีอีกหลายท่าที่กำลังฝึกฝนและยังไม่ได้นำมาใช้
จึงอยากให้ทุกคนติดตามดูเขาต่อไป เพราะตนมีเจตนารมณ์อยากสืบสานอนุรักษ์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยไม่ให้เลือนหายไปจากสังเวียน
“ผมภูมิใจและดีใจที่สามารถนำเอาศิลปะแม่ไม้มวยไทยบ้านเราไปเผยแพร่ยังต่างประเทศและเป็นที่นิยมในหมู่คนดูมวยต่างชาติ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากทำต่อไปเรื่อย ๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาสได้ขึ้นชก ”

